วันที่ฟ้าเปิด
ดรัสวันต์ และ Q
18
เนตริยาลืมตาขึ้นมาบนเตียงในห้องของหล่อน แสงแดดแรกของวันสาดส่องมาทางหน้าต่าง หญิงสาวค่อยๆ ปรับสายตาให้ตอบรับกับแสงสว่างในเช้าวันใหม่ หล่อนจัดเก็บเครื่องนอนตามกิจวัตรที่หล่อนเคยทำมาหลายวัน พลันเริ่มคิดว่านี่หล่อนเริ่มคุ้นชินกับที่นี่เกินไปแล้วหรือเช่นไร
ในบ้านหลังนี้เนตริยาสามารถวางใจที่จะเอนกายหลับนอนได้อย่างไม่รู้สึกแปลกถิ่น รวมทั้งคนที่อยู่ในบ้านล้วนแต่เป็นคนที่หล่อนให้ความไว้วางใจได้ทั้งสิ้นโดยเฉพาะปกป้อง ความเคยชินอีกอย่างหนึ่งของหล่อนคือการได้ตื่นขึ้นมาและรับประทานอาหารเช้าพร้อมกับชายหนุ่ม ที่จะนั่งรออย่างอดทน ไม่ว่าหล่อนจะตื่นเช้าหรือตื่นสาย
แต่เช้าวันนี้เนตริยารู้ตัวดีว่าปกป้องจะไม่อยู่ และหล่อนต้องรับประทานอาหารเช้าอย่างเงียบเหงาอยู่คนเดียว
ไม่มีคนที่คอยถามว่าอาหารมื้อนี้เป็นอย่างไร ทานได้ไหม หญิงสาวเผลอถอนหายใจโดยไม่รู้ตัวเมื่อคิดถึงเรื่องราวเหล่านั้น
ปกป้องบอกหล่อนตั้งแต่เมื่อคืนแล้วว่าให้ทานอาหารเช้าโดยไม่มีเขา ในเวลานั้นเนตริยารู้สึกคล้ายใจหายแต่หล่อนยังคงสีหน้าท่าทางปกติไม่แสดงความรู้สึกนั้นออกมาให้อีกฝ่ายรู้
เนตริยาสังเกตว่ารถยังคงจอดอยู่ แสดงว่าปกป้องใช้มอเตอร์ไซค์ออกไป เขาคงไปไม่ไกลมากนัก เธอคิดว่าคงมีแต่ตลาดที่อยู่ไม่ไกลมากนักที่พอจะ
ขี่มอเตอร์ไซค์ไปได้ หรือปกป้องนัดใครไว้ที่นั่น พอคิดถึงตรงนี้หล่อนรู้สึกวาบในใจแล้วรีบปฏิเสธใจตัวเอง หล่อนไม่ควรใส่ใจว่าเขาจะนัดใคร และใครคนนั้นจะเป็นหญิงหรือชาย
เนตริยานั่งรับประทานอาหารที่นาดีร์เตรียมไว้ให้ด้วยอาการเหม่อลอย ยิ่งเธอเห็นว่านาดีร์และแสวงยังคงทำงานอยู่ในบ้าน นั่นหมายความว่าปกป้องออกไปข้างนอกเพียงคนเดียว คนที่ปกป้องไปพบต้องเป็นเรื่องส่วนตัวมากๆ เขาจึงไม่อยากให้ใครรู้ เขาถึงได้ไปคนเดียว
หล่อนอยากรู้นักว่าก่อนที่เขาจะลักพาเธอมาที่นี่ เขาออกไปเช่นนี้ทุกเช้าหรือไม่ รึว่าจะลองเลียบเคียงถามแสวงหรือนาดีร์ดู แต่ไม่ดีกว่า เผื่อลูกน้องเขาไปบอกนายว่าหล่อนมาถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาจะได้ใจว่าหล่อนใส่ใจใยดีในตัวเขา
ซึ่งเป็นการไม่สมควรที่หล่อนจะแคร์คนที่ลักพาตัวหล่อนมา
