หนังเรืองนี้มีเนื้อหาซ้อนกันอยู่ 2 ชั้น ชั้นแรกคือตามเนื้อเรื่อง ที่ตอนจบ เฉลยไว้หมดแล้วว่าแอนคือใคร ตามสปอยล์นี้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้แอนตื่นขึ้นมาพบว่าตนเองอยู่สถานที่แห่งหนึ่งและเธอเห็นหน้าตนเองเปลี่ยนเป็นคนอื่น จิตแพทย์ให้คำแนะนำว่าเธอกำลังป่วยอยู่ จากนั้นจึงพบว่าทุกคนที่เป็นคนป่วยจะชื่อแอนและถูกไล่ฆ่าโดยปีศาจหัวกวางเวติโก้
พอแอนถูกฆ่าตาย เธอจะกลับมาเป็นแอนอีกคน และพยายามหาทางหนีรอด เปลี่ยนวิธีไปเรื่อยๆ ระหว่างนั้นหนังจะมีฉากความทรงจำในอดีตในช่วงแอนถูกสะกดจิตหรือช่วงที่ตายแล้วมาเป็นแอนอีกคน เพื่อให้รู้ว่าเธอผ่านอะไรมา สุดท้ายแอนและปีศาจเวติโก้ จึงได้รู้จากจิตแพทย์ที่ก็เป็นแอนเหมือนกันว่า ทุกคนเป็นเพียงร่างอวตารในจิตที่ต่อสู้ดิ้นรนหาทางออกจากวังวนนี้ในร่างของแอน เด็กสาวคอสเพลย์ที่ถูก cyber bully จนเลือกจบชีวิตตนเอง แต่เธอไม่ตายและกลายเป็นเจ้าหญิงนิทรานอนเป็นผักในโรงพยาบาล ทำให้วังวนนี้ไม่มีจุดสิ้นสุดจนกว่าแอนตัวจริงจะฟื้นขึ้นมา
แต่ชั้นที่ 2 นั้น จะใช้คำพูดและสัญญะในฉากต่างๆที่แฝงไว้ เพื่อปล่อยให้ผู้ชมได้คิดกันเอง ตามแต่ละมุมมองและประสบการณ์ และส่วนนี้นี่แหละที่มีทั้งเสียดสีกันตรงๆอ้อมๆ และบางคนไม่เข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้มีความหมายแฝงว่าอะไร หมายถึงใคร ใส่มาทำไมให้เสียเวลา
ตัวผมเองก็ตีความออกมาได้นิดหน่อย ก็หวังว่าจะช่วยเป็นประโยชน์หรือแนวทางให้คนดูได้เห็นหนังเรื่องนี้ในอีกมุมมองหนึ่ง
1) Faces of Anne เริ่มต้นจากกรอบเล็กๆก่อนจะไปถึงแอน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ในต้นเรื่อง มีซีนที่แมลงสาบคลานออกมานอกกรอบรูป แล้วถูกแอนปาหนังสือใส่จนเละคาปก
อันที่จริง แมลงสาบมีความสำคัญต่อระบบนิเวศและยังเป็นแหล่งอาหารสำหรับนกและสัตว์กินแมลงด้วย
อ้างอิงจาก: https://urbancreature.co/report-cockroach/
แต่ในมุมมอง ทัศนคติ องค์ความรู้ของคนทั่วไปนั้น แมลงสาบเป็นพาหะนำโรค สกปรกและน่ารังเกียจ
และหากได้กลับไปดูหนัง จะสังเกตเห็นว่าภาพวาดในกรอบรูปนั้นคือรูปรวมของกลุ่มคนที่หลอมเป็นปีศาจหัวกวาง เวนติโก้
สิ่งที่ตีความได้จากซีนนี้ แมลงสาบ คือ ความเห็นต่างหรือความเป็นตัวตนที่แตกต่าง ที่อยู่นอกกรอบที่สังคมหรือกลุ่มคนกำหนดไว้
แล้วพอไม่ได้ดังใจตามมุมมองและทัศนคติความเชื่อของสังคมหรือคนกลุ่มนั้น ก็เกิดความไม่พอใจ เกลียดชัง มุ่งประสงค์ร้ายทางร่างกายและจิตใจ
แต่เวลาเกิดเหตุน่าสลดขึ้นกับคนที่ถูกทำร้ายทั้งจากการทำร้ายร่างกายโดยตรงหรือจาก cyberbully พวกผู้กระทำมักทำตัวแบบ "ก็
เสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนะ แต่พวกแกมันทำตัวน่ารังเกียจเอง" เหมือนกับแอนที่เป็นคนปาหนังสือใส่แมลงสาบจนตาย แล้วรู้สึกขยะแขยง ทั้งที่ถ้าเลือกไม่กระทำก็ไม่ต้องมาเสียใจทีหลัง และยังได้ไตร่ตรองตนเองด้วยว่าเราเป็นคนยังไงกันแน่ ถึงไปตั้งแง่รังเกียจเขา
(เหมือนซีนท้ายๆที่แอนตื่นมาที่ห้อง แล้วปาหนังสือพลาด แมลงสาบไม่ตาย เผยให้เห็นข้อความในหนังสือที่แอนระบายความรู้สึกไว้)
แอนก็ไม่ต่างจากแมลงสาบตัวนั้น ที่ตอนต้นเรื่องเธอถูกกักอยู่ในห้อง เป็นกรอบแรกที่เป็น safe zone แล้ว แต่ก็ยังพยายามหนีออกมาจากห้องแคบๆนั้น ถ้าเรามองว่าแอนไม่ผิดที่พยายามหนีออกมา แมลงสาบตัวนั้นก็ไม่ผิด คนที่ไม่ได้อยู่ในกรอบค่านิยมของสังคมก็ไม่ควรมีความผิด
2) สัญญะของแอนคือใคร?
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้การที่แอนเปลี่ยนหน้าเป็นหลายคนได้ แต่แชร์ความทรงจำก่อนตายมาสู่แอนอีกคนได้ รวมถึงใช้มือถือร่วมกันได้ทั้งที่เป็นคนละคน นั่นน่าจะเป็นสัญญะของความเป็นกลุ่มก้อนเดียวกันหรือ community หนึ่งในโลกไซเบอร์ที่คนที่คิดเห็นอะไรเหมือนกันจะอยู่ร่วมกันและพูดคุยแลกเปลี่ยนทัศนะในเรื่องเดียวกัน แต่กลุ่มคนเหล่านี้มักไม่แสดงตัวว่าเป็นใคร อยู่ที่ไหน เพื่อความอิสระในการแสดงความเห็นโดยไม่ถูกใครติดตาม เสมือนเป็นบุคคลนิรนาม ส่วนนึงผมจึงคิดว่าชื่อของแอน น่าจะมีที่มาจาก Anonymous หรือบุคคลนิรนามบนโลกไซเบอร์
และถ้าพูดถึงกลุ่มคนในสังคมที่เข้าถึงเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตได้ดีนั้น จะเป็นคนกลุ่ม Generation Z (พ.ศ. 2540 ขึ้นไป) ส่วนตัวแล้ว จึงคิดว่าแอนคือกลุ่มคนในวัย Gen Z นั่นเอง
ส่วนสีเสื้อที่แอนใส่คือสีเหลืองนั้น คิดว่ามันมีสัญญะซ่อนอยู่ เพราะในทางจิตวิทยา สีเหลืองจะให้ความรู้สึก สว่าง สดใส ความหวัง
(อ้างอิงจาก https://londonimageinstitute.com/how-to-empower-yourself-with-color-psychology/)
แต่ในเรื่อง มันเป็นเหลืองหม่นๆเก่าๆ กำลังบ่งบอกว่าความหวัง, ความสดใสที่เคยมีมันเปลี่ยนเป็นความอึมครึมหม่นหมองรึเปล่า
3) ห้องเก่าๆโทรมๆของแอน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้เป็น safe zone ที่แอนจะได้รับการดูแลจากผู้ใหญ่ ถ้าเชื่อฟังและคล้อยตามการสะกดจิตของคุณหมอ ชีวิตแอนก็จะปลอดภัย
น่าจะหมายถึงทัศนคติหรือกรอบความคิดที่ครอบงำให้เชื่อตามๆกันมาหลายสิบปี ห้องที่แอนอยู่จึงมีสภาพเก่าๆโทรมๆ ขาดการปรับปรุงพัฒนาให้เข้ากับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป
4) ปีศาจหัวกวางเป็นใคร? ทำไมต้องชื่อ เวติโก้?
