การล้มประมูลใบอนุญาตการเข้าใช้สิทธิในวงโคจรดาวเทียมในลักษณะจัดชุด เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2564 กำลังจะกลับมาเป็นที่สนใจอีกครั้ง เมื่อสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. เคาะเปิดประมูลสิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียมอีกครั้งในวันที่ 8 ม.ค. 2566 นี้อีกครั้ง
สำหรับการประมูลวงโคจรดาวเทียมเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2564 ที่ผ่านมานั้น มีความซับซ้อน และไม่ชอบด้วยเหตุด้วยผลหลายอย่าง จนนำมาสู่การคัดค้านของ นพ.ระวี มาศฉมาดล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังธรรมใหม่ ดังนี้
1. TOR มีการล็อคสเปคผู้ที่สามารถจะเข้าร่วมประมูลได้แบบจำกัด ด้วยเงื่อนไขที่ว่า
"ต้องเป็นผู้มีประสบการณ์เท่านั้น" ซึ่งผู้มีประสบการณ์มีเพียงไทยคม ที่กัลฟ์เป็นเจ้าของเท่านั้น ทำให้นึกถึงสมัยดร.ทักษิณ ชินวัตร ที่มีการวางหมากไว้ ซึ่งการที่เป็นผู้เล่นรายเดียวมากว่า 30 ปี ทำให้น่าจะเหลือเอกชนที่มีคุณสมบัติสามารถเข้าประมูลได้เพียง 1 ราย และรัฐวิสาหกิจไทยอีก 1 รายเท่านั้น นั่นก็คือ บริษัท ไทยคม จำกัด (ผู้รับสัมปทานวงโคจรดาวเทียมเดิม) และ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT เท่านั้น ที่จะมีความสามารถมาบริหารจัดการได้
ข้อจำกัดดังกล่าว ทำให้ไม่มีเอกชนรายใหม่ในประเทศไทยที่จะสามารถเข้ามาแข่งขัน และให้บริการในธุรกิจดาวเทียมได้เลย เพราะว่ามีการล็อคสเปคอยู่ในเงื่อนไขไว้ชัดเจน ทำให้เหลือเพียงแค่ผู้ให้บริการรายเดิมเพียงบริษัทเดียวที่สามารถเข้าร่วมประมูลได้ นั่นก็คือ บริษัท ไทยคม จำกัด
2. คลื่นความถี่ และกิจการดาวเทียมถือเป็นสาธารณสมบัติของชาติไทย ทำให้มีนโยบายที่ไม่ให้บริษัทต่างชาติเป็นถือหุ้นรายใหญ่ ตามพระราชบัญญัติประกอบธุรกิจคนต่างด้าว และพระราชบัญญัติการประกอบกิจการโทรคมนาคม โดยเฉพาะการสื่อสารเพื่อความมั่นคงทางทหาร (คลื่นทหาร)
สำหรับบทเรียนในอดีต ในสมัยที่อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ขายหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (ซึ่งเป็นผู้ถือรายหุ้นใหญ่ใน
บริษัท ไทยคม จำกัด) ได้ขายหุ้นให้ บริษัท เทมาเส็ก โฮลดิงส์ จำกัด ซึ่งบริษัทนี้เป็นกองทุนเพื่อการลงทุนของรัฐบาลสิงคโปร์ มีกระทรวงพาณิชย์ของสิงคโปร์เป็นผู้ถือหุ้นรายเดียว
ทำให้เห็นได้ว่าผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในบริษัทไทยคม ที่แท้จริงก็คือ บริษัทเทมาเส็กโฮลดิงส์ ที่สามารถล็อบบี้ และควบคุมการบริหาร และดำเนินนโยบายในกิจการดาวเทียมไทยคม โดยลำดับเป็นทอดๆ ได้