ปกป้องขี่มอเตอร์ไซค์มาจอดที่ด้านหน้าร้านกาแฟสดข้างๆ ร้านแปะกวง เวลาเช้าเช่นนี้ เป็นเวลาที่ชาวบ้านมาจับจ่ายสินค้ากันขวักไขว่ เขามองภาพ
คุ้นตาที่เขาห่างหายไปเป็นอาทิตย์ ตั้งแต่เนตริยามาอยู่ด้วย
ที่ร้านกาแฟ หรือสภากาแฟก็เช่นกัน มีสมาชิกที่เป็นขาประจำที่ส่วนใหญ่เป็นชายสูงวัยมานั่งอยู่พร้อมหน้า ต่างทักทายกันเซ็งแซ่เมื่อปกป้องเดิน
เข้าร้านมา
“หายหน้าไปนานเลยนะ หมอ” ชายที่นั่งอยู่ก่อนแล้วเอ่ยทักทายทันที ที่เห็นเพื่อนสมาชิกที่หายหน้าหายตาไปนาน
“สวัสดีครับ” ปกป้องยกมือไหว้ผู้อาวุโสทุกคน แล้วหันไปตอบคนถาม “ช่วงหลังนี้ผมงานยุ่งจริงๆ ” พูดจบก็มีชายอีก 3 คนเข้ามาสมทบ
“อ้าว สวัสดีคุณหมอ ไม่เห็นหน้าหลายวัน” หนึ่งในผู้มาใหม่ทักทาย ปกป้องยิ้มรับและยกมือไหว้
ที่แห่งนี้เป็นศูนย์รวมผู้คนจากหลายหมู่บ้านด้วยกัน ดังนั้นหลายคนที่มาที่นี่จะคุ้นเคยและให้ความไว้วางใจกับปกป้องมากเป็นพิเศษ เพราะทุกคนต่าง
รู้ดีว่าชายหนุ่มเป็นบุคคลที่เป็นที่พึ่งของพวกเขายามเจ็บป่วย ปกติแล้วปกป้องจะใช้เวลาเช้าของวันที่ไม่ได้เข้าไปปฏิบัติงานหมู่บ้านมาพบเจอมวลสมาชิกที่นี่
เป็นหน้าที่ของเขาที่ต้องสร้างความคุ้นเคยกับคนในพื้นที่ ปกป้องต้องการที่จะเข้าถึงแหล่งข่าวหรือความเคลื่อนไหวใดๆ ที่เกิดขึ้นในละแวกนี้ และบ่อยครั้งที่ชายหนุ่มได้เบาะแสเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของขบวนการแบ่งแยกดินแดน และกลุ่มผิดกฎหมายจากการพูดคุยกับสมาชิกสภากาแฟแห่งนี้
“ว่าแต่งานยุ่งๆ ที่คุณหมอว่านั่นคืออะไรหรือ ออกหน่วยเยอะขึ้นหรือว่ามีคนป่วยเร่งด่วนเหมือนฮานีฟ” ชายมาใหม่ชื่อฟาตินถาม เขามาจากหมู่บ้าน
ดงใสทำให้เขารู้ว่าปกป้องเพิ่งจะไปรักษาคนในหมู่บ้านของเขามา “ผมว่างานคุณหมอน่าจะเบาลงนะครับ ผมเห็นหมอมีผู้ช่วยสาวสวยมาช่วยงาน”
พอฟาตินพูดจบ ทุกคนบนโต๊ะเริ่มฮือฮาและหันมาให้ความสนใจกับข่าวผู้ช่วยคนใหม่ของปกป้อง เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าหลังจากที่นายแพทย์ปริญญ์จากไป หมอหนุ่มคนนี้ก็ทำงานเพียงลำพังมาตลอด มีแต่แสวงที่มีหน้าที่ขับรถและคอยหยิบจับช่วยงานเล็กๆ น้อยๆ
“ผู้ช่วยใหม่หรือครับหมอ แถมสาวด้วยสวยด้วย สงสัยไม่ใช่ผู้ช่วยแค่เรื่องงานอย่างเดียวแล้วมั้งครับ ใช่ไหมฟาติน” ใครคนหนึ่งพูดแซวพร้อมหันไปยิ้มกับฟาตินเจ้าของต้นเรื่อง
