ความมั่งคั่งในตลาดหุ้น(อาจ)เป็นภาพลวงตา (thansettakij.com)
https://www.thansettakij.com/finance/stockmarket/548479
ความมั่งคั่งของคนหรือนักลงทุนในตลาดหุ้นนั้น สามารถเปลี่ยนแปลงได้มากและเกิดขึ้นได้เร็วมาก บางครั้งอาจจะชั่วข้ามคืน เพราะราคาหุ้นในตลาด โดยเฉพาะหุ้นที่ขึ้นไปแรงมากจน “แทบจะเป็นไปไม่ได้” มองจากพื้นฐานของธุรกิจ โดยเฉพาะจากนักลงทุนแบบ “VI พันธุ์แท้” สไตล์วอเร็นบัฟเฟตต์ที่ Conservative และมีหลักการลงทุนสำคัญที่ว่า ต้องซื้อเฉพาะหุ้นของกิจการที่ดีในราคาถูกหรือยุติธรรม และลงทุนอะไรก็คิดว่าจะต้องไม่ขาดทุนและมีมาร์จินออฟเซฟตี้เสมอ
นอกจากนั้น จะต้องมีการกระจายความเสี่ยงของการลงทุนเพียงพอ ไม่ลงทุนในกิจการหรือหุ้นเพียงตัวหรือสองตัวหรืออุตสาหกรรมเพียงอย่างเดียวเช่นเฉพาะพวกดิจิทัลเป็นต้น
ผมเองมีความเชื่อว่า ความมั่งคั่งของเราที่อยู่ในหุ้นหรือในตลาดหุ้นนั้น ส่วนใหญ่แล้วไม่ใช่ของจริง แต่เป็น “Illusion” หรือ “ภาพลวงตา” เพราะมันมีโอกาสเปลี่ยนแปลงไป บางครั้งมากจนทำให้สถานะเปลี่ยนได้ เช่น จากเศรษฐีเป็นคนธรรมดาหรือยาจกได้ คำว่า “คนเคยรวย” หรือ “เจ้าสัวเยสเตอร์เดย์” ที่พูดกันมากในยุควิกฤติปี 2540 นั้น เกิดขึ้นได้ตลอดเวลาและแม้แต่ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจปกติและโดยเฉพาะในช่วงที่หุ้นบางกลุ่มหรือตลาดหุ้นร้อนแรงซึ่งก็น่าจะรวมถึงช่วงเร็ว ๆ นี้ที่หุ้นเก็งกำไรหรือหุ้นปั่นทั้งตัวเล็กและใหญ่ได้สร้างเซียนหรือเศรษฐีหุ้นขึ้นมากมาย
การตระหนักว่าความมั่งคั่งในหุ้นหรือตลาดหุ้นเป็นภาพลวงตานั้น ผมคิดว่าควรเป็นคุณสมบัติที่สำคัญอย่างหนึ่งของ “VI พันธุ์แท้” ที่เน้นการลงทุนระยะยาวเพื่อชีวิตที่มั่นคงหรือชีวิตที่มั่งคั่ง เพราะการตระหนักในสิ่งนี้จะทำให้เราทบทวนเสมอว่าพอร์ตการลงทุนของเราใหญ่เพียงพอหรือไม่ที่จะดูแลชีวิตและครอบครัวของเราได้อย่างมั่นคงและโอกาสที่จะผิดพลาดนั้นต่ำและอยู่ในระดับที่ยอมรับได้
นักลงทุนจำนวนไม่น้อยคิดว่าค่า PE ที่สูงนั้นไม่สำคัญ เพราะบริษัท “โตเร็วมาก” และนี่ก็คือสิ่งที่ VI โดยเฉพาะที่เป็นคนหนุ่มสาวยุคใหม่เชื่อ ดังนั้น เขาก็อาจจะไม่รู้สึกว่าหุ้นที่มีราคาวิ่งขึ้นไปเร็วมากและค่า PE สูงสุดกู่จะเป็นหุ้นที่อาจจะตกลงมาได้แรงมาก พวกเขาคิดว่านี่คือหุ้นที่ดีและแข็งแกร่งและจะวิ่งขึ้นไปอีกมาก และนี่อาจจะเป็นหุ้น “เปลี่ยนชีวิต” ของเขา ซึ่งผมเองกลับคิดว่ามันมีโอกาสที่จะ “เปลี่ยนชีวิตให้จนลง” ได้เช่นเดียวกัน
