คนนึงพาเราเดินไปข้างหน้า ให้ค.มั่นคง อบอุ่น กับอีกคน ที่คอยอยู่ข้างหลัง จะเลือกแบบไหน Overtime (1999) ต่อเวลารัก

พอผ่านมาจะครึ่งคน การเอาหนัง-หนังสือเก่า ที่เคยดู-อ่านตอนวัย 20 ปีที่แล้วมาดูใหม่ มันสนุกดีนะ
 ได้ค.รู้สึกใหม่บางเรื่องที่เคยชอบ ก็ไม่ชอบแล้ว แต่บางเรื่องที่เคยเฉยๆไม่ได้รู้สึกอะไร 
มันกลับชอบมากเพราะประสบการณ์ชีวิตมันทำให้เข้าใจอีกมุมได้ดีขึ้น อย่างเรื่องนี้ 
ใครเคยดูบ้าง Overtime 1999 itv เคยฉาย

ขออ้างอิงถึงกระทู้ คุณ รักโซ่จัง สำหรับคนที่ต้องการเรื่องย่อนะคะ 
http://topicstock.pantip.com/chalermthai/topicstock/A3040428/A3040428.html

ญี่ปุ่น มักมีวิธีการเล่าเรื่องที่เป็นเอกลักษณ์ ไม่เหมือนดูละครเกาหลี-ไต้หวัน-ไทย เนอะ 
เพราะญี่ปุ่น "มักทำเรื่องเล่นให้เป็นเรื่องใหญ่" หยิบเอาประเด็นเล็กๆ มาถ่ายทอดอย่างลึกซึ้งกินใจ
จนทำให้อินได้มากๆเสมอๆ ดูจบแล้วเก็บไปครุ่นคิดอวลๆอยู่ในหัวต่อได้อีกหลายวัน สุโก่ยจริงๆ

อย่างละครเรื่อง สาวปลาแห้งขอปิ๊งรัก (Hotaru no Hikari) ก็เหมือนกัน คือ ช่างคิดได้
 ว่าทุกคนที่ขี้เกียจล้วนย่อมมีเหตุผล แล้วหยิบมาขยายให้เห็นถึงเหตุผลนั้นๆจนกลายเป็นเหตุเป็นผลที่น่าสนใจ
 จนต้องยอมรับว่า เออ จริง ... 

หรืออย่างคาราโอเกะ หลังจากได้สารแห่งความสุขเมื่อได้เต้นได้ร้องเพลง นี่ก็จะแอบนึกชื่นชมคนที่คิดคำว่า
"คาราโอเกะ" ขึ้นมา เอาจริงๆ มันก็ไม่ต่างอะไรจากการร้องเพลงเล่นอ่าเนอะแต่ ความญี่ปุ่นทำให้สิ่งๆนี้
 "มีที่มีทาง" ของมันมากขึ้นแล้วตั้งชื่อการกระทำเฉพาะเจาะจงไปเลย

เรื่อง Overtime  นี้สมัยก่อนตอนเด็กที่ไอทีวีเอามาฉาย ก็ดูไม่ปะติดปะต่อ จัดว่าเสียของมากเลยเพราะละครดีๆ
 ทีมงานอุตส่าห์ตั้งใจทำงานทั้งเบื้องหน้าเบื้องหลัง พอดูมั่งไม่ดูมั่ง มันก็ไม่ได้ซึบซับเนื้อหาที่เค้าต้องการส่งมา 
จนพอมีโอกาสได้ดูต่อเนื่อง ถึงได้เข้าใจว่าทำไมหลายคนประทับใจกับเรื่องนี้

