💗มาลาริน💗รัฐบาลจัดเก็บรายได้ปี'65 สูงกว่าเป้า 1.51แสนล้าน/ต่างชาติแห่เข้าไทยทะลุ 8 ล้านคน สร้างเงินกว่า 2.8 แสนล้าน

รัฐบาลจัดเก็บรายได้ปี'65 สูงกว่าเป้า 1.51 แสนล้าน กู้น้อยลง 4.74 หมื่นล้าน


 
เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2565 ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.เห็นชอบรายงานการรับจ่ายเงินงบประมาณประจำปีงบประมาณ 2565 ครอบคลุมระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2564 ถึง 30 กันยายน 2565 รายงานฉบับนี้ กระทรวงการคลังได้ประมวลข้อมูลจากรายงานในระบบสารสนเทศเพื่อการบริหาร (MIS: Financial Analytics) ในระบบบริหารการเงินการคลังภาครัฐแบบอิเล็กทรอนิกส์ใหม่ (New GFMIS Thai) ที่หน่วยงานของรัฐบันทึกเข้ามาในระบบ โดยมีรายละเอียด ดังนี้....👇

1.รายได้แผ่นดินที่หน่วยงานของรัฐจัดเก็บและนำเงินส่งคลัง ประมาณการ 2,400,000 ล้านบาท จัดเก็บจริง 2,551,223 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 151,223 ล้านบาท สาเหตุที่รายได้สูงกว่าประมาณการ เนื่องจากมีรายได้จากภาษีอากร การขายสิ่งของและบริการ และรัฐพาณิชย์เพิ่มขึ้น
 
2.รายรับจากการกู้เงิน เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ ประมาณการ 700,000 ล้านบาท กู้จริง 652,553 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการ 47,447 ล้านบาท สาเหตุที่ต่ำกว่าประมาณการ เนื่องจากมีการปรับลดกรอบวงเงินกู้
 
3.รายจ่ายตามงบประมาณ ประมาณการ 3,100,000 ล้านบาท จ่ายจริง 2,900,727 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการ 8,717 ล้านบาท (ยังไม่รวมเงินกันไว้เบิกเหลื่อมปี 190,556 ล้านบาท) สาเหตุที่รายจ่ายต่ำกว่าประมาณการ เนื่องจากผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ทำให้หน่วยงานของรัฐใช้จ่ายเงินงบประมาณช้าไม่ทันตามระยะเวลาที่กำหนด

4.รายจ่ายตามกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง จำนวน 33,655 ล้านบาท

5.ดุลการรับ-จ่ายเงิน ประกอบด้วย

1.รายรับทั้งสิ้นที่เกิดขึ้นจริง 3,203,775 ล้านบาท (รวมรายได้แผ่นดินที่ได้รับจริง 2,551,223 ล้านบาท และเงินกู้ฯ ที่รับจริง 652,553 ล้านบาท)

2.รายจ่ายที่เกิดขึ้นจริงตามประมาณ 3,148,060 ล้านบาท (รวมรายจ่ายงบประมาณตามงบประมาณ 2,900,727 ล้านบาท รายจ่ายจากเงินกันไว้เบิกเหลื่อมปีที่จ่ายจริง (ปี 2564) 213,678 ล้านบาท และรายจ่ายตามกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง 33,655 ล้านบาท) ทั้งนี้ รายรับสูงกว่ารายจ่าย 55,715 ล้านบาท เนื่องจากหน่วยงานของรัฐจัดเก็บและนำส่งรายได้สูงกว่าประมาณการ เช่น ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีสินค้าเข้า - ออก

พร้อมกันนี้ ครม.ได้มีมติเห็นชอบหลักการและกรอบการจัดทำยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 โดยมีความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ.2561 - 2580 ซึ่งประกอบด้วย 6 ด้าน คือ ....👇

1.ความมั่นคง

2.สร้างความสามารถในการแข่งขัน

3.พัฒนาเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์

4.สร้างโอกาสความเสมอภาคทางสังคม

5.สร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

6.ปรับสมดุลพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ

ส่วนโครงการที่หน่วยราชการเสนอเข้ามาในเบื้องต้นมีจำนวนประมาณ 1,026 โครงการ สำหรับการดำเนินการเกี่ยวกับการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 ในระยะต่อไปนั้น ในช่วงเดือนธันวาคม 2565 - มกราคม 2566 หน่วยรับงบประมาณจัดทำรายละเอียดคำขอรับงบประมาณ ช่วงเดือนมกราคม - มีนาคม 2566 พิจารณารายละเอียดงบประมาณ ช่วงเดือนมีนาคม - เมษายน 2566 เปิดรับฟังความคิดเห็น ช่วงเดือนพฤษภาคม - มิถุนายน 2566 สภาพิจารณางบประมาณ วาระที่ 1

https://www.naewna.com/politic/693631

"กระทรวงท่องเที่ยว" ปลื้ม!! "ต่างชาติ" แห่เข้าไทยทะลุ 8 ล้านคน สร้างเม็ดเงินกว่า 2.8 แสนล้าน