วิธีลดภาพลวงตาลงหรือทำให้เราปลอดภัยว่าเงินจะไม่น้อยไปกว่านั้นมากก็คือ การกระจายความเสี่ยงโดยการไม่ถือหุ้นในอุตสาหกรรมหรือหุ้นตัวใดตัวหนึ่งที่ใหญ่เกินไป หุ้นใหญ่ที่สุดไม่ควรจะเกิน 30-40% ของพอร์ต หุ้นใหญ่ที่สุด 5-6 ตัวรวมกันต้องไม่เกิน 75% ของพอร์ต เป็นต้น นอกจากนั้นก็จะต้องดูว่าหุ้นแต่ละตัวต้องเป็นหุ้นที่เป็น “Value” จริง ๆ ที่มีความแข็งแกร่งของกิจการและมีค่า PE ไม่สูงเกินไป
VI บางคนที่ผมรู้จักดูถึงขนาดว่าค่า PE เฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของพอร์ตนั้นไม่เกินกี่เท่า เช่น ไม่เกิน 12 -15 เท่าอะไรทำนองนั้น ซึ่งการทำแบบนี้เองก็ไม่ได้หมายความว่าความมั่งคั่งของเขาจะเป็นจริงตามที่เห็น 100% แต่อย่างน้อยมูลค่าหุ้นก็มีความมั่นคงพอสมควร ไม่เป็น “ภาพลวงตา” และนั่นก็คงคล้าย ๆ กับความมั่งคั่งของวอเร็นบัฟเฟตต์ที่มีเสถียรภาพมากต่อเนื่องยาวนานหลายสิบปี และไม่เหมือนเจ้าของบริษัทที่มักจะ “ถือหุ้นตัวเดียว” และราคาหุ้นเปลี่ยนแปลงมากมายจนแทบจะหามูลค่าความมั่งคั่งที่แท้จริงไม่ได้





กวางสรุปสั้นๆให้ คือ ซื้อหุ้นที่กิจการแข็งแกร่ง ในราคาที่เหมาะสม มีมาร์จิ้นออฟเซฟตี้ มีการกระจายหุ้นไปหลายอุตสาหกรรม ไม่กระจุกตัวอยู่ในตัวใดตัวหนึ่ง ซื้อประมาณ 8-10ตัว ในพอร์ต จะช่วยลดโอกาสที่เงินของเราจะกลายเป็นภาพลวงตา จากเศรษฐีเป็นยาจกได้ค่ะ (ตามตัวแบบคือวอร์เรนบัฟเฟต)
ความมั่งคั่งในตลาดหุ้น(อาจ)เป็นภาพลวงตา บทความโดย : ดร.นิเวศน์
https://www.thansettakij.com/finance/stockmarket/548479
ความมั่งคั่งของคนหรือนักลงทุนในตลาดหุ้นนั้น สามารถเปลี่ยนแปลงได้มากและเกิดขึ้นได้เร็วมาก บางครั้งอาจจะชั่วข้ามคืน เพราะราคาหุ้นในตลาด โดยเฉพาะหุ้นที่ขึ้นไปแรงมากจน “แทบจะเป็นไปไม่ได้” มองจากพื้นฐานของธุรกิจ โดยเฉพาะจากนักลงทุนแบบ “VI พันธุ์แท้” สไตล์วอเร็นบัฟเฟตต์ที่ Conservative และมีหลักการลงทุนสำคัญที่ว่า ต้องซื้อเฉพาะหุ้นของกิจการที่ดีในราคาถูกหรือยุติธรรม และลงทุนอะไรก็คิดว่าจะต้องไม่ขาดทุนและมีมาร์จินออฟเซฟตี้เสมอ
นอกจากนั้น จะต้องมีการกระจายความเสี่ยงของการลงทุนเพียงพอ ไม่ลงทุนในกิจการหรือหุ้นเพียงตัวหรือสองตัวหรืออุตสาหกรรมเพียงอย่างเดียวเช่นเฉพาะพวกดิจิทัลเป็นต้น
ผมเองมีความเชื่อว่า ความมั่งคั่งของเราที่อยู่ในหุ้นหรือในตลาดหุ้นนั้น ส่วนใหญ่แล้วไม่ใช่ของจริง แต่เป็น “Illusion” หรือ “ภาพลวงตา” เพราะมันมีโอกาสเปลี่ยนแปลงไป บางครั้งมากจนทำให้สถานะเปลี่ยนได้ เช่น จากเศรษฐีเป็นคนธรรมดาหรือยาจกได้ คำว่า “คนเคยรวย” หรือ “เจ้าสัวเยสเตอร์เดย์” ที่พูดกันมากในยุควิกฤติปี 2540 นั้น เกิดขึ้นได้ตลอดเวลาและแม้แต่ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจปกติและโดยเฉพาะในช่วงที่หุ้นบางกลุ่มหรือตลาดหุ้นร้อนแรงซึ่งก็น่าจะรวมถึงช่วงเร็ว ๆ นี้ที่หุ้นเก็งกำไรหรือหุ้นปั่นทั้งตัวเล็กและใหญ่ได้สร้างเซียนหรือเศรษฐีหุ้นขึ้นมากมาย