“แหม... ไม่ใช่หรอกครับ เธอเป็นนักศึกษามาจากกรุงเทพฯ มาเก็บข้อมูลทำวิจัยเกี่ยวกับบริการด้านสาธารณสุขในพื้นที่ห่างไกล” ปกป้องสร้างเรื่องได้อย่างน่าเชื่อถือ พูดไปแล้วใบหน้าอ่อนใสของคนที่ต้องนั่งทานอาหารเช้าคนเดียววันนี้ ก็พอจะอนุโลมว่ายังเป็นนักศึกษาอยู่
“โธ่..เป็นนักศึกษามาทำวิจัยหรอกหรือ นึกว่าคุณหมอจะมีข่าวดีเร็วๆ นี้ น่าเสียดายจริงๆ” เฒ่าอ่ำผู้อาวุโสที่สุดในโต๊ะพูดแซวอีกครั้ง ทำให้ปกป้อง
ถึงกับขัดเขินพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เรียกเสียงหัวเราะจากวงสนทนา
“อย่าหาว่าผมอย่างโน้นอย่างนี้เลยนะคุณหมอ ตอนที่อยู่ในหมู่บ้าน ผมเห็นคุณหมอกับผู้ช่วยแว้บๆ ดูท่าทางเหมาะสมกันดีออก สวยขนาดนั้นไม่คิดจะจีบซะเลยล่ะ”
“สวยมากไหม ชักอยากจะเห็นแล้วซิ” เสียงถามระเบ็งเซ็งแซ่ขึ้น
ปกป้องรีบโบกมือห้าม
“อย่าแซวผมเลย เมื่อไหร่ผมมีแฟนกับเขาจริงๆ ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ผมจะพามาแนะนำกับทุกคน”
“เอาเถอะ เลิกแซวหมอได้แล้ว หน้าแดงถึงหูแล้ว” เฒ่าอ่ำช่วยปรามทุกคน
สักพักกาน้ำชาพร้อมแก้วถูกนำมาวางบนโต๊ะโดยเจ้าของร้าน แล้วตามมาด้วยกาแฟที่ถูกเสิร์ฟไปยังผู้ที่เพิ่งมาใหม่ เช้านี้ปกป้องเลือกรับประทานปาท่องโก๋กับขนมพื้นบ้านที่ห่อมาในใบตองซึ่งวางอยู่ในถาดสังกะสีกลางโต๊ะให้ทุกคนเลือกหยิบรับประทานตามใจชอบ คู่กับกาแฟสดที่คั่วบดใหม่ๆ
ส่งกลิ่นหอมไปทั้งร้าน แต่สำหรับคนที่เคยชินกับอาหารเช้าชนิดที่หนักท้องหน่อย ก็มีขนมจีนกับแกงใต้ให้เลือกรับประทาน 2 ชนิดด้วยกัน
“หลายวันมานี่เริ่มมีคนพูดถึงคนแปลกหน้าที่มากับเรือมาขึ้นฝั่งแถวบ้านเรา มันเป็นยังไงกันแน่ยูโซฟ” ผู้อาวุโสที่สุดในโต๊ะหันไปถามยูโซฟผู้ที่อยู่หมู่บ้านนาพญาซึ่งอยู่ติดชายฝั่งทะเล
ยูโซฟได้ยินดังนั้น เขารีบหันไปมองรอบตัวอย่างระแวดระวัง ก่อนจะตอบเสียงเบาว่า
“จริงครับ คนที่ออกเรือหาปลาสังเกตเห็นหลายคืนแล้ว พวกนั้นจะเทียบเรือเข้าฝั่งตอนดึกมากประมาณหลังเที่ยงคืนไปแล้ว คนบนเรือประมงแอบเห็นคนหลายสิบคนลงมาจากเรือ จากนั้นจะมีรถกระบะหกล้อ 2 คันมารับทันทีที่กลุ่มคนพวกนั้นลงมาจากเรือ นั่งเบียดเสียดยัดเยียดกัน....”