วันที่ 21 พ.ย. 2565 กองเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา รายงานข้อมูลสรุปสถานการณ์ต่างประเทศอัพเดทวันที่ 19 พ.ย. 2565 ระบุว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. -วันที่ 19 พ.ย. 2565 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทยแล้ว 8,206,035 คน สร้างรายได้จากนักท่องเที่ยวสะสมราว 281,076 ล้านบาท

สำหรับจำนวนนักท่องเที่ยวสูงสุด 5 อันดับแรกมาจาก มาเลเซีย (1,450,528 คน), อินเดีย (780,836 คน), สิงคโปร์ (431,510 คน), ลาว (391,446 คน) และเวียดนาม (382,075 คน)

ทั้งนี้จำแนกนักท่องเที่ยวตั้งแต่วันที่ 1-19 พ.ย. 2565 พบว่ามีนักท่องเที่ยวสะสมที่ 1,080,159 คน โดยเดินทางผ่านด่านทางบก 5 อันดับแรก ได้แก่ มาเลเซีย, ลาว, กัมพูชา, เวียดนาม และอินโดนีเซีย ส่วนนักท่องเที่ยวที่เดินทางผ่านด่านทางอากาศ 5 อันดับแรก ได้แก่ อินเดีย, รัสเซีย, เกาหลีใต้, สิงคโปร์ และสหรัฐอเมริกา​

ซึ่งเป็นไปตามที่​ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา  ​ ได้ประเมินไว้ว่าในปี 2565 จำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทย จะถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ 10 ล้านคน

https://siamrath.co.th/n/401364

สถานการณ์ไทยเริ่มดีขึ้นทางเศรษฐกิจ....
,
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 4
ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี วันที่ 22 พฤศจิกายน 2565
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล วันที่ 22 พฤศจิกายน 2565

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
[LIVE] คณะโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีแถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล วันที่ 22 พฤศจิกายน 2565
https://web.facebook.com/ThaigovSpokesman/videos/811446153277998/ (มีคลิป)

ผลสำเร็จการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค 2022 ครั้งที่ 29 ในระหว่างวันที่ 16 -19 พฤศจิกายน 2565
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
ผลสำเร็จการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค 2022 ครั้งที่ 29 ในระหว่างวันที่ 16 -19 พฤศจิกายน 2565 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพมหานคร

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
ที่ผ่านมา ประเทศไทยต้องเผชิญกับวิกฤตโควิด รวมถึงความขัดแย้งรัสเซีย - ยูเครน ที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลก รัฐบาลจึงต้องเร่งประคับประคองให้ทุกภาคส่วนยังคงเดินหน้าต่อไปได้ พร้อมวางรากฐานการพัฒนาประเทศเพื่ออนาคตตามแนวทาง 3 แกน ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน อุตสาหกรรม และภาคการธนาคาร ส่งผลให้ไทยได้รับการยอมรับและชื่นชมจากนานาประเทศอย่างต่อเนื่อง ซึ่งรัฐบาลจะยังคงเดินหน้าต่อไปเพื่อก้าวข้ามความท้าทายต่าง ๆ และพัฒนาประเทศในทุกมิติ
https://web.facebook.com/ThaigovSpokesman/posts/pfbid0yEWDapjgwmga9W3JcuiwDxrJDCLSgnDkxTvSSFNHaWCxKE5vFNkZYRuuSEjBocHYl (มีคลิป)


จีดีพีไทยไตรมาส 3/65 โตอีก ร้อยละ 4.5 เร่งขันน็อตเบิกจ่ายงบลงทุน บริหารส่งออกรับความท้าทายเศรษฐกิจโลก พร้อมรักษาความต่อเนื่องการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนและเอสเอ็มอี

