JJNY : อิ๊งค์จี้ใช้เวทีเอเปค│ก้าวไกลนัดถกโหวตกม.กัญชา│บาทแข็งค่าต่อเนื่อง เตือนผันผวนระยะสั้น│ชาวจีนกว่างโจวพังรั้วกั้น

อิ๊งค์ จี้ ประยุทธ์ ใช้เวทีเอเปค ทำข้อตกลงให้คนไทยได้ประโยชน์เหมือน 19 ปีที่แล้ว
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7367575
 
 
อิ๊งค์ คาดหวังประชุมเอเปค รัฐบาลประยุทธ์ ยึดประชาชน ทำข้อตกลงเศรษฐกิจการเมืองระหว่างประเทศ มากกว่าการจัดงานยิ่งใหญ่ตระการตา โวยุค ‘ทักษิณ’ ทำสำเร็จมาแล้ว
 
เมื่อวันที่ 16 พ.ย.2565 น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ทวีตข้อความผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัว @ingshin ว่า 
 
เมื่อ 19 ปีที่แล้ว รัฐบาลไทยรักไทยใช้เอเปค เป็นเวทีสำคัญในการส่งเสริมเศรษฐกิจประเทศไทย ที่กำลังฟื้นฟูหลังวิกฤตต้มยำกุ้งและโรคระบาดซาร์ส เวทีเอเปคครั้งนั้นคือโอกาสสำคัญที่จะใช้การทูตเชิงเศรษฐกิจ เพื่อสร้างผลประโยชน์แก่ประชาชนให้ได้มากที่สุด
  
รัฐบาลตอนนั้นมีความตั้งใจจะสร้างความร่วมมือระหว่างกลุ่มประเทศสมาชิกเอเปค หรือ 21 เขตเศรษฐกิจที่มีความแตกต่างและความหลากหลายสูง เพราะถ้าประเทศไทยทำข้อตกลงต่างๆ ได้สำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นข้อตกลงทางเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศ จะเกิดการจ้างงาน สร้างโอกาส สร้างรายได้ เกษตรกรมีรายได้ ผู้ส่งออกได้ส่งออกสินค้า มีเงินตราไหลเข้าประเทศ และพลิกฟื้นเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว ดังนั้น เราในฐานะประชาชนคนไทยคนหนึ่ง จึงคาดหวังว่าจะได้รับผลประโยชน์อะไรจากการประชุมเอเปคครั้งนี้ เหมือนครั้งเมื่อ 19 ปีที่แล้วที่รัฐบาลยึดถือและมีหัวใจคือประชาชนเป็นสำคัญ
  
น.ส.แพทองธาร ระบุต่อว่า ตนเชื่อว่าประเทศไทยมีศักยภาพ และมีเสน่ห์มากพอที่จะดึงดูดให้ใครหลายๆ คน หลายๆ ประเทศให้ความสนใจในระดับเวทีโลก 19 ปีที่แล้วเรายังทำได้ เป็นทั้งหนึ่งในผู้นำสำคัญของอาเซียนและยังถูกพูดถึงว่าเป็นเสือตัวที่ 5 ของเอเชีย ในปีนี้ก็ต้องทำได้เช่นกัน
สิ่งสำคัญของการประชุมเอเปค 2022 ที่เราคาดหวัง จึงไม่ใช่แค่การแสดงศักยภาพว่าประเทศไทยในฐานะเจ้าภาพเชิญใครมาบ้าง จัดงานยิ่งใหญ่ตระการตาแค่ไหนอย่างไร แต่เป็นการทำข้อตกลงทางเศรษฐกิจหรือการเมืองระหว่างประเทศ ที่คนไทยทุกคนจะได้รับผลประโยชน์จากสิ่งนั้น ในยามประเทศเกิดวิกฤตทั้งเศรษฐกิจและโรคระบาด ทุกงบประมาณ ทุกภาษีที่ประชาชนจ่าย ทุกสรรพกำลังของข้าราชการ เจ้าหน้าที่ รวมถึงผู้คนอีกจำนวนมากมหาศาลอยู่เบื้องหลังงานครั้งนี้ เราควรทำให้เอเปค 2022 เกิดผลประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติ
 