ทุกคนในที่นั้นนั่งฟังอย่างจดจ่อกับสิ่งที่ได้ยิน
“คนเห็นเหตุการณ์บอกว่าช่วงดึกๆ ที่เรือลึกลับนี้เข้ามาจอดที่ชายฝั่ง เรือไม่มีธงบอกว่ามาจากประเทศไหน ส่วนชื่อเรือก็มองไม่ออกว่าเป็นภาษาอะไร มันมืดด้วย ใช้เวลานำคนลงจากเรือไม่นานเรือก็แล่นหายออกไป” ยูโซฟหยุดพูด เขาหันซ้ายแลขวาอย่างหวาดระแวงก่อนจะพูดต่อ “ผมคิดว่าคนพวกนี้ ไม่ใช่คนไทย”
ทุกคนบนโต๊ะต่างส่งเสียงพึมพำวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานา คงมีแต่ปกป้องที่นั่งเงียบไม่ออกความเห็น ทำทีไม่สนใจเรื่องราวที่เล่าขานกันอยู่นี้
แต่หูเขาเปิดรับข้อมูลและพยายามจดจำรายละเอียดทุกคำจากยูโซฟ
“ชาวเรือที่เห็น บอกว่าคนพวกนี้ หน้าตาไม่เหมือนคนไทยและการแต่งตัวไม่ใช่คนไทยแน่นอน” ยูโซฟตอบ
ปกป้องนั่งเงียบ ในสมองเขากำลังคิดถึงขบวนการค้ามนุษย์ชาวโรฮิงญาที่เขาเคยได้ยินมา
“แล้วถ้าคนกลุ่มนี้ไม่ใช่คนไทย จะเป็นพวกไหนกัน” เฒ่าอ่ำถาม
“เห็นบอกว่าตัวดำๆ หน้าตาคล้ายพวกแขก”
“พวกพม่าหรือเปล่า”
“เฮ้ย พวกพม่าก็ต้องไปขึ้นแถวระนองซิวะ จะมาทำไมไกลๆ ถึงสตูลบ้านเรา”
“หรือว่าจะเป็นชาวโรฮิงญาตามข่าวที่เขาพูดกัน” ใครคนหนึ่งในโต๊ะพูดขึ้น
หลายคนชะงัก มองหน้ากันไปมา
“โรฮิงญา ? พวกไหน ไม่เคยได้ยิน”
“โธ่เอ๊ย ไอ้พวกหลังเขา หัดฟังข่าวสารบ้านเมืองซะมั่งซิ”
“หมอล่ะ เคยรู้เรื่องโรฮิงญาบ้างหรือเปล่า”
ทุกคนหันมามองผู้ที่มีความรู้สูงสุดในที่นั้น
“พอจะได้ยินมาบ้างครับ ไม่ทราบว่าเกี่ยวข้องกับขบวนการค้ามนุษย์อะไรนั่นหรือเปล่า” ปกป้องตอบกลางๆ พยายามแสดงความรู้ให้น้อยที่สุด
“เท่าที่รู้มานะ พวกลักลอบค้ามนุษย์ทำเป็นขบวนการ มีการรับส่งกัน 3-4 ทอด รถที่มารับพวกนี้ไปจะวิ่งไปตามขอบชายแดนแล้วให้กลุ่มโรฮิงญา
เดินเท้าไปจนถึงชายแดนมาเลเซีย” ผู้อาวุโสพูด
“โห... เดินผ่านป่าไปถึงมาเลย์ จะไหวหรือ ถ้าตายกลางทางแล้วจะทำยังไงล่ะเนี่ย”
“ตายกลางทางก็ฝังเลยมั้ง คนพวกนี้หายไปไม่มีใครสืบหาหรอก”
“บ้า จะต้องให้เดินทำไมกัน ถ้าจะไปมาเลย์ ทำไมไม่เอาเรือไปขึ้นฝั่งมาเลย์ทอดเดียวก็จบ ไม่ต้องมาขึ้นที่นี่หรอก”
“เออจริงด้วย” หลายคนพยักพเยิดเห็นด้วย แต่ส่วนใหญ่แล้วไม่มีใครที่รู้จริงสักคน
“ผมเป็นห่วงหมู่บ้านที่ผมอยู่นี่สิ ถ้าพวกนี้เป็นพวกผิดกฎหมายจริงแล้วมาใช้เส้นทางผ่านบ้านเรา เกิดมีใครไปรู้ไปเห็นเข้า มิโดนมันฆ่าปิดปากหรือ
ไหนจะพวกค้าของเถื่อนอีก คนพวกนี้ต่างก็พกปืนทั้งนั้น” ยูโซฟพูด