เศรษฐกิจไตรมาสที่ 3 ปี 2565 เติบโตได้ดีที่ร้อยละ 4.5 ซึ่งเป็นการขยายตัวต่อเนื่องจากไตรมาสที่ 1-2 ที่ ร้อยละ 2.3 และ 2.5 ตามลำดับ และปัจจัยรอบด้านทั้งภาคการท่องเที่ยว การลงทุน การบริโภคเอกชน และการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ฟื้นตัวต่อเนื่องทำให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) คาดว่าตลอดปี 2565 เศรษฐกิจจะเติบโตได้ร้อยละ 3.2 จากร้อยละ 1.5 ในปี 2564

นายกรัฐมนตรียืนยันว่ารัฐบาลจะดำเนินนโยบายต่างๆ เพื่อรักษาความต่อเนื่องของการเติบโตทางเศรษฐกิจ ให้ประชาชนทุกกลุ่มได้รับผลประโยชน์จากการขยายตัวนี้อย่างทั่วถึง และแก้ไขในประเด็นที่ยังเป็นปัญหาอุปสรรค เช่นการเบิกจ่ายงบลงทุนภาครัฐที่ สศช. ได้มีข้อชี้แนะว่ายังมีความล่าช้าและต้องเร่งรัดเพื่อให้เม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ

ตลอดจนให้ความสำคัญกับนโยบายการแก้ไขปัญหาหนี้สินครัวเรือนและเอสเอ็มอี ด้วยมาตรการต่างๆ ที่หน่วยงานเกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ที่ร่วมกับสถาบันการเงินทั้งรัฐและเอกชนให้ความช่วยเหลือลูกหนี้อยู่ขณะนี้ ซึ่งเน้นย้ำว่ามาตรการนี้ยังจำเป็นโดยเฉพาะในช่วงที่ดอกเบี้ยทั่วโลกอยู่ในขาขึ้น

ในส่วนของภาคที่เกี่ยวข้องกับต่างๆประเทศ รัฐบาลจะใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ในการบริหารจัดการนโยบายด้านการส่งออก การสนับสนุนผู้ประกอบการในการแสวงหาตลาดที่มีศักยภาพ เพื่อรักษาการเติบโตเช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นในปีนี้ พร้อมกับส่งเสริมภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวอยู่ในขณะนี้ให้เป็นกำลังสำคัญผลักดันการเติบโตในระยะต่อไป
https://web.facebook.com/PMOCNEWS/posts/pfbid0TxWHjk7nenouxryCZ9VbLZoksPQetFZKK8cLvA3aJRfcpX3H3MgEGwCUyoEe5tkql


นายกรัฐมนตรีขอบคุณทุกฝ่าย ร่วมจัดประชุมเอเปค ประสบผลสำเร็จ

ขอบคุณทุกคน ที่ทำให้การจัดงานเอเปคครั้งนี้ สำเร็จลุล่วงอย่างดี ได้รับการชื่นชม และความพึงพอใจอย่างมาก จากผู้นำหลายๆ เขตเศรษฐกิจ ที่มาเข้าร่วมการประชุม มีผลสำเร็จมากมายในหลายเรื่อง

ขอให้รองนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ได้ติดตามเพื่อนำประเด็นต่างๆ ที่ได้พูดคุย ไปสู่ผลการปฏิบัติ เพื่อให้เกิดความสำเร็จอย่างรวดเร็ว
https://web.facebook.com/PMOCNEWS/posts/pfbid02v9BRYpZb8XUkPvAZ8hchBKe49Lm3Q7MkVnHXC3abTzDndMvHCehv18F9vcDz93yml


ครอบครัวเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญ ของการยุติความรุนแรง

พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ร่วมกิจกรรมรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และบุคคลในครอบครัว ประจำปี 2565

องค์การสหประชาชาติประกาศให้วันที่ 25 พ.ย. ของทุกปี เป็น “วันยุติความรุนแรงต่อสตรีสากล” (International Day for the Elimination of Violence against Women) รวมทั้งมติ ครม. เมื่อวันที่ 29 มิ.ย. 42 ได้เห็นชอบให้เดือน พ.ย. ของทุกปี เป็น “เดือนรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็กและสตรี”

นายกรัฐมนตรีได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของวันดังกล่าว จึงเชิญชวนคนไทยทุกคนร่วมกันแสดงพลังและรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และบุคคลในครอบครัวทุกรูปแบบ เพื่อสร้างครอบครัวที่มีความอบอุ่น มั่นคง และสังคมไทยที่มีความสุขอย่างยั่งยืน