3. การแข่งขันที่เสรี และเป็นธรรม ปรากฏว่าบริษัท ไทยคม มีกรณีข้อพิพาทกับรัฐบาลเยอะมาก เช่น กรณีปัญหาการขัดข้องของดาวเทียมไทยคม 5 หลายครั้ง แบตเตอรี่หมด และตกลงสู่ทะเล จนทำให้เกิดเหตุขัดข้องทางเทคนิค จนส่งผลให้บางช่องรายการของทรูวิชันส์ ไม่สามารถส่งสัญญาณออกอากาศได้ในขณะนั้น หรือ ไทยคม 7 และ 8 ที่มีข้อพิพาทอยู่ในศาล ถึงแม้ว่าศาลปกครองจะทุเลา มติกสทช. ชั่วคราว เพื่อเปิดทางให้ “ไทยคม” ใช้ดาวเทียม ไทยคม 7-8 ต่อไปก็ตาม จนกว่าจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเป็นอย่างอื่น
รวมทั้ง บริษัท มิว สเปซ แอนด์ แอดวานซ์ เทคโนโลยี จำกัด หนึ่งในผู้มาขอเอกสารเพื่อขอเข้าร่วมประมูลฯ ด้วย จึงทำให้เกิดความชอบธรรม และเกิดการแข่งขันโดยเสรีได้ แต่พอถึงเวลายื่นเอกสารเพื่อเข้าร่วมการคัดเลือกฯ มีเพียงบริษัท ทีซี สเปซ คอนเน็ค จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกของไทยคม ถือหุ้น 100% ยื่นเอกสารประมูลเพียงเจ้าเดียวเท่านั้น ส่วนบริษัท มิว สเปซ แอนด์ แอดวานซ์ เทคโนโลยี จำกัด >>
ไม่มา <<
4. การเปิดประมูลชุดสิทธิในการเข้าใช้งานวงโคจรดาวเทียมที่จะนำมาประมูลฯ 4 ชุด 7 วงโคจร โดยใน 4 ชุดประมูลฯ รวมทั้งชุดที่ให้บริการอยู่แล้ว และชุดที่ยังไม่ได้เปิดให้บริการ
• ชุดที่ 1 - วงโคจร 50.5E และ 51E และ ชุดที่ 4 - วงโคจร 126E และ 142E ยังไม่มีการใช้งาน และยิงดาวเทียม
ดังนั้น ข้อชี้แจงที่ทาง
กสทช. พยายามอ้างสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ หรือ ITU ว่า ถ้าไม่มีการใช้งาน ประเทศไทยอาจโดนเพิกถอนสิทธิการใช้งานวงโคจรดังกล่าว แม้ผ่านมานานหลายปีแล้ว ถึงแม้ปัจจุบันทาง ITU ก็ยังไม่ยึดสิทธิการใช้งานวงโคจรดังกล่าวกลับคืนไปแต่อย่างใด เพราะวงโคจรดังกล่าวไม่ตอบสนองต่อการใช้งานในธุรกิจ จึงทำให้ยังไม่มีเอกชนสนใจใช้งาน
อย่างไรก็ตาม การประมูลฯ ครั้งนั้น มีการเปิดประมูลในชุดที่อยู่ในการใช้งานอยู่ด้วย นั่นก็คือ ชุดที่ 2 และชุดที่ 3
• ชุดที่ 2 - วงโคจร 78.5E (ดาวเทียมไทยคม 6 และ 8) และชุดที่ 3 - วงโคจร 119.5E (ดาวเทียมไทยคม 4) และ 120E
แม้ไทยคม 4 และไทยคม 6 รัฐบาลได้มอบให้กับทาง NT เป็นผู้บริหารจัดการทรัพย์สินของโครงการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ หลังสัญญาดำเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศของไทยคมสิ้นสุดลง ซึ่งการประมูลล่วงหน้านานโดยที่ยังไม่หมดอายุสัญญา หากดาวเทียมขัดข้อง หรือเสียหายก่อนสิ้นอายุสัญญา บริษัทไทยคมจะต้องรับผิดชอบจัดหาดาวเทียมสำรองมาทดแทนให้
5. ประเด็นทางกฏหมายที่ตีความแตกต่างกันระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือ ดีอีเอส และ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. ว่า
"กสทช. มีอำนาจจัดการประมูล หรือไม่ ?"