การตระหนักว่าความมั่งคั่งในหุ้นหรือตลาดหุ้นเป็นภาพลวงตานั้น ผมคิดว่าควรเป็นคุณสมบัติที่สำคัญอย่างหนึ่งของ “VI พันธุ์แท้” ที่เน้นการลงทุนระยะยาวเพื่อชีวิตที่มั่นคงหรือชีวิตที่มั่งคั่ง เพราะการตระหนักในสิ่งนี้จะทำให้เราทบทวนเสมอว่าพอร์ตการลงทุนของเราใหญ่เพียงพอหรือไม่ที่จะดูแลชีวิตและครอบครัวของเราได้อย่างมั่นคงและโอกาสที่จะผิดพลาดนั้นต่ำและอยู่ในระดับที่ยอมรับได้
นักลงทุนจำนวนไม่น้อยคิดว่าค่า PE ที่สูงนั้นไม่สำคัญ เพราะบริษัท “โตเร็วมาก” และนี่ก็คือสิ่งที่ VI โดยเฉพาะที่เป็นคนหนุ่มสาวยุคใหม่เชื่อ ดังนั้น เขาก็อาจจะไม่รู้สึกว่าหุ้นที่มีราคาวิ่งขึ้นไปเร็วมากและค่า PE สูงสุดกู่จะเป็นหุ้นที่อาจจะตกลงมาได้แรงมาก พวกเขาคิดว่านี่คือหุ้นที่ดีและแข็งแกร่งและจะวิ่งขึ้นไปอีกมาก และนี่อาจจะเป็นหุ้น “เปลี่ยนชีวิต” ของเขา ซึ่งผมเองกลับคิดว่ามันมีโอกาสที่จะ “เปลี่ยนชีวิตให้จนลง” ได้เช่นเดียวกัน
วิธีลดภาพลวงตาลงหรือทำให้เราปลอดภัยว่าเงินจะไม่น้อยไปกว่านั้นมากก็คือ การกระจายความเสี่ยงโดยการไม่ถือหุ้นในอุตสาหกรรมหรือหุ้นตัวใดตัวหนึ่งที่ใหญ่เกินไป หุ้นใหญ่ที่สุดไม่ควรจะเกิน 30-40% ของพอร์ต หุ้นใหญ่ที่สุด 5-6 ตัวรวมกันต้องไม่เกิน 75% ของพอร์ต เป็นต้น นอกจากนั้นก็จะต้องดูว่าหุ้นแต่ละตัวต้องเป็นหุ้นที่เป็น “Value” จริง ๆ ที่มีความแข็งแกร่งของกิจการและมีค่า PE ไม่สูงเกินไป
VI บางคนที่ผมรู้จักดูถึงขนาดว่าค่า PE เฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของพอร์ตนั้นไม่เกินกี่เท่า เช่น ไม่เกิน 12 -15 เท่าอะไรทำนองนั้น ซึ่งการทำแบบนี้เองก็ไม่ได้หมายความว่าความมั่งคั่งของเขาจะเป็นจริงตามที่เห็น 100% แต่อย่างน้อยมูลค่าหุ้นก็มีความมั่นคงพอสมควร ไม่เป็น “ภาพลวงตา” และนั่นก็คงคล้าย ๆ กับความมั่งคั่งของวอเร็นบัฟเฟตต์ที่มีเสถียรภาพมากต่อเนื่องยาวนานหลายสิบปี และไม่เหมือนเจ้าของบริษัทที่มักจะ “ถือหุ้นตัวเดียว” และราคาหุ้นเปลี่ยนแปลงมากมายจนแทบจะหามูลค่าความมั่งคั่งที่แท้จริงไม่ได้
กวางสรุปสั้นๆให้ คือ ซื้อหุ้นที่กิจการแข็งแกร่ง ในราคาที่เหมาะสม มีมาร์จิ้นออฟเซฟตี้ มีการกระจายหุ้นไปหลายอุตสาหกรรม ไม่กระจุกตัวอยู่ในตัวใดตัวหนึ่ง ซื้อประมาณ 8-10ตัว ในพอร์ต จะช่วยลดโอกาสที่เงินของเราจะกลายเป็นภาพลวงตา จากเศรษฐีเป็นยาจกได้ค่ะ (ตามตัวแบบคือวอร์เรนบัฟเฟต)