“เมื่อครอบครัวปลอดภัย สังคมและประเทศชาติก็จะปลอดภัย การสร้างสังคมที่ปลอดภัย เป็นความรับผิดชอบของทุกคนและทุกภาคส่วน ร่วมมือกันสร้างการเปลี่ยนแปลงให้สังคมไทยดีขึ้น”
https://web.facebook.com/PMOCNEWS/posts/pfbid0qs4DHahoJf2qL2kkFuQQGeBKq8dcCyQo6Mo1kPiqZyDG2zMKQF1KiijB1GVqg4vfl


เมื่อวานนี้ (21 พ.ย. 2565) พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเดินทางลงพื้นที่ย่านบางกะปิ โดยไม่ได้แจ้งกำหนดการล่วงหน้า และไม่ได้แจ้งให้สื่อมวลชนติดตามภารกิจนำเสนอข่าว มีเพียงทีมงานคนสนิทร่วมลงพื้นที่กับนายกฯ เท่านั้น

การลงพื้นที่ในครั้งนี้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้พบปะคณะทำงานร่วมจัดกิจกรรม ระหว่างการเคหะแห่งชาติ กับตัวแทนภาคประชาชน โดยคณะทำงานร่วมจัดกิจกรรมนี้จัดตั้งขึ้น เพื่อกำหนดแนวทาง ขอบเขต การจัดกิจกรรม การใช้พื้นที่ วางแผนและพิจารณาพัฒนาพื้นที่สนามกีฬาคลองจั่น และการใช้สนามกีฬาคลองจั่นให้เกิดประโยชน์สูงสุดร่วมกัน

ซึ่งถือเป็นพื้นที่นำร่องสร้างการมีส่วนร่วมภาคประชาชนได้มีส่วนร่วมคิด ร่วมทำ และพัฒนาพื้นที่ภายในชุมชนของตนเองร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังได้เดินเยี่ยมตรวจสนามกีฬาคลองจั่น และได้พบปะน้องๆ เยาวชนที่มาฝึกซ้อมฟุตบอลในช่วงหลังเลิกเรียนอีกด้วย

ในช่วงหนึ่ง พลเอกประยุทธ์ได้กล่าวว่า “อดีตปัจจุบันและอนาคตจะต้องมีการเชื่อมโยงต่อเนื่องกัน ทุกวันนี้เราอยู่ตรงกลางคือปัจจุบัน ส่วนประวัติศาสตร์จะต้องทำต่อ ทำใหม่ให้ดีขึ้น และทำปัจจุบันให้มีความสุข ส่วนอนาคต เราต้องมีการลงทุนต่างๆ เพื่อไปสู่อนาคต รองรับการเจริญเติบโตของประเทศและบ้านเมือง ของคนภายในประเทศเราด้วย และการลงทุนต่างๆ ของเราก็มากมาย

นี่คือผลจากการพูดคุยในเวทีระดับโลก ซึ่งจะมีการลงทุนกว่าหลายแสนล้านบาท นี่คือประโยชน์ที่เราต้องคุยกับเขา ดังนั้นเราทำวันนี้เพื่ออนาคต ส่วนหนึ่งทำเพื่อเรา ส่วนหนึ่งทำเพื่อให้ลูกหลานของเรา”

“วันหน้าหากย้อนกลับมาดูนี่คือประวัติศาสตร์ที่เราทำร่วมกันมาจนถึงวันที่สำเร็จ หากเราไม่อยู่ ลูกหลานเราก็อยู่ โดยอดีตปัจจุบันและอนาคต ทั้งหมดคือประวัติศาสตร์อีกช่วงหนึ่ง ที่เป็นรอยต่อกัน

อย่าลืมประวัติศาสตร์ หากเราไม่รู้จักประวัติศาสตร์ของเรา เราจะไม่รู้ว่าเราจะรักประเทศไทยได้อย่างไร ไม่รู้ว่าเราจะรักชุมชนท้องที่ของเราได้อย่างไร เราต้องเรียนรู้ประวัติศาสตร์และผมก็เป็นคนเรียนรู้ประวัติศาสตร์เช่นกัน”
https://web.facebook.com/PMOCNEWS/posts/pfbid0SWdcJrqmpo7ErMKNMzetsr13L3dSbL7Nq71SUYUm7P6ja6TbGraUWV4sFSz4p2mRl


ไทยส่งเสริมเขตการค้าเสรีเอเชีย-แปซิฟิก (FTAAP) ช่วยขยายโอกาส และสร้างข้อได้เปรียบให้สมาชิกเอเปค