นี่ชอบที่ อธิบายบุคลิกพระเอกชัดเจนจากการกระทำ ที่พระเอกไปช่วย ผู้หญิงคนนึงจากอุบัติเหตุแก๊สระเบิด
โดยถอดเสื้อคลุมขาไว้แทนทีจะรีบฉวยโอกาสถ่ายรูปเพื่อขายข่าว สุดท้ายด้วยการกระทำนี้ก็ส่งผลให้พระเอก
ต้องโดนย้ายงานความที่รู้ตอนจบแล้วด้วยจากการอ่านรีวิว แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เรื่องสนุกน้อยลง คงเพราะวิธีการ
ที่เรื่องดำเนินไปด้วยแหละ มันคล้ายกับ โตเกียวทาวเวอร์ สัญลักษณ์ของเรื่องนี้ที่ทุกอย่าง ของเรื่องที่เล่ามาทั้งหมด
 มันจะค่อยๆพาความรู้สึกเราไต่ระดับขึ้นไป และพีคที่ฉากสุดท้าย โพล้ะ! น้ำตาแตก ... เราไม่ได้ร้องไห้ตอนเห็นน้ำตา
พระเอกนะ แต่พอทันทีที่พระเอกพูดข้อความสุดท้าย ที่นางเอกเคยพูดไว้ นั้นแหละ ตอกย้ำลงไปด้วยข้อความนี้
 อิชั้นก็ไปต่อไม่ได้เลย ผู้กำกับช่างขยี้เก่งจริงๆ

แม้หลายคนจะไม่ชอบตอนจบแบบนี้ อ้าว แต่ถ้าไม่จบแบบนี้ มันจะไม่พีคเลยนะเธอ เราว่าเพราะมันจบแบบนี้ด้วย
ทำให้เรานึกไปถึง ตัวละครที่สำคัญของเรื่องอีกตัวนึงที่ไม่มีบทพูดเลย คือ โตเกียวทาวเวอร์ เพราะพอจบแบบนี้ 
เรานึกถึงมันขึ้นมาทันที ว่าแหม่ คนเขียนบท กับผกก. เก่งว่ะ พาเราไต่ระดับขึ้นมาหยั่งกะขึ้นหอคอยโตเกียวทาวเวอร์
และปล่อยลงเลย สรุปว่า ตอนจบนั้นสมบูรณ์ ตามบุคลิกของพระเอกดีงามแล้ว

คำถามสำคัญของเรื่องนี้ คือ ถ้ามีคนมาให้เลือก 2 คน
คนนึงพาเราเดินไปข้างหน้า ให้ความรู้สึกมั่นคง อบอุ่น
กับอีกคน ที่คอยอยู่ข้างหลังเราเสมอ หันไปเมื่อไหร่ก็เจอ คุณจะเลือกคนแบบไหน 

ความที่เรื่องนี้ ฉายในปี 1999 มั้ย สาวญี่ปุ่นแบบนางเอก เลยเลือก ผช แบบแรก คนที่พาเราไปข้างหน้า 
นางเอกคอยเป็นฝ่ายเดินตาม ซึ่งที่จริง น่าจะขัดกับบุคนางเอกอยู่สักหน่อย เพราะนางดูเป็นผู้นำ
น่าจะชอบผช.แบบหลังมากกว่า... ก็ไม่รู้ว่า ถ้าเป็นยุคปัจจุบันนางเอกยังจะเลือกคำตอบเดิมมั้ย

เรารู้สึกว่า คนแคสติ้งนักแสดง ละคร เกาหลี ญี่ปุ่น ไต้หวันนี่เก่งเนอะ มองขาดอ่ะ
ว่าหน้าตา บุคลิกแบบนี้ คือใช่เลย คือ แม้ยังไม่ต้องพูดบท แต่ หน้าตา คาแรคเตอร์ต่างๆ
ต้องชัดตั้งแต่เดินออกมาเลย ดูแล้วมันช่วยให้อินเพิ่มขึ้นด้วย 

อย่างพระเอก แค่ใส่เสื้อเขียว กับกล้อง ก็ดูเท่มาก ทั้งที่หามุมหล่อๆยาก
แต่รอยยิ้มแบบย่นจมูกมันทำให้ดูน่ารักมากๆเลย 

เราดู ทาง เว้บ dramacool นะคะ เป็นซับอิ้งค์เพราะหาซับไทยไม่ได้เลย ถ้าใคร
เจอซับไทย ขอลิ้งค์บ้างนะคะ
หลังจากดูจบ ก็ไปค้นๆๆ หาเพื่อนคุยเรื่องนี้
และหาดูภาพว่า นักแสดงทุกคนในเรื่อง ปัจจุบันหน้าตาเป็นอย่างไรแล้ว
ใครพอจะมี ข้อมูล มาเพิ่มเติม พูดคุยกันได้นะคะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่