6. คณะกรรมการกสทช. ช่วงนั้นเป็นเพียงแค่ "รักษาการ" เท่านั้น
7. ราคาประมูลขั้นต่ำๆ มาก กสทช. กำหนดราคาประมูลวงโคจรดาวเทียมทั้ง 4 ชุด ดังนี้
• ชุดที่ 1 ประกอบด้วย วงโคจร 50.5E (ข่ายงาน C1, N1 และ P1R) และ วงโคจร 51E (ข่ายงาน 51) ราคาขั้นต่ำ 676.914 ล้านบาท
• ชุดที่ 2 ประกอบด้วย วงโคจร 78.5E (ข่ายงาน A2B และ 78.5E) ราคาขั้นต่ำ 366.488 ล้านบาท
• ชุดที่ 3 ประกอบด้วย วงโคจร 119.5E (ข่ายงาน IP1, P3 และ 119.5E) และ วงโคจร 120E (ข่ายงาน 120E) ราคาขั้นต่ำ 392.950 ล้านบาท
• ชุดที่ 4 ประกอบด้วย วงโคจร 126E (ข่ายงาน 126E) และ วงโคจร 142E (ข่ายงาน G3K และ N5) ราคาขั้นต่ำ 364.687 ล้านบาท
จะเห็นได้ว่า การเช่าที่ตั้งดาวเทียมวงโคจรสามารถทำรายได้มากกว่าการทำที่จอดรถที่สนามบินสุวรรณภูมิ แต่ราคาประมูลฯ ที่ ทางกสทช.กำหนดขั้นต่ำแทบจะใกล้เคียงกับการทำที่จอถรถเลย
8. ความมั่นคงของประเทศ เพราะการประมูลฯ ครั้งนี้รวมคลื่น C Band, L Band และ X Band ที่เป็นคลื่นความมั่นคง ที่ใช้ในกิจการทางทหารและรัฐบาลโดยเฉพาะ
• C-band - บางส่วนใช้กับเรดาร์
• L band - ใช้สำหรับระบบระบุตำแหน่งบนโลก (Global positioning system: GPS) และนำร่องดาวเทียม
• X band - เป็นย่านความถี่ทางการทหาร ความมั่นคง และการสำรวจ
จากสภาพปัญหาที่เกิดขึ้น ท้ายที่สุด กสทช. ตัดสินใจประกาศคว่ำการประมูลฯ หลังมีผู้เข้าร่วมประมูลเพียง 1 ราย ในวันที่ 18 สิงหาคม 2564 โดยให้เหตุผลว่า
"การมีผู้ประมูลรายเดียวอาจทำให้ไม่เกิดการแข่งขันอย่างเสรีเป็นธรรม พร้อมกันนี้ได้มีการมอบหมายให้ สำนักงาน กสทช. ทบทวนหลักเกณฑ์ไให้สอดคล้องกับสถานการณ์อีกด้วย"
สำหรับการประมูลที่กำลังจะเกิดขึ้นใหม่อีกครั้งในเดือน ม.ค. 66 หากเกิดขึ้นจะเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของไทยที่กิจการดาวเทียม ซึ่งถูกสัมปทานครอบงำมากว่า 30 ปี จะเปลี่ยนผ่านไปสู่ “ใบอนุญาต” โดยทางกสทช. คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมประมูล 2-3 ราย แต่ดูเหมือนการกำหนดเงื่อนไขต่าง ๆ อาจจะไม่ชอบมาพากล โดยเฉพาะการกำหนดคุณสมบัติของผู้เข้าร่วมการประมูล ว่า
"ต้องเป็นผู้มีประสบการณ์เท่านั้น" ยิ่งเป็นการตีกรอบกีดกันไม่ให้เกิดผู้แข่งขันรายใหม่ในตลาด เช่นนั้นยิ่งจะทำให้กลายเป็นตลาดผูกขาดโดยสมบูรณ์ และลดการสร้างการแข่งขันที่เสรี และเป็นธรรมมากยิ่งขึ้นไปอีก
