FINAL THRESHOLD ผู้พิทักษ์ตนสุดท้าย (ตอนที่ 5)

สวัสดีค่ะ
เรื่องนี้เป็นภาคต่อจากเรื่อง POSTHUMOUS
แต่สามารถอ่านได้ หากยังไม่ได้อ่าน POSTHUMOUS ค่ะ
"FINAL THRESHOLD ผู้พิทักษ์ตนสุดท้าย"
เป็นนิยายไซไฟ เข้ารอบ 9 เล่มสุดท้าย การประกวดรางวัลชมนาด ครั้งที่ 11 ปี 2565 ค่ะ
การประกวดจบไปแล้ว ก็เลยเอามาทำ EBOOK และลงถนนนักเขียนค่ะ  
หากอยากอุดหนุน EBOOK
สามารถจิ้มลิ้งนี้ได้เลยค่ะ จิ้ม
หรือจะแวะไปเม้นให้กำลังใจก็ได้ค้า
ขอบคุณมากค่ะ
--------------------------------------------------------
สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537
ห้ามทำการคัดลอก เลียนแบบ หรือดัดแปลงเนื้อหาส่วนใดส่วนหนึ่งของงานนี้ รวมทั้งการจัดเก็บ ถ่ายทอด สแกน บันทึก ถ่ายภาพ
ไม่ว่าในรูปแบบหรือวิธีการใดๆ ในกระบวนการอิเล็คทรอนิกส์
เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ
หากฝ่าฝืนมีโทษบัญญัติไว้สูงสุดตามกฎหมาย พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ 2537
---------------------------------------------------------
5
“เกิดอะไรขึ้นกับเธอกันนะ” ไทเลอร์ว่า หลังจากที่พันธนาการร่างอันแน่นิ่งของฉันด้วยโซ่ตรวนอีกครั้ง คราวนี้แน่นหนา และทนทานยิ่งกว่าเดิม ป้องกันไม่ให้ฉันขยับได้มากไปกว่าการนั่งนิ่งๆเท่านั้น

ฉันรู้สึกสับสน และมึนงงจากกระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านไปทั่วทั้งร่างก่อนหน้านี้

ไทเลอร์ยกมือขึ้นทาบอกตนเอง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “ฉันเสียใจ” เขาถอนหายใจ “ถ้าเลือกได้ ฉันก็ไม่อยากทำแบบนี้กับเธอ มันไม่ใช่สิ่งที่ลูกผู้ชายควรจะปฏิบัติต่อผู้หญิง -- โดยเฉพาะเด็กสาวอย่างเธอ”

ฉันมองเขานิ่ง

“ไม่มีผู้ชายคนไหนที่ไม่ใช้กำลัง” ฉันบอก

ไทเลอร์เลิกคิ้ว “แม้แต่พ่อเธอหรือ”

ฉันไม่ตอบคำถามนั้น

“ไม่เอาน่า จอร์แดน” ไทเลอร์ว่า “เธอทำให้ฉันไม่มีทางเลือก”

ฉันยังคงมองเขา “ทำไม” ฉันถาม “คุณทำแบบนี้กับเราทำไม”

“ฉันพยายามที่จะเข้าใจความลับอะไรบางอย่าง --” ไทเลอร์ตอบ

ตอนนั้นเองที่เสียงเคาะประตูดังขึ้น ไทเลอร์ขานรับเป็นเชิงอนุญาตให้อีกฝ่ายเดินเข้ามาได้

ชายร่างยักษ์คนเดิมเดินเข้ามา ปรายตามองมาทางไทเลอร์ ฉัน และร่างของเคลลี่ที่นอนหมดสติอยู่บนพื้น จากนั้นจึงมองโซ่ตรวน และเศษเก้าอี้ไม้ที่แตกกระจายไปทั่ว

“ผมได้ยินเสียงดัง” เขาหันมาทางไทเลอร์ “คุณไม่ต้องการให้เราเฝ้ายามหน้าประตูนี้แน่นะ”

“ไม่เป็นไร อาเธอร์” ไทเลอร์ตอบ

อาเธอร์มองฉัน “เธอทำลายโซ่ได้งั้นหรือ” เขาถามช้าๆ ด้วยน้ำเสียงทึ่งระคนตื่นตกใจ

ไทเลอร์พยักเพยิดหน้าไปทางเคลลี่ “เอาตัวเขากลับไป”