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้อิงจากเนื้อเรื่อง ตอนที่พ่อของแอนขับรถชนกวางเจ็บสาหัส แต่แทนที่จะช่วย พ่อของแอนกลับเลือกที่จะยิงกวางตัวนั้นให้ตาย ตัดจบปัญหามันเสียเลย แอนที่เป็นเด็กในตอนนั้น ถึงกับช็อคในสิ่งที่พ่อทำ ปีศาจหัวกวางจึงเกิดขึ้นมาจากภาพสะท้อนการแก้ปัญหาด้วยความรุนแรงที่พ่อถ่ายทอดให้เห็น ซึ่งกลายเป็นสิ่งที่ฝังหัวแอนไว้ว่า ความรุนแรงก็เป็นวิธีหนึ่งที่ใช้แก้ปัญหาได้
ชื่อของปีศาจหัวกวาง เวติโก้ ก็ถูกเรียกขึ้นครั้งแรกในเรื่องนี้โดยแอน
เวติโก้หรือ เวนดิโก (Wendigo) เป็นปีศาจครึ่งคนครึ่งสัตว์ป่าในคติความเชื่อของชาวอินเดียแดงในทวีปอเมริกาเหนือ
น่าจะเป็นสัญญะขององค์ความรู้ที่เข้าถึงได้ง่ายในปัจจุบันด้วยข้อมูลในโลกอินเตอร์เน็ต
อนึ่ง เวติโก้คือ "ความเชื่อ" ไม่ใช่ "ข้อเท็จจริง" ข้อมูลที่ได้ในอินเตอร์เน็ตนั้นจึงอาจจะจริงหรือเท็จก็ได้ แต่สิ่งที่ทำให้ "ความเชื่อ" กลายเป็น "ความน่าเชื่อว่าจริง" ก็คือ เวลาตั้งคำถามแล้วไม่มีคำตอบที่ชัดเจน เป็นคำตอบคลุมเครือหรือถูกสั่งให้เงียบ โดยยังไม่คลายความสงสัยนั้นแหละ ที่ทำให้คนเริ่มเอนเอียงไปตามความเชื่อนั้น
ส่วนเพลงประกอบตอนเวติโก้ปรากฏตัว คือ เพลงนี้ถูกเปิดในรถที่แอนนั่งอยู่และเห็นพ่อยิงกวางตาย จึงกลายเป็นเพลงที่จิตของแอนไปเชื่อมโยงถึงกับปีศาจหัวกวางในความฝันของเธอได้
แต่ถ้ามองในมุมเสียดสีสังคมแล้ว เพลง "เป็นไปไม่ได้" นั้น เป็นเพลงดังของวง ดิ อิมพอสสิเบิล ที่ลงอัลบั้ม ในปี พ.ศ. 2512 ซึ่งผู้ฟังที่เป็นวัยรุ่น วัยทำงานในช่วงเวลานั้น ก็คือ กลุ่ม Baby Boomer (พ.ศ. 2489 - 2507) ที่ในตอนนี้เป็นผู้ใหญ่อาวุโสที่มีตำแหน่งหรืออำนาจเหนือคนกลุ่มอื่น
ดังนั้น เวติโก้ น่าจะชี้ไปที่กลุ่ม Baby Boomer ซึ่งมีแนวคิดค่อนไปทางอนุรักษ์นิยมสวนทางกับเด็ก Gen Z โดยมักจะปฏิเสธความเห็นของเด็กๆ ที่ถูกมองว่ายังอ่อนต่อโลก ดังนั้นบางสิ่งที่เด็กเรียกร้อง จึงกลายเป็นเรื่องไร้สาระที่ "เป็นไปไม่ได้ " และมอบบทลงโทษให้เด็กๆกลับเข้าที่เข้าทางตามกรอบแนวคิดของพวกเขา
5) ทำไมจึงถูกไล่ฆ่า?