“แต่มันอาจจะไม่ใช่ก็ได้ เรายังไม่รู้ว่าคนกลุ่มนั้นเป็นใคร คนพวกนี้อาจจะถูกใช้เป็นกองกำลังของพวกขบวนการแบ่งแยกดินแดนก็ได้ ถ้าเรารู้จุดหมายปลายทางว่าคนพวกนี้จะถูกส่งต่อไปที่ไหน เราอาจจะรู้ได้ว่าพวกเขามาทำอะไรกันที่นี่” ใครอีกคนพูดเสนอขึ้น
“ทำไมเราไม่แจ้งข่าวนี้ให้ตำรวจรู้” ปกป้องเสนอความคิดเห็นออกมาเป็นครั้งแรก ทุกคนในสภาต่างหันมามองปกป้องเป็นตาเดียวกัน ก่อนจะหันไปมองหน้ากันเองแล้วเสียงจากผู้อาวุโสก็พูดขึ้นว่า
“อย่างที่ยูโซฟบอกน่ะคุณหมอ คนพวกนี้มันมีปืน และเบื้องหลังมันเป็นใครบ้างเราก็ไม่รู้ อาจจะเป็นผู้มีอิทธิพล คนมีสี หรือผู้นำมวลชนในท้องถิ่นก็ได้ พวกเราไม่มีใครอยากเสี่ยงไปแจ้งตำรวจซึ่งอาจจะจุดใต้ตำตอก็ได้” เฒ่าอ่ำพูดเสร็จ สมาชิกสภากาแฟหลายคนพยักหน้าเห็นด้วยว่าไม่มีใครอยากเสี่ยง
“ผมไม่ไว้ใจคนพวกนี้เลย” ยูโซฟบ่นด้วยทำท่าไม่สบายใจ
เป็นปกติของคนท้องถิ่นทางภาคใต้ที่จะไม่ยอมรับและไม่ไว้ใจคนแปลกหน้า ฉะนั้นเรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่พวกเขาวิตกกังวลอยู่มากและอยากจะรู้ว่ากลุ่มคนที่ขึ้นมาจากเรือตอนดึกๆ คือคนพวกไหน
ปกป้องรับฟังเงียบๆ พยายามออกความเห็นให้น้อยที่สุดเพราะแม้สมาชิกสภากาแฟแห่งนี้จะเป็นคนคุ้นเคยกันทั้งนั้น แต่ก็ใช่ว่าจะไว้ใจได้เต็มร้อย
วันที่ฟ้าเปิด บทที่ 18
ในบ้านหลังนี้เนตริยาสามารถวางใจที่จะเอนกายหลับนอนได้อย่างไม่รู้สึกแปลกถิ่น รวมทั้งคนที่อยู่ในบ้านล้วนแต่เป็นคนที่หล่อนให้ความไว้วางใจได้ทั้งสิ้นโดยเฉพาะปกป้อง ความเคยชินอีกอย่างหนึ่งของหล่อนคือการได้ตื่นขึ้นมาและรับประทานอาหารเช้าพร้อมกับชายหนุ่ม ที่จะนั่งรออย่างอดทน ไม่ว่าหล่อนจะตื่นเช้าหรือตื่นสาย
แต่เช้าวันนี้เนตริยารู้ตัวดีว่าปกป้องจะไม่อยู่ และหล่อนต้องรับประทานอาหารเช้าอย่างเงียบเหงาอยู่คนเดียว
ไม่มีคนที่คอยถามว่าอาหารมื้อนี้เป็นอย่างไร ทานได้ไหม หญิงสาวเผลอถอนหายใจโดยไม่รู้ตัวเมื่อคิดถึงเรื่องราวเหล่านั้น
ปกป้องบอกหล่อนตั้งแต่เมื่อคืนแล้วว่าให้ทานอาหารเช้าโดยไม่มีเขา ในเวลานั้นเนตริยารู้สึกคล้ายใจหายแต่หล่อนยังคงสีหน้าท่าทางปกติไม่แสดงความรู้สึกนั้นออกมาให้อีกฝ่ายรู้
เนตริยาสังเกตว่ารถยังคงจอดอยู่ แสดงว่าปกป้องใช้มอเตอร์ไซค์ออกไป เขาคงไปไม่ไกลมากนัก เธอคิดว่าคงมีแต่ตลาดที่อยู่ไม่ไกลมากนักที่พอจะ
ขี่มอเตอร์ไซค์ไปได้ หรือปกป้องนัดใครไว้ที่นั่น พอคิดถึงตรงนี้หล่อนรู้สึกวาบในใจแล้วรีบปฏิเสธใจตัวเอง หล่อนไม่ควรใส่ใจว่าเขาจะนัดใคร และใครคนนั้นจะเป็นหญิงหรือชาย