ในประเทศไทยมีเพียงเอกชนรายเดียวที่มีประสบการณ์ในการประกอบธุรกิจดาวเทียม จึงยิ่งเป็นการ
ล็อคสเปค ทำให้ผู้เข้าแข่งขันรายใหม่ไม่สามารถเข้ามาในธุรกิจดาวเทียมได้เลย อย่างไรก็ตาม กสทช. ซึ่งถือว่าเป็นหน่วยงานกำกับดูแลก็ควรต้องคำนึงถึงเงื่อนไขหลังการประมูลด้วยว่า วงโคจรดาวเทียมซึ่งถือเป็นสาธารณสมบัติของประเทศชาติ
การที่จะให้บริษัทเอกชนเพียงรายเดียวผูกขาดถือครองวงโคจรไว้ทั้งหมดได้ จะมีผลกระทบกับประเทศ และประชาชนคนไทยด้วยหรือไม่?
ความกังวลต่างๆ เหล่านี้ ล้วนแล้วแต่เป็นคำถามตัวโต ๆ ที่ทางกสทช. และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือ ดีอีเอส ไม่เคยออกมาบอกสังคมเลย มุ่งหวังเพียงแต่จะรีบจัดการประมูล โดยอ้างเพียงแต่ว่ามีชุดวงโคจรดาวเทียมที่กำลังจะหมดอายุเท่านั้น
ต้องเร่งประมูล ... ต้องเร่งประมูล ... ต้องเร่งหาดาวเทียมมาทดแทน ... โดยไม่ได้มองถึงปัญหาสะสมตั้งแต่อดีต และปัญหาดังกล่าวก็กำลังอาจจะเกิดขึ้นอีก หากต้องเร่งการประมูลฯ ครั้งนี้
ย้อนประวัติประมูลวงโคจรดาวเทียมถูกพับไปกี่ครั้ง เพราะอะไรคนไทยถึงไม่ยอมให้ใครผูกขาด
สำหรับการประมูลวงโคจรดาวเทียมเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2564 ที่ผ่านมานั้น มีความซับซ้อน และไม่ชอบด้วยเหตุด้วยผลหลายอย่าง จนนำมาสู่การคัดค้านของ นพ.ระวี มาศฉมาดล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังธรรมใหม่ ดังนี้
1. TOR มีการล็อคสเปคผู้ที่สามารถจะเข้าร่วมประมูลได้แบบจำกัด ด้วยเงื่อนไขที่ว่า "ต้องเป็นผู้มีประสบการณ์เท่านั้น" ซึ่งผู้มีประสบการณ์มีเพียงไทยคม ที่กัลฟ์เป็นเจ้าของเท่านั้น ทำให้นึกถึงสมัยดร.ทักษิณ ชินวัตร ที่มีการวางหมากไว้ ซึ่งการที่เป็นผู้เล่นรายเดียวมากว่า 30 ปี ทำให้น่าจะเหลือเอกชนที่มีคุณสมบัติสามารถเข้าประมูลได้เพียง 1 ราย และรัฐวิสาหกิจไทยอีก 1 รายเท่านั้น นั่นก็คือ บริษัท ไทยคม จำกัด (ผู้รับสัมปทานวงโคจรดาวเทียมเดิม) และ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT เท่านั้น ที่จะมีความสามารถมาบริหารจัดการได้
ข้อจำกัดดังกล่าว ทำให้ไม่มีเอกชนรายใหม่ในประเทศไทยที่จะสามารถเข้ามาแข่งขัน และให้บริการในธุรกิจดาวเทียมได้เลย เพราะว่ามีการล็อคสเปคอยู่ในเงื่อนไขไว้ชัดเจน ทำให้เหลือเพียงแค่ผู้ให้บริการรายเดิมเพียงบริษัทเดียวที่สามารถเข้าร่วมประมูลได้ นั่นก็คือ บริษัท ไทยคม จำกัด