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ในเมื่อพูดดีๆแล้วไม่ฟัง ก็ลงโทษด้วยความรุนแรงเหมือนที่ถูกปลูกฝังกันมาว่าเป็นวิธีแก้ปัญหาหนึ่ง
และยังช่วยปลูกฝังความกลัวให้คนอื่นอยู่ในกรอบอย่างสงบได้ด้วย
ต้องแสดงอำนาจที่มีให้เห็น ว่าพวกที่ออกจากกรอบ จะถูกลงโทษอย่างไร
หรือแม้แต่เคยติดต่อ ก็อาจจะเป็นพวกมีความคิดเดียวกัน เลยต้องมีการขู่กันเล็กน้อย
"ไหนขอเข้าไปคุยด้วยหน่อยซิว่าเธออยากจะอยู่ดีๆในนั้นหรืออยากจะเป็นแบบพวกที่ออกมา"
(ซีนที่แอน-มิวสิคเห็นแอนอีกคนถูกฆ่าตายผ่านช่องตาแมวหน้าประตู แล้วเวนติโก้พยายามดันประตูเข้ามา ทำให้แอน-มิวสิคต้องดันประตูกลับและขังตัวเองอยู่ในห้องด้วยความหวาดกลัวจนเช้า)
6) ขู่แล้วคิดว่ากลัวเหรอ?
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ผลจากการใช้ความรุนแรงสร้างความสงบด้วยความหวาดกลัวนั้น มันไม่ค่อยได้ผลในปัจจุบันแล้ว เพราะสื่ออินเตอร์เน็ต เทคโนโลยีบันทึกภาพ ทำให้คน Gen Z รู้ว่าโลกจับตามองสังคมที่เขาอยู่ ทำให้พวกเขาเชื่อว่าสังคมจะเปลี่ยนแปลงได้ถ้ารวมตัวกัน พากันออกมาข้างนอก วิ่งวนไปตามทางบันไดวนทรงสามเหลี่ยมคล้ายลูกศรมุ่งสู่อนาคตใหม่ ก้าวออกไปเผื่อว่าจะเจออนาคตที่ดีกว่า
(แต่อย่างที่รู้กันในหนัง เด็กๆที่วิ่งไปตามบันไดนั้น ต้องเจอกับอะไร)
7) ที่ถูกจัดการก็ต้องปล่อยไป แต่แอนจะกลับมา
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้การที่แอนตายแล้ว กลับมาเป็นแอนอีกคน เปรียบเหมือนพวกเค้ารับรู้ข่าวสารของเพื่อนพ้องที่ถูกทำรุนแรง และถ่ายทอดความคิดอุดมการณ์ของพวกตน หาทางออกใหม่ๆ ที่จะเปลี่ยนแปลงสังคมให้ดีขึ้น
ดังนั้นประโยคที่แอนพูดว่า "นี่ไม่ใช่เวลาเป็นคนดีนะเว้ย" จึงสะท้อนความคิดที่พวกเค้าจำใจ ต้องทิ้งเพื่อนที่ถูกลงโทษไว้
เพราะถ้ากลับไปช่วย ตัวเองก็จะโดนพ่วงไปด้วย แล้วจะไม่มีใครสานความคิดต่อ
วันนี้พลาดไป พรุ่งนี้ก็รวมตัวกันมาใหม่ วนเวียนอยู่แบบนี้
8) หนีออกจากกรอบหนึ่ง เพื่อไปชนเข้ากับกรอบที่ใหญ่กว่า