เนตริยานั่งรับประทานอาหารที่นาดีร์เตรียมไว้ให้ด้วยอาการเหม่อลอย ยิ่งเธอเห็นว่านาดีร์และแสวงยังคงทำงานอยู่ในบ้าน นั่นหมายความว่าปกป้องออกไปข้างนอกเพียงคนเดียว คนที่ปกป้องไปพบต้องเป็นเรื่องส่วนตัวมากๆ เขาจึงไม่อยากให้ใครรู้ เขาถึงได้ไปคนเดียว
หล่อนอยากรู้นักว่าก่อนที่เขาจะลักพาเธอมาที่นี่ เขาออกไปเช่นนี้ทุกเช้าหรือไม่ รึว่าจะลองเลียบเคียงถามแสวงหรือนาดีร์ดู แต่ไม่ดีกว่า เผื่อลูกน้องเขาไปบอกนายว่าหล่อนมาถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาจะได้ใจว่าหล่อนใส่ใจใยดีในตัวเขา ซึ่งเป็นการไม่สมควรที่หล่อนจะแคร์คนที่ลักพาตัวหล่อนมา
ปกป้องขี่มอเตอร์ไซค์มาจอดที่ด้านหน้าร้านกาแฟสดข้างๆ ร้านแปะกวง เวลาเช้าเช่นนี้ เป็นเวลาที่ชาวบ้านมาจับจ่ายสินค้ากันขวักไขว่ เขามองภาพ
คุ้นตาที่เขาห่างหายไปเป็นอาทิตย์ ตั้งแต่เนตริยามาอยู่ด้วย
ที่ร้านกาแฟ หรือสภากาแฟก็เช่นกัน มีสมาชิกที่เป็นขาประจำที่ส่วนใหญ่เป็นชายสูงวัยมานั่งอยู่พร้อมหน้า ต่างทักทายกันเซ็งแซ่เมื่อปกป้องเดิน
เข้าร้านมา
“หายหน้าไปนานเลยนะ หมอ” ชายที่นั่งอยู่ก่อนแล้วเอ่ยทักทายทันที ที่เห็นเพื่อนสมาชิกที่หายหน้าหายตาไปนาน
“สวัสดีครับ” ปกป้องยกมือไหว้ผู้อาวุโสทุกคน แล้วหันไปตอบคนถาม “ช่วงหลังนี้ผมงานยุ่งจริงๆ ” พูดจบก็มีชายอีก 3 คนเข้ามาสมทบ
“อ้าว สวัสดีคุณหมอ ไม่เห็นหน้าหลายวัน” หนึ่งในผู้มาใหม่ทักทาย ปกป้องยิ้มรับและยกมือไหว้
ที่แห่งนี้เป็นศูนย์รวมผู้คนจากหลายหมู่บ้านด้วยกัน ดังนั้นหลายคนที่มาที่นี่จะคุ้นเคยและให้ความไว้วางใจกับปกป้องมากเป็นพิเศษ เพราะทุกคนต่าง
รู้ดีว่าชายหนุ่มเป็นบุคคลที่เป็นที่พึ่งของพวกเขายามเจ็บป่วย ปกติแล้วปกป้องจะใช้เวลาเช้าของวันที่ไม่ได้เข้าไปปฏิบัติงานหมู่บ้านมาพบเจอมวลสมาชิกที่นี่
เป็นหน้าที่ของเขาที่ต้องสร้างความคุ้นเคยกับคนในพื้นที่ ปกป้องต้องการที่จะเข้าถึงแหล่งข่าวหรือความเคลื่อนไหวใดๆ ที่เกิดขึ้นในละแวกนี้ และบ่อยครั้งที่ชายหนุ่มได้เบาะแสเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของขบวนการแบ่งแยกดินแดน และกลุ่มผิดกฎหมายจากการพูดคุยกับสมาชิกสภากาแฟแห่งนี้
“ว่าแต่งานยุ่งๆ ที่คุณหมอว่านั่นคืออะไรหรือ ออกหน่วยเยอะขึ้นหรือว่ามีคนป่วยเร่งด่วนเหมือนฮานีฟ” ชายมาใหม่ชื่อฟาตินถาม เขามาจากหมู่บ้าน
ดงใสทำให้เขารู้ว่าปกป้องเพิ่งจะไปรักษาคนในหมู่บ้านของเขามา “ผมว่างานคุณหมอน่าจะเบาลงนะครับ ผมเห็นหมอมีผู้ช่วยสาวสวยมาช่วยงาน”
พอฟาตินพูดจบ ทุกคนบนโต๊ะเริ่มฮือฮาและหันมาให้ความสนใจกับข่าวผู้ช่วยคนใหม่ของปกป้อง เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าหลังจากที่นายแพทย์ปริญญ์จากไป หมอหนุ่มคนนี้ก็ทำงานเพียงลำพังมาตลอด มีแต่แสวงที่มีหน้าที่ขับรถและคอยหยิบจับช่วยงานเล็กๆ น้อยๆ