2. คลื่นความถี่ และกิจการดาวเทียมถือเป็นสาธารณสมบัติของชาติไทย ทำให้มีนโยบายที่ไม่ให้บริษัทต่างชาติเป็นถือหุ้นรายใหญ่ ตามพระราชบัญญัติประกอบธุรกิจคนต่างด้าว และพระราชบัญญัติการประกอบกิจการโทรคมนาคม โดยเฉพาะการสื่อสารเพื่อความมั่นคงทางทหาร (คลื่นทหาร)
สำหรับบทเรียนในอดีต ในสมัยที่อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ขายหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (ซึ่งเป็นผู้ถือรายหุ้นใหญ่ใน บริษัท ไทยคม จำกัด) ได้ขายหุ้นให้ บริษัท เทมาเส็ก โฮลดิงส์ จำกัด ซึ่งบริษัทนี้เป็นกองทุนเพื่อการลงทุนของรัฐบาลสิงคโปร์ มีกระทรวงพาณิชย์ของสิงคโปร์เป็นผู้ถือหุ้นรายเดียว
ทำให้เห็นได้ว่าผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในบริษัทไทยคม ที่แท้จริงก็คือ บริษัทเทมาเส็กโฮลดิงส์ ที่สามารถล็อบบี้ และควบคุมการบริหาร และดำเนินนโยบายในกิจการดาวเทียมไทยคม โดยลำดับเป็นทอดๆ ได้
3. การแข่งขันที่เสรี และเป็นธรรม ปรากฏว่าบริษัท ไทยคม มีกรณีข้อพิพาทกับรัฐบาลเยอะมาก เช่น กรณีปัญหาการขัดข้องของดาวเทียมไทยคม 5 หลายครั้ง แบตเตอรี่หมด และตกลงสู่ทะเล จนทำให้เกิดเหตุขัดข้องทางเทคนิค จนส่งผลให้บางช่องรายการของทรูวิชันส์ ไม่สามารถส่งสัญญาณออกอากาศได้ในขณะนั้น หรือ ไทยคม 7 และ 8 ที่มีข้อพิพาทอยู่ในศาล ถึงแม้ว่าศาลปกครองจะทุเลา มติกสทช. ชั่วคราว เพื่อเปิดทางให้ “ไทยคม” ใช้ดาวเทียม ไทยคม 7-8 ต่อไปก็ตาม จนกว่าจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเป็นอย่างอื่น
รวมทั้ง บริษัท มิว สเปซ แอนด์ แอดวานซ์ เทคโนโลยี จำกัด หนึ่งในผู้มาขอเอกสารเพื่อขอเข้าร่วมประมูลฯ ด้วย จึงทำให้เกิดความชอบธรรม และเกิดการแข่งขันโดยเสรีได้ แต่พอถึงเวลายื่นเอกสารเพื่อเข้าร่วมการคัดเลือกฯ มีเพียงบริษัท ทีซี สเปซ คอนเน็ค จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกของไทยคม ถือหุ้น 100% ยื่นเอกสารประมูลเพียงเจ้าเดียวเท่านั้น ส่วนบริษัท มิว สเปซ แอนด์ แอดวานซ์ เทคโนโลยี จำกัด >> ไม่มา <<
4. การเปิดประมูลชุดสิทธิในการเข้าใช้งานวงโคจรดาวเทียมที่จะนำมาประมูลฯ 4 ชุด 7 วงโคจร โดยใน 4 ชุดประมูลฯ รวมทั้งชุดที่ให้บริการอยู่แล้ว และชุดที่ยังไม่ได้เปิดให้บริการ
• ชุดที่ 1 - วงโคจร 50.5E และ 51E และ ชุดที่ 4 - วงโคจร 126E และ 142E ยังไม่มีการใช้งาน และยิงดาวเทียม