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ซีนนี้คือซีนที่แอน-ไวโอเล็ตหนีขึ้นดาดฟ้าเรือ แล้วไปเจอกองถ่าย ซึ่งหลายคนคิดว่าเป็นฉากหลุดในหนัง
ความหมายในซีนนี้น่าจะหมายถึงกรอบของแอนที่ใหญ่ขึ้นนั่นคือ บทบาทหน้าที่ของบุคคลนั้นๆในสังคมหนึ่ง เช่น เป็นดารา ก็ต้องสวมบทบาทอยู่ในพื้นที่ที่กองถ่ายกำหนด
และแอนก็ออกจากกรอบนี้ไปไม่ได้อีกแล้ว เพราะนี่คือนาวาชีวิตของแอนที่ลอยอยู่ในมหาสมุทร
9) ทำไปทำมา อ้าว กลายเป็นเวติโก้เสียเอง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ในซีนที่แอน-เจนนิษฐ์หนีมากับแอน-ก้อย จนรู้ว่าพวกตนคืออวตารของแอน และตัดสินใจสู้กับเวติโก้ สุดท้ายก็ฟาดหัวเวติโก้ตายไป ใต้หน้ากากนั้นคือ แอน-ออกแบบ และหน้าของเจนนิษฐ์ก็กลายเป็นแอน-ออกแบบสวมหัวปีศาจเวติโก้ต่อไป
การตอบโต้ความรุนแรงด้วยความรุนแรง ทำให้คนนอกมองมาด้วยความไม่สบายใจว่าทั้งสองฝ่ายก็ "ไม่มีใครดีกว่าใคร ก็เหมือนๆกันนั่นแหละ"
ถ้าจำไม่ผิด หลังจากที่เจนนิษฐ์กลายเป็นแอน-ออกแบบ ในร่างเวติโก้แล้ว มันจะเป็นซีนเดียวในเรื่องที่เวติโก้เข้ามาในห้องแล้วทำท่าจะทุบใส่แอนอีกคนที่นอนอยู่ในห้องนั้น สะท้อนถึงพฤติกรรมของคนบางกลุ่มที่ใช้มาตรการ cyber bully โจมตีเข้าใส่คนในกรอบที่เพิกเฉยต่อเสียงเรียกร้อง (ignore) เพื่อกดดันและข่มขู่ให้ทำตาม
"เกลียดที่เขาทำกับพวกตัวเอง แต่พวกตัวเองก็ทำกับคนอื่น"
10) เวติโก้ คิดเป็นเจ็บเป็น
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้Faces of Anne ไม่ใช่หนังที่ใส่ร้ายใคร น่าจะเรียกว่าแสวงหาความเข้าใจในความเป็นมนุษย์ของทั้งสองฝ่ายมากกว่า
เพราะตลอดการไล่ล่า เรามาเห็นตอนท้ายที่แอน-ออกแบบในฐานะเวติโก้นั้น ก็เจ็บปวดที่ต้องไล่ฆ่าทุกคนแต่ทำเพราะคาดว่าจะแก้ปัญหาได้
สะท้อนให้เห็นถึงผู้ใหญ่ที่ลงโทษเด็กๆว่า รู้สึกเจ็บปวดเหมือนกัน แต่เพราะสิ่งที่เค้าเรียนรู้มาจากรุ่นสู่รุ่น ทำต่อๆกันมาแล้วมันได้ผลก็คือการใช้อำนาจกำหราบให้สงบ พวกเขาจึงทำ และอยากให้ดีขึ้น
แต่พอถึงเวลาที่เวติโก้ยื่นอาวุธ เลือกให้จัดการเขา แอน-มินนี่ก็ "ไม่ประสงค์จะเลือก" แล้วตัดจบตัวเองซะงั้น เฮ้อ...