นั่นคือสิ่งที่เราในฐานะประชาชนคนไทยคนหนึ่งผู้เสียภาษีคาดหวังกับเอเปค 2022 ภายใต้รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.แพทองธาร ได้ทวีตรูปภาพการประชุมเอเปคสมัยนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ มาประกอบด้วย
 

 
ก้าวไกล นัด ส.ส. ถกทิศทางโหวต กม.กัญชา ชี้ พรรคร่วมแตกคอ ทำสภาวุ่นแน่
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7367853

‘ก้าวไกล’ นัด ส.ส. 22 พ.ย. ลงมติหาทิศทางโหวต ร่างพ.ร.บ.กัญชา ชี้ พรรคร่วมแตกคอ สภาอลหม่านแน่ เผย พรรคเตรียมเปิดนโยบายเพิ่ม
 
เมื่อวันที่ 16 พ.ย. 2565 น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ให้สัมภาษณ์ถึงร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.)  กัญชา กัญชง พ.ศ. … ที่จะเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร ในช่วงหลังการประชุมเอเปค ซึ่งพรรคร่วมรัฐบาลยังมีความเห็นต่างกันในเรื่องนี้ จะส่งผลทำให้การเมืองเกิดความขัดแย้งมากยิ่งขึ้นหรือไม่ ว่า พรรคก้าวไกลได้นัดหมายในวันที่ 22 พ.ย. เพื่อลงมติการประชุม ส.ส. ว่าจะโหวตกฎหมายฉบับนี้ไปในทิศทางใด
 
น.ส.ศิริกัญญา กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ ทางกรรมาธิการ (กมธ.) สัดส่วนพรรคก้าวไกล ได้ขอสงวนความเห็นในกฎหมายนี้จำนวนมาก จึงต้องรอดูว่าจะสามารถโน้มน้าวสภาให้เห็นด้วยกับกมธ.เสียงข้างน้อยได้หรือไม่ ส่วนความขัดแย้งของพรรคร่วมรัฐบาลเราเห็นมาเป็นระยะแล้ว โดยในการโหวตวาระ 1 แทบจะไม่มีใครไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ แต่เมื่อเข้าใกล้การประชุมวาระ 2-3 ฝั่งพรรคร่วมรัฐบาลเริ่มมีความขัดแย้งเข้มข้นและรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทั้งจากพรรคภูมิใจไทย (ภท.) และพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ยังคงหาข้อสรุปร่วมกันไม่ได้ ส่งผลให้กลายเป็นความขัดแย้งภายในคณะรัฐมนตรี (ครม.) ด้วย ดังนั้น คงจะเกิดเหตุการณ์นี้ในสภาไม่ต่างกันเท่าใด
 
น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า จากนี้เราจะเห็นภาพฝ่ายรัฐบาลเห็นตรงข้ามกัน และจะส่งผลต่อการลงคะแนนในที่สุดด้วย จึงถือว่าเป็นภาพสะท้อนการเมืองไทยที่ชัดเจนมากที่สุดในช่วงที่ผ่านมา ยิ่งใกล้วันเลือกตั้งมากขึ้นเท่าไหร่ ก็จะยิ่งเห็นอาการไม่ลงรอยกันของพรรคร่วมรัฐบาลมากขึ้นเท่านั้น เพราะในการเลือกตั้งทุกพรรคคือคู่แข่งกันทั้งหมด
 
เมื่อถามว่า พรรคก้าวไกลจะเปิดนโยบายเพิ่มเติม เพื่อเตรียมพร้อมเลือกตั้งอีกเมื่อใด น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า ในวันที่ 26 พ.ย. จะเปิดนโยบายเกี่ยวกับการกระจายอำนาจไปสู่ท้องถิ่น จากนั้นในวันที่ 29-30 พ.ย. ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญปลดล็อกท้องถิ่น ที่ร่วมจัดทำกับคณะก้าวหน้า จะเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา จึงถือว่าเป็นช่วงเวลาของการปลุกนโยบายกระจายอำนาจและยุติรัฐราชการรวมศูนย์ไปพร้อมกัน
  