ดังนั้น ข้อชี้แจงที่ทางกสทช. พยายามอ้างสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ หรือ ITU ว่า ถ้าไม่มีการใช้งาน ประเทศไทยอาจโดนเพิกถอนสิทธิการใช้งานวงโคจรดังกล่าว แม้ผ่านมานานหลายปีแล้ว ถึงแม้ปัจจุบันทาง ITU ก็ยังไม่ยึดสิทธิการใช้งานวงโคจรดังกล่าวกลับคืนไปแต่อย่างใด เพราะวงโคจรดังกล่าวไม่ตอบสนองต่อการใช้งานในธุรกิจ จึงทำให้ยังไม่มีเอกชนสนใจใช้งาน
อย่างไรก็ตาม การประมูลฯ ครั้งนั้น มีการเปิดประมูลในชุดที่อยู่ในการใช้งานอยู่ด้วย นั่นก็คือ ชุดที่ 2 และชุดที่ 3
• ชุดที่ 2 - วงโคจร 78.5E (ดาวเทียมไทยคม 6 และ 8) และชุดที่ 3 - วงโคจร 119.5E (ดาวเทียมไทยคม 4) และ 120E
แม้ไทยคม 4 และไทยคม 6 รัฐบาลได้มอบให้กับทาง NT เป็นผู้บริหารจัดการทรัพย์สินของโครงการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ หลังสัญญาดำเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศของไทยคมสิ้นสุดลง ซึ่งการประมูลล่วงหน้านานโดยที่ยังไม่หมดอายุสัญญา หากดาวเทียมขัดข้อง หรือเสียหายก่อนสิ้นอายุสัญญา บริษัทไทยคมจะต้องรับผิดชอบจัดหาดาวเทียมสำรองมาทดแทนให้
5. ประเด็นทางกฏหมายที่ตีความแตกต่างกันระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือ ดีอีเอส และ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. ว่า "กสทช. มีอำนาจจัดการประมูล หรือไม่ ?"
6. คณะกรรมการกสทช. ช่วงนั้นเป็นเพียงแค่ "รักษาการ" เท่านั้น
7. ราคาประมูลขั้นต่ำๆ มาก กสทช. กำหนดราคาประมูลวงโคจรดาวเทียมทั้ง 4 ชุด ดังนี้
• ชุดที่ 1 ประกอบด้วย วงโคจร 50.5E (ข่ายงาน C1, N1 และ P1R) และ วงโคจร 51E (ข่ายงาน 51) ราคาขั้นต่ำ 676.914 ล้านบาท
• ชุดที่ 2 ประกอบด้วย วงโคจร 78.5E (ข่ายงาน A2B และ 78.5E) ราคาขั้นต่ำ 366.488 ล้านบาท
• ชุดที่ 3 ประกอบด้วย วงโคจร 119.5E (ข่ายงาน IP1, P3 และ 119.5E) และ วงโคจร 120E (ข่ายงาน 120E) ราคาขั้นต่ำ 392.950 ล้านบาท
• ชุดที่ 4 ประกอบด้วย วงโคจร 126E (ข่ายงาน 126E) และ วงโคจร 142E (ข่ายงาน G3K และ N5) ราคาขั้นต่ำ 364.687 ล้านบาท
จะเห็นได้ว่า การเช่าที่ตั้งดาวเทียมวงโคจรสามารถทำรายได้มากกว่าการทำที่จอดรถที่สนามบินสุวรรณภูมิ แต่ราคาประมูลฯ ที่ ทางกสทช.กำหนดขั้นต่ำแทบจะใกล้เคียงกับการทำที่จอถรถเลย
8. ความมั่นคงของประเทศ เพราะการประมูลฯ ครั้งนี้รวมคลื่น C Band, L Band และ X Band ที่เป็นคลื่นความมั่นคง ที่ใช้ในกิจการทางทหารและรัฐบาลโดยเฉพาะ