อาเธอร์ทำตามคำสั่งนั้น เขาแบกร่างเคลลี่พาดบ่าอย่างง่ายดาย ก่อนจะเดินออกไป ปล่อยให้ไทเลอร์อยู่กับฉันภายในห้องตามเดิม

“ฉันไม่รู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่” ไทเลอร์นั่งลงตรงขอบโต๊ะอีกครั้ง สองขาพาดมาเบื้องหน้า ดวงตาจับจ้องมองมานิ่ง “เพราะฉันไม่รู้ว่าเธอได้ยินอะไรเกี่ยวกับฉันมาบ้าง -- แต่ฉันไม่ได้เป็นคนไม่ดีอย่างที่เธอคิด”

ฉันมองเขาโดยไม่หลบสายตา

“ได้ยินหรือ” ฉันถาม ยังคงสัมผัสได้ถึงเลือดที่ไหลมาตามขมับข้างหนึ่งของตนเอง “คุณคิดว่าฉันตัดสินคุณ จากเรื่องที่ได้ยินคนอื่นบอกมาหรือ ไทเลอร์”

ไทเลอร์ยิ้มให้กับคำถามของฉัน

“คนอื่นที่ว่า --” เขาเน้นเสียง “คือพ่อของเธอใช่ไหม”

ฉันไม่ได้ตอบเขา

“แมตต์ไม่ค่อยพูดเรื่องเธอให้ฉันฟังเสียเท่าไหร่ --” ไทเลอร์บอกต่อไป “ทำไมกันล่ะ จอร์แดน -- ทำไมเขาถึงไม่พูดถึงเธอให้ใครฟัง”

“อาจจะเพราะ --” ฉันเค้นเสียงตอบ “พ่อกับคุณเข้ากันได้ไม่ดีเสียเท่าไหร่”

ไทเลอร์ยิ้ม ดวงตาสีน้ำเงินคล้ายจะสว่างเจิดจ้าขึ้นมา ก่อนจะหายไปอย่างรวดเร็ว “เขาพูดถึงฉันให้เธอฟังจริงๆสินะ” เขาว่า เดินไปยังหลังโต๊ะ แล้วลากเก้าอี้ไม้ตัวหนึ่งออกมา นั่งลงเบื้องหน้าฉัน โดยยังคงรักษาระยะห่างเอาไว้

ฉันมองร่างที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อนั่น พินิจมองไปตามรอยแผลเป็นที่ปรากฏไปทั่วท่อนแขน และลำคอนั้นอย่างเงียบๆ

แวบหนึ่งเขาดูคล้ายพ่อ -- แข็งแรง และเต็มไปด้วยบาดแผล -- หากแต่พ่อร่างสูงกว่า และเป็นคนเงียบขรึมกว่าไทเลอร์มากนัก

ไทเลอร์ยังคงไม่หยุดถามคำถามฉัน

“เขาพูดอะไรเกี่ยวกับฉัน”

ฉันอยากให้เขาหยุดถามคำถามฉัน

“เขาบอกว่าฉันร้ายกาจ เจ้าเล่ห์ และเชื่อถือไม่ได้ใช่ไหม” ไทเลอร์กระซิบ “สำหรับเธอแล้ว ฉันคือคนแบบที่พ่อเธอพูดถึงไว้แบบนั้นใช่ไหม”
 
 
“ไทเลอร์เป็นคนอันตราย” พ่อพูดขึ้นในเช้าวันหนึ่ง ขณะป้อนน้ำตาลก้อนให้โรซี่ ม้าดำของเราในโรงม้า “ลูกต้องระวังตัวจากเขา”

พ่อหมุนตัวกลับมามองฉัน ที่กำลังยืนเอามือไพล่หลังอยู่เงียบๆ

“ห้ามไว้ใจใครทั้งนั้น” เขาบอก

ฉันพยักหน้ารับ

“นี่คือสิ่งที่ลูกต้องจำไว้ให้ดี ก่อนที่เราจะเข้าหมู่บ้านด้วยกัน” พ่อบอก จูงโรซี่ออกไปทางด้านนอกรั้ว “เราต้องซื้อของจำเป็นบางอย่าง” 