11) "แอนที่นอนเป็นผักอยู่น่ะ เลิกหลบอยู่หลังพวกเราสักที"
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้หน้าฉากเราเห็นสองฝ่ายตีกัน
แต่แอนที่นอนเป็นผัก คือ สังคมที่ปลูกฝังวิธีแก้ปัญหาด้วยความรุนแรง ไม่มีอะไรดีขึ้น
เราเห็นเป็นเรื่องปกติทั้งที่มันผิดปกติ เพราะเป็นเรื่องผิดปกติที่คุ้นชินแล้ว จึงมองไม่เห็นว่าสังคมเรามันป่วย
หนังเรื่องนี้ในตอนจบจึงเป็นได้สองนัย
นัยหนึ่ง วนเวียนไม่สิ้นสุด ไม่มีอะไรดีขึ้น
อีกนัยหนึ่ง คือ ยุติความขัดแย้ง ไม่มีเวติโก้และคนที่คอยสะกดจิตเด็ก (ฉากที่แอน-ออกแบบกับหมอจับมือกันทำท่าจะโดดตึก) และไม่มีเด็กที่ออกมาข้างนอกสร้างความวุ่นวาย ทั้งนี้ไม่ใช่การตำหนิเด็กๆ แต่คือความห่วงใยที่วันนี้เขายังไม่มีอำนาจพอจะเปลี่ยนแปลงสังคมนี้ได้ เพราะบทบาทของเขายังเป็นเด็กในวัยเรียน จะเสียอนาคตไปเปล่าๆกับการลงโทษ
อยากให้ไม่ลืมความคิดที่ถูกต้อง ไม่ย่ำซ้ำรอยเดิมของคนรุ่นก่อน เพราะถ้าเราทำไม่เหมือนเดิม ผลลัพธ์ก็จะไม่เหมือนเดิม
ให้กระแสเวลาพาเหล่าต้นกล้าเปลี่ยนเป็นผืนป่า
รอวันที่จะเป็นผู้ใหญ่ที่มีเหตุผล ลืมตาตื่น (ฉากตอนจบที่แอน-จิตแพทย์ลืมตาตื่นขึ้น)
แล้วแอนหรือสังคมนี้จะได้ตื่นขึ้นมาหรือพัฒนาขึ้นสักที
ตีความในเชิงเสียดสีสังคมของ Faces of Anne (สปอยล์เนื้อเรื่อง)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แต่ชั้นที่ 2 นั้น จะใช้คำพูดและสัญญะในฉากต่างๆที่แฝงไว้ เพื่อปล่อยให้ผู้ชมได้คิดกันเอง ตามแต่ละมุมมองและประสบการณ์ และส่วนนี้นี่แหละที่มีทั้งเสียดสีกันตรงๆอ้อมๆ และบางคนไม่เข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้มีความหมายแฝงว่าอะไร หมายถึงใคร ใส่มาทำไมให้เสียเวลา
ตัวผมเองก็ตีความออกมาได้นิดหน่อย ก็หวังว่าจะช่วยเป็นประโยชน์หรือแนวทางให้คนดูได้เห็นหนังเรื่องนี้ในอีกมุมมองหนึ่ง
1) Faces of Anne เริ่มต้นจากกรอบเล็กๆก่อนจะไปถึงแอน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
2) สัญญะของแอนคือใคร?
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
3) ห้องเก่าๆโทรมๆของแอน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
4) ปีศาจหัวกวางเป็นใคร? ทำไมต้องชื่อ เวติโก้?
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
5) ทำไมจึงถูกไล่ฆ่า?
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
6) ขู่แล้วคิดว่ากลัวเหรอ?
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
7) ที่ถูกจัดการก็ต้องปล่อยไป แต่แอนจะกลับมา
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
8) หนีออกจากกรอบหนึ่ง เพื่อไปชนเข้ากับกรอบที่ใหญ่กว่า
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
9) ทำไปทำมา อ้าว กลายเป็นเวติโก้เสียเอง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
10) เวติโก้ คิดเป็นเจ็บเป็น
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
11) "แอนที่นอนเป็นผักอยู่น่ะ เลิกหลบอยู่หลังพวกเราสักที"
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้