รัฐบาลภายใต้การนำของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะเจ้าภาพการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค 2022 ได้ให้ความสำคัญและส่งเสริมประเด็นเรื่องเขตการค้าเสรีเอเชีย-แปซิฟิก (The Free Trade Area of the Asia-Pacific : FTAAP)

ภายใต้หัวข้อหลักของการประชุม “เปิดกว้างสร้างสัมพันธ์ เชื่อมโยงกัน สู่สมดุล” ไทยมุ่งส่งเสริมการค้าและการลงทุนที่เปิดกว้างสู่โอกาส เชื่อมโยงภูมิภาคอีกครั้งในทุกมิติ และนำพาเอเปคไปสู่การเจริญเติบโตที่สมดุล ครอบคลุม ในโอกาสนี้ ไทยผลักดันให้ทบทวนการหารือเรื่อง FTAAP และผลักดันการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ซึ่งเอเปคได้จัดทำแผนงานต่อเนื่องหลายปีเพื่อสานต่อการหารือเรื่อง FTAAP ในบริบทของโลกยุคหลังโควิด-19 เพื่อเตรียมความพร้อมในการรับมือกับประเด็นการค้าการลงทุนใหม่ ๆ

เอเปคถือเป็นตลาดที่ประกอบด้วยสมาชิกที่มีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ มีประชากรรวมกันกว่า 2,900 ล้านคน และมีผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) รวมกันกว่า 52 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นร้อยละ 62 ของ GDP โลก โดยในปี 2564 การค้าระหว่างไทยกับสมาชิกเอเปค มีมูลค่ารวม 12.2 ล้านล้านบาท มีสัดส่วนคิดเป็นร้อยละ 68.8 ของการค้ารวมทั้งหมดของไทย ซึ่งหากการเจรจา FTAAP บรรลุผลจะทำให้เอเปคเป็นเขตการค้าเสรีที่มีขนาดใหญ่มาก ช่วยขยายโอกาสและสร้างข้อได้เปรียบให้กับสินค้าจากสมาชิกเอเปค รวมถึงไทย ให้สามารถส่งออกไปตลาดที่เป็นคู่ค้าได้หลากหลายมากขึ้น

ยิ่งไปกว่านั้น สมาชิกเอเปคที่ยังไม่มีเขตการค้าเสรี (FTA) ระหว่างกัน อาทิ ไทยกับสหรัฐอเมริกา หรือ ไทยกับเม็กซิโก หากจัดตั้ง FTAAP สำเร็จก็จะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีกับคู่ค้าดังกล่าวเพิ่มมากขึ้น มีเครือข่ายและแหล่งวัตถุดิบที่หลากหลายที่จะสนับสนุนการลดต้นทุน สามารถช่วยอํานวยความสะดวกทางการค้าและการลงทุนระหว่างสมาชิกเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีกฎระเบียบมาตรการทางการค้า และพิธีการทางศุลกากรที่สอดคล้องกัน ช่วยลดความยุ่งยากและซับซ้อน

“การรื้อฟื้นการหารือแนวคิดความตกลง FTAAP ถือเป็นอีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่ไทยได้มุ่งผลักดันในการประชุมเอเปค 2022 ที่ผ่านมา ภายใต้ FTAAP ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการค้าในระดับภูมิภาคที่มีมาตรฐานสูงและครอบคลุม ซึ่งหนึ่งในผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมจากการประชุมครั้งนี้คือ แผนงานต่อเนื่องหลายปีเพื่อสานต่อการหารือเรื่อง FTAAP ในบริบทของโลกยุคหลังโควิด-19 ซึ่งตอบสนองต่อคำมั่นสัญญาของผู้นำในวิสัยทัศน์ปุตราจายา 2040 และแผนปฏิบัติการ Aotearoa เพื่อเดินหน้างานตามวาระ FTAAP เพื่อเปิดโอกาสการค้าการลงทุน รวมทั้งส่งเสริมขีดความสามารถของเขตเศรษฐกิจในประเด็นการค้าการลงทุนใหม่ ๆ และลดช่องว่างการพัฒนาระหว่างกัน ซึ่งผู้ที่ได้ประโยชน์คือประชาชนทุกคนในภูมิภาค” นายอนุชาฯ กล่าว
https://web.facebook.com/anucha.b.dp/posts/pfbid0HaRvLSGGYzqefDuKbAPzAzLU4ndvnKAeQVHRFTTzaqy6B12m4bcu1TgpZHfGyumGl
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่