ฉันขมวดคิ้วเล็กน้อย

“ถามมา” พ่อพูดโดยไม่หันกลับมามองฉัน

ฉันแปลกใจกับท่าทีของพ่อ

“คำถามของลูกคืออะไร” พ่อหยุดฝีเท้า สวมเสื้อคลุมหนังตัวเก่าอย่างไม่เร่งรีบ

ฉันมองแผ่นหลัง และเรือนผมหยักศกของพ่อ -- ลังเลเล็กน้อย หากแต่ตัดสินใจถามไปว่า “ทำไมกัน” ฉันส่ายหน้า “เรายังมีเสบียงในบ้าน”

พ่อหันมามองฉัน “ของจำเป็น จอร์แดน” พ่อพูดย้ำ “ของจำเป็นไม่ได้มีแค่เสบียง”

ฉันมองพ่อโหนตัวขึ้นขี่โรซี่ ก่อนจะขึ้นตามไปนั่งซ้อนทางด้านหลัง

“ถามมา” พ่อพูดขึ้นอีก ใบหน้านั้นคล้ายจะหันชำเลืองมองมาเล็กน้อย “ลูกอยากถามอะไร”

“ของจำเป็นของพ่อที่ต้องซื้อคืออะไรกัน” ฉันตัดสินใจที่จะถามอย่างตรงไปตรงมา “เราถึงกับต้องรีบเข้าหมู่บ้านเสียขนาดนี้”

ไม่มีประโยชน์ที่จะปิดบังคนแบบพ่อ ที่รู้ทันความคิดคนอื่นมากขนาดนี้ --

พ่อนิ่งไปเล็กน้อย คล้ายจะประมวลสิ่งที่ฉันถาม

“ลูกไม่อยากเข้าหมู่บ้าน พ่อรู้” พ่อตอบ บังคับโรซี่ให้ออกเดินไปตามทาง ตรงเข้าสู่ชายป่า “กล้าหาญไว้ จอร์แดน แล้วพวกเขาจะทำอะไรลูกไม่ได้”

ฉันหลับตาลง ควบคุมอารมณ์ตนเอง มือที่ยึดเอวพ่ออยู่เผลอกระชับแน่นเข้าอย่างลืมตัว

พ่อสัมผัสได้ในทันที

“ลูกกำลังโกรธ” พ่อบังคับโรซี่ให้เลี้ยวไปอีกทางหนึ่ง “ทำไมกัน”

“หนูไม่ได้กลัวพวกเขา” ฉันตอบสั้นๆ

“ดีแล้ว” เสียงพ่อคล้ายจะหัวเราะเล็กน้อย “ไม่กลัว ก็ดีแล้ว”

และมันทำให้ฉันโมโหมากกว่าเดิม --

กล้าหาญงั้นหรือ

ฉันไม่จำเป็นต้องใช้ความกล้าหาญกับพวกเขาแม้สักนิด --

เดิมทีพวกเขาก็ไม่กล้าสบตามองฉัน หรือพูดอะไรต่อหน้าฉันโดยตรงด้วยซ้ำ -- พวกเขาทำทุกอย่างนั่นลับหลังฉันอยู่เสมอ

เด็กประหลาด -- พวกเขามักจะกระซิบกระซาบ ในตอนที่ฉันกับพ่อเข้าไปในหมู่บ้าน -- เด็กไม่มีแม่ที่แปลกประหลาด และน่ากลัวคนนั้น!

ฉันโกรธพวกเขา -- เกลียดสายตาที่จ้องมองมาอย่างรังเกียจเดียดฉันท์เหล่านั้น

แม้ว่าฉันจะไม่ได้ตามพ่อเข้าไปในหมู่บ้านทุกครั้ง แต่พวกเขาก็มักจะแสดงท่าทีไม่แตกต่างจากเดิมเสียเท่าไหร่ ในทุกครั้งที่ฉันตามพ่อเข้าไปซื้ออะไหล่ชิ้นใหม่