“ผู้ช่วยใหม่หรือครับหมอ แถมสาวด้วยสวยด้วย สงสัยไม่ใช่ผู้ช่วยแค่เรื่องงานอย่างเดียวแล้วมั้งครับ ใช่ไหมฟาติน” ใครคนหนึ่งพูดแซวพร้อมหันไปยิ้มกับฟาตินเจ้าของต้นเรื่อง
“แหม... ไม่ใช่หรอกครับ เธอเป็นนักศึกษามาจากกรุงเทพฯ มาเก็บข้อมูลทำวิจัยเกี่ยวกับบริการด้านสาธารณสุขในพื้นที่ห่างไกล” ปกป้องสร้างเรื่องได้อย่างน่าเชื่อถือ พูดไปแล้วใบหน้าอ่อนใสของคนที่ต้องนั่งทานอาหารเช้าคนเดียววันนี้ ก็พอจะอนุโลมว่ายังเป็นนักศึกษาอยู่
“โธ่..เป็นนักศึกษามาทำวิจัยหรอกหรือ นึกว่าคุณหมอจะมีข่าวดีเร็วๆ นี้ น่าเสียดายจริงๆ” เฒ่าอ่ำผู้อาวุโสที่สุดในโต๊ะพูดแซวอีกครั้ง ทำให้ปกป้อง
ถึงกับขัดเขินพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เรียกเสียงหัวเราะจากวงสนทนา
“อย่าหาว่าผมอย่างโน้นอย่างนี้เลยนะคุณหมอ ตอนที่อยู่ในหมู่บ้าน ผมเห็นคุณหมอกับผู้ช่วยแว้บๆ ดูท่าทางเหมาะสมกันดีออก สวยขนาดนั้นไม่คิดจะจีบซะเลยล่ะ”
“สวยมากไหม ชักอยากจะเห็นแล้วซิ” เสียงถามระเบ็งเซ็งแซ่ขึ้น
ปกป้องรีบโบกมือห้าม
“อย่าแซวผมเลย เมื่อไหร่ผมมีแฟนกับเขาจริงๆ ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ผมจะพามาแนะนำกับทุกคน”
“เอาเถอะ เลิกแซวหมอได้แล้ว หน้าแดงถึงหูแล้ว” เฒ่าอ่ำช่วยปรามทุกคน
สักพักกาน้ำชาพร้อมแก้วถูกนำมาวางบนโต๊ะโดยเจ้าของร้าน แล้วตามมาด้วยกาแฟที่ถูกเสิร์ฟไปยังผู้ที่เพิ่งมาใหม่ เช้านี้ปกป้องเลือกรับประทานปาท่องโก๋กับขนมพื้นบ้านที่ห่อมาในใบตองซึ่งวางอยู่ในถาดสังกะสีกลางโต๊ะให้ทุกคนเลือกหยิบรับประทานตามใจชอบ คู่กับกาแฟสดที่คั่วบดใหม่ๆ
ส่งกลิ่นหอมไปทั้งร้าน แต่สำหรับคนที่เคยชินกับอาหารเช้าชนิดที่หนักท้องหน่อย ก็มีขนมจีนกับแกงใต้ให้เลือกรับประทาน 2 ชนิดด้วยกัน
“หลายวันมานี่เริ่มมีคนพูดถึงคนแปลกหน้าที่มากับเรือมาขึ้นฝั่งแถวบ้านเรา มันเป็นยังไงกันแน่ยูโซฟ” ผู้อาวุโสที่สุดในโต๊ะหันไปถามยูโซฟผู้ที่อยู่หมู่บ้านนาพญาซึ่งอยู่ติดชายฝั่งทะเล
ยูโซฟได้ยินดังนั้น เขารีบหันไปมองรอบตัวอย่างระแวดระวัง ก่อนจะตอบเสียงเบาว่า
“จริงครับ คนที่ออกเรือหาปลาสังเกตเห็นหลายคืนแล้ว พวกนั้นจะเทียบเรือเข้าฝั่งตอนดึกมากประมาณหลังเที่ยงคืนไปแล้ว คนบนเรือประมงแอบเห็นคนหลายสิบคนลงมาจากเรือ จากนั้นจะมีรถกระบะหกล้อ 2 คันมารับทันทีที่กลุ่มคนพวกนั้นลงมาจากเรือ นั่งเบียดเสียดยัดเยียดกัน....”