 
บาทแข็งค่าต่อเนื่อง เตือนผันผวนระยะสั้น หลังปัจจัยเสี่ยงสงครามรุนแรง หนุนดอลล์แข็ง
https://www.matichon.co.th/economy/news_3676245

บาทแข็งค่าต่อเนื่อง เตือนผันผวนระยะสั้น หลังปัจจัยเสี่ยงสงครามรุนแรง หนุนดอลล์แข็ง
 
เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ที่ระดับ 35.57 บาทต่อเหรียญสหรัฐ อ่อนค่าลงเล็กน้อยจากระดับปิดวันก่อนหน้าที่ระดับ 35.55 บาทต่อเหรียญสหรัฐ โดยมองกรอบเงินบาทวันนี้คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 35.45-35.70 บาทต่อเหรียญสหรัฐ
 
นายพูนกล่าวว่า บรรยากาศในตลาดการเงินสหรัฐยังอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง ท่ามกลางความหวังของผู้เล่นในตลาดที่มองว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะสามารถชะลอการเร่งขึ้นดอกเบี้ยและอาจขึ้นดอกเบี้ยได้ไม่เกินระดับ 5.00% หลังจากที่รายงานดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ในเดือนตุลาคมเพิ่มขึ้น 0.2% น้อยกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้มาก ทำให้เชื่อว่าเงินเฟ้อสหรัฐได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ผู้เล่นในตลาดมีการขายทำกำไรหุ้นสหรัฐอออกมาบ้างในช่วงท้ายของการซื้อขาย ท่ามกลางความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มสูงขึ้น ตามสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น และล่าสุดมีรายงานว่าเมืองชายแดนของโปแลนด์ก็ถูกโจมตีด้วยขีปนาวุธของรัสเซียจนมีผู้เสียชีวิตเช่นกัน
 
สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาท แม้ว่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องตามภาวะเปิดรับความเสี่ยงในช่วงที่ผ่านมา แต่ปัจจัยเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ที่เริ่มร้อนแรงขึ้นก็อาจกดดันบรรยากาศในตลาดการเงิน และช่วยหนุนให้เงินเหรียญสหรัฐแข็งค่าขึ้นตามความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) ในระยะสั้นได้ นอกจากนี้ ควรจับตาฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ หลังจากเริ่มเห็นสัญญาณขายทำกำไรทั้งหุ้นและบอนด์จากฝั่งนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งหากฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติเริ่มเป็นฝั่งขายสุทธิก็อาจเป็นปัจจัยกดดันเงินบาทฝั่งอ่อนค่าได้ในระยะสั้น
  
ทั้งนี้ โฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำตามการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ ยังเป็นปัจจัยที่ช่วยหนุนให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นได้ หากตลาดปิดรับความเสี่ยง ไม่ว่าจะเป็นด้วยปัจจัยความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ หรือรายงานยอดค้าปลีกสหรัฐที่อาจจะออกมาดีกว่าคาด แล้วทำให้เงินเหรียญสหรัฐกลับมาแข็งค่าขึ้นและกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลง แต่การอ่อนค่าของเงินบาทจะไม่รุนแรงมากนัก หากยังมีโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำมาช่วยพยุงไว้ ซึ่งแนวต้านของเงินบาทจะอยู่ในโซน 35.85-36.00 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ในขณะที่แนวรับยังคงเป็นโซน 35.50 บาทต่อเหรียญสหรัฐ หากหลุดระดับดังกล่าว แนวรับสำคัญถัดไป คือ 35.20-35.30 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ซึ่งประเมินว่าบรรดาผู้นำเข้าส่วนใหญ่ต่างรอทยอยซื้อเงินเหรียญสหรัฐและสกุลเงินต่างประเทศในโซนดังกล่าว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่