ทำไมกัน --

“ทำไมพวกเขาไม่ยอมรับหนู” แรงโทสะทำให้ฉันโพล่งถามออกมาอย่างลืมตัว

“เพราะลูกแตกต่างจากพวกเขา” พ่อตอบกลับมา “มนุษย์มักป้องกันตัวจากสิ่งที่พวกเขาไม่เข้าใจอยู่เสมอ -- เปิดหูเปิดตาเอาไว้ แล้วลูกจะปลอดภัยจากทุกคน”

ฉันพ่นลมออกมาทางจมูก ความไม่พอใจปะทุขึ้นมาในใจมากกว่าเดิม จนแทบจะเป็นเดือดดาล ฉันขยับตัว กระโดดลงมาจากหลังม้าในทันที

หากแต่เป็นมือของพ่อที่คว้าร่างฉันไว้แน่น ก่อนที่ฉันจะได้ทันขยับตัว!

“ปล่อย!” ฉันดึงมือพ่อออก

พ่อยังคงยึดฉันไว้แน่น

“ปล่อย!!” ฉันตะคอก แรงโทสะทำให้ฉันกำหมัดแน่น แล้วชกพ่อเข้าที่กลางหลัง

พ่อหยุดโรซี่ลงกลางป่าอย่างรวดเร็ว ความเร็วที่ถูกหยุดอย่างกะทันหันนั้น ทำให้ฉันตกใจขึ้นมาเล็กน้อย ยิ่งตื่นตระหนกมากขึ้นเมื่อพ่อออกแรงเหวี่ยงฉันลงจากหลังม้าดังโครม!

ฉันกระแทกลงกับพื้นดิน หนามอันแหลมคมจากพงไม้บาดแขนฉันเล็กน้อย เบาบางจนแทบไม่เจ็บปวด หากแต่มันกลับกระตุ้นให้ภายในใจฉันยิ่งอัดแน่นไปด้วยอารมณ์อันพลุ่งพล่าน

พ่อตามติดลงมา สองมือล้วงกระเป๋า เอนน้ำหนักไปทางขาข้างหนึ่ง ราวกับกำลังมองสัตว์บาดเจ็บบนพื้นมากกว่าจะมองฉันผู้เป็นลูกสาวของเขา

“อย่า” ฉันจ้องมองพ่ออย่างโมโห

“อย่าอะไร” สีหน้าของพ่อยังคงนิ่งสนิท

“อย่ามองหนูด้วยสายตาดูถูกแบบนั้น”

“ลูกทำตัวลูกเอง”

ฉันสบถออกมา ลุกขึ้น ปราดเข้าไปที่พ่อ แล้วปล่อยหมัดใส่อย่างเต็มแรง

ผัวะ!

พ่อปัดหมัดฉันอย่างง่ายดาย คว้าข้อมือฉันไว้แน่น มืออีกข้างยึดท่อนแขนฉันแล้วออกแรงกระชากไปอีกทาง

ฉันร้องออกมา รู้สึกข้อมือเกือบหักในวินาทีนั้น

หากแต่พ่อยั้งแรงเอาไว้ในวินาทีสุดท้าย ใบหน้าที่อยู่ห่างจากฉันไปมีกี่คืบนั้นจ้องมองมาอย่างผู้ชนะ

นั่นทำให้ฉันเดือดดาลมากยิ่งขึ้น

ตอนนั้นเองที่พ่อดึงมีดพกอันคมกริบออกมาจากขอบเอวของตนเอง

“ลูกยังป้องกันตัวในระยะใกล้ได้ไม่ดีพอ” พ่อบอก ยัดมันใส่มือฉัน “เก็บมันไว้ ลูกอาจต้องใช้มัน”

ฉันคำราม สะบัดข้อมือหลุด แล้วยกศอกกระแทกร่างพ่อเข้ากลางอก ซัดหมัดตรงเข้าที่หน้าพ่อจนสุดแรง

ร่างอันสูงใหญ่ของพ่อไม่ได้แม้แต่ก้าวถอยหนี พ่อยังคงยืนอยู่ตรงนั้น ทำแค่เพียงยกมือขึ้นรับหมัดฉันอย่างง่ายดาย

พ่อบีบมือฉันไว้แน่น ในตอนที่พูดว่า “เบาไป”