• C-band - บางส่วนใช้กับเรดาร์
• L band - ใช้สำหรับระบบระบุตำแหน่งบนโลก (Global positioning system: GPS) และนำร่องดาวเทียม
• X band - เป็นย่านความถี่ทางการทหาร ความมั่นคง และการสำรวจ
จากสภาพปัญหาที่เกิดขึ้น ท้ายที่สุด กสทช. ตัดสินใจประกาศคว่ำการประมูลฯ หลังมีผู้เข้าร่วมประมูลเพียง 1 ราย ในวันที่ 18 สิงหาคม 2564 โดยให้เหตุผลว่า "การมีผู้ประมูลรายเดียวอาจทำให้ไม่เกิดการแข่งขันอย่างเสรีเป็นธรรม พร้อมกันนี้ได้มีการมอบหมายให้ สำนักงาน กสทช. ทบทวนหลักเกณฑ์ไให้สอดคล้องกับสถานการณ์อีกด้วย"
สำหรับการประมูลที่กำลังจะเกิดขึ้นใหม่อีกครั้งในเดือน ม.ค. 66 หากเกิดขึ้นจะเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของไทยที่กิจการดาวเทียม ซึ่งถูกสัมปทานครอบงำมากว่า 30 ปี จะเปลี่ยนผ่านไปสู่ “ใบอนุญาต” โดยทางกสทช. คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมประมูล 2-3 ราย แต่ดูเหมือนการกำหนดเงื่อนไขต่าง ๆ อาจจะไม่ชอบมาพากล โดยเฉพาะการกำหนดคุณสมบัติของผู้เข้าร่วมการประมูล ว่า "ต้องเป็นผู้มีประสบการณ์เท่านั้น" ยิ่งเป็นการตีกรอบกีดกันไม่ให้เกิดผู้แข่งขันรายใหม่ในตลาด เช่นนั้นยิ่งจะทำให้กลายเป็นตลาดผูกขาดโดยสมบูรณ์ และลดการสร้างการแข่งขันที่เสรี และเป็นธรรมมากยิ่งขึ้นไปอีก
ในประเทศไทยมีเพียงเอกชนรายเดียวที่มีประสบการณ์ในการประกอบธุรกิจดาวเทียม จึงยิ่งเป็นการล็อคสเปค ทำให้ผู้เข้าแข่งขันรายใหม่ไม่สามารถเข้ามาในธุรกิจดาวเทียมได้เลย อย่างไรก็ตาม กสทช. ซึ่งถือว่าเป็นหน่วยงานกำกับดูแลก็ควรต้องคำนึงถึงเงื่อนไขหลังการประมูลด้วยว่า วงโคจรดาวเทียมซึ่งถือเป็นสาธารณสมบัติของประเทศชาติ การที่จะให้บริษัทเอกชนเพียงรายเดียวผูกขาดถือครองวงโคจรไว้ทั้งหมดได้ จะมีผลกระทบกับประเทศ และประชาชนคนไทยด้วยหรือไม่?
ความกังวลต่างๆ เหล่านี้ ล้วนแล้วแต่เป็นคำถามตัวโต ๆ ที่ทางกสทช. และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือ ดีอีเอส ไม่เคยออกมาบอกสังคมเลย มุ่งหวังเพียงแต่จะรีบจัดการประมูล โดยอ้างเพียงแต่ว่ามีชุดวงโคจรดาวเทียมที่กำลังจะหมดอายุเท่านั้น ต้องเร่งประมูล ... ต้องเร่งประมูล ... ต้องเร่งหาดาวเทียมมาทดแทน ... โดยไม่ได้มองถึงปัญหาสะสมตั้งแต่อดีต และปัญหาดังกล่าวก็กำลังอาจจะเกิดขึ้นอีก หากต้องเร่งการประมูลฯ ครั้งนี้