เสียงอันแผ่วเบาของพ่อคล้ายจะกระตุ้นให้ฉันสูญเสียการควบคุมตนเอง

ในเสี้ยววินาทีนั้นฉันกำมีดในมือแน่น แล้วตวัดมันใส่พ่อ

เสียงดังบาดอากาศดังขึ้น --

เกิดความเงียบขึ้นมาชั่วขณะ ทั้งฉันและพ่อต่างหยุดนิ่ง มือยังคงยกค้างอยู่กลางอากาศ ในตอนที่เราสบตามองกัน

แล้วในความมืดสลัวยามเย็นนั้น ฉันก็เห็นรอยบาดบนแก้มข้างหนึ่งของพ่อ เป็นรอยยาวไปจนถึงกลางหน้า -- เลือดสีแดงนั้นไหลหยดลงบนเสื้อสีขาวของพ่อ จนปรากฏให้เห็นรอยเลือดอย่างชัดเจน

แล้วโดยไม่ทันตั้งตัว พ่อก็ดันร่างฉัน จนฉันเสียหลักเกือบล้มลง

เสี้ยววินาทีที่ฉันเผลอนั้นเอง พ่อได้ปราดเข้ามาประชิดอย่างรวดเร็ว ท่อนแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามดันร่างฉันกระแทกเข้ากับต้นไม้ขนาดใหญ่ทางด้านหลัง ออกแรงตรึงลำคอฉันไว้แน่น จนฉันเกือบหายใจไม่ออก

แวบนั้นใบหน้าอันนิ่งสนิทของพ่อดูน่ากลัวขึ้นมาในพริบตา ดวงตาสีเขียวคล้ายจะเข้มขึ้นมาจนเห็นจุดสีฟ้าสว่างขึ้นกลางม่านตาคู่นั้น

“ลูกทำตัวลูกเอง” พ่อกระซิบ ตรึงฉันแน่นขึ้นอีก เมื่อฉันพยายามสู้กลับ “ลูกเลือกให้ตัวเองได้รับการปฏิบัติแบบนี้กลับมาเอง”

ฉันคำรามแน่น พยายามสะบัดใบหน้าตนเองให้หลุดจากฝ่ามือของพ่อ ที่ตรึงใบหน้าฉันไว้แน่น

“พ่อกำลังโมโห เพราะหนูสู้กลับงั้นหรือ” ฉันเค้นเสียงถาม สูดลมหายใจเข้าลึก “ทั้งๆที่พ่อเป็นฝ่ายไม่ฟังหนูก่อนด้วยซ้ำไป -- หนูบอกให้ปล่อย -- ทำไมไม่ปล่อย! ทำไมต้องบังคับให้หนูไปหมู่บ้านกับพ่อด้วย!”

เสียงฉันดังขึ้นราวกับสูญเสียการควบคุมตัวเอง

“หลายต่อหลายครั้งแล้วที่พ่อยืนยันที่จะไปตัวคนเดียว แล้วขังหนูไว้ในบ้านนั่นกับอีวานเจลีน  แล้วทำไมครั้งนี้ต้องบังคับให้หนูไปกับพ่อ ในเมื่อครั้งนี้หนูไม่อยากจะไป! ทำไมพ่อต้องบังคับหนูไปเสียทุกอย่าง ออกคำสั่งไปเสียทุกเรื่อง! ทำไมต้องให้หนูเป็นตัวตลกในสายตาคนอื่น ในเมื่อคนที่ทำให้เราเป็นตัวประหลาดแบบนี้ ก็คืออีวานเจลีน!”

ฉันมองพ่อด้วยแววตาเคียดแค้น ออกแรงดิ้นรนให้เป็นอิสระจากฝ่ามือพ่อ รู้สึกรังเกียจสัมผัสอันหยาบกระด้างนั่นจนแทบคลั่ง

“กล้าหาญงั้นหรือ” ฉันเค้นเสียงหัวเราะอย่างเหยียดหยัน “เก็บความกล้าหาญของพ่อไว้ใช้กับอีวานเจลีน ชู้รักของพ่อเถอะ! พ่อต้องใช้มันแน่ ในตอนที่ยาย
สารเลวนั่นคิดแทงพ่อข้างหลัง!”

ดวงตาของพ่อเย็นยะเยือกขึ้นมาในวินาทีนั้น

ผัวะ!
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่