ทุกคนในที่นั้นนั่งฟังอย่างจดจ่อกับสิ่งที่ได้ยิน
“คนเห็นเหตุการณ์บอกว่าช่วงดึกๆ ที่เรือลึกลับนี้เข้ามาจอดที่ชายฝั่ง เรือไม่มีธงบอกว่ามาจากประเทศไหน ส่วนชื่อเรือก็มองไม่ออกว่าเป็นภาษาอะไร มันมืดด้วย ใช้เวลานำคนลงจากเรือไม่นานเรือก็แล่นหายออกไป” ยูโซฟหยุดพูด เขาหันซ้ายแลขวาอย่างหวาดระแวงก่อนจะพูดต่อ “ผมคิดว่าคนพวกนี้ ไม่ใช่คนไทย”
ทุกคนบนโต๊ะต่างส่งเสียงพึมพำวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานา คงมีแต่ปกป้องที่นั่งเงียบไม่ออกความเห็น ทำทีไม่สนใจเรื่องราวที่เล่าขานกันอยู่นี้
แต่หูเขาเปิดรับข้อมูลและพยายามจดจำรายละเอียดทุกคำจากยูโซฟ
“ชาวเรือที่เห็น บอกว่าคนพวกนี้ หน้าตาไม่เหมือนคนไทยและการแต่งตัวไม่ใช่คนไทยแน่นอน” ยูโซฟตอบ
ปกป้องนั่งเงียบ ในสมองเขากำลังคิดถึงขบวนการค้ามนุษย์ชาวโรฮิงญาที่เขาเคยได้ยินมา
“แล้วถ้าคนกลุ่มนี้ไม่ใช่คนไทย จะเป็นพวกไหนกัน” เฒ่าอ่ำถาม
“เห็นบอกว่าตัวดำๆ หน้าตาคล้ายพวกแขก”
“พวกพม่าหรือเปล่า”
“เฮ้ย พวกพม่าก็ต้องไปขึ้นแถวระนองซิวะ จะมาทำไมไกลๆ ถึงสตูลบ้านเรา”
“หรือว่าจะเป็นชาวโรฮิงญาตามข่าวที่เขาพูดกัน” ใครคนหนึ่งในโต๊ะพูดขึ้น
หลายคนชะงัก มองหน้ากันไปมา
“โรฮิงญา ? พวกไหน ไม่เคยได้ยิน”
“โธ่เอ๊ย ไอ้พวกหลังเขา หัดฟังข่าวสารบ้านเมืองซะมั่งซิ”
“หมอล่ะ เคยรู้เรื่องโรฮิงญาบ้างหรือเปล่า”
ทุกคนหันมามองผู้ที่มีความรู้สูงสุดในที่นั้น
“พอจะได้ยินมาบ้างครับ ไม่ทราบว่าเกี่ยวข้องกับขบวนการค้ามนุษย์อะไรนั่นหรือเปล่า” ปกป้องตอบกลางๆ พยายามแสดงความรู้ให้น้อยที่สุด
“เท่าที่รู้มานะ พวกลักลอบค้ามนุษย์ทำเป็นขบวนการ มีการรับส่งกัน 3-4 ทอด รถที่มารับพวกนี้ไปจะวิ่งไปตามขอบชายแดนแล้วให้กลุ่มโรฮิงญา
เดินเท้าไปจนถึงชายแดนมาเลเซีย” ผู้อาวุโสพูด
“โห... เดินผ่านป่าไปถึงมาเลย์ จะไหวหรือ ถ้าตายกลางทางแล้วจะทำยังไงล่ะเนี่ย”
“ตายกลางทางก็ฝังเลยมั้ง คนพวกนี้หายไปไม่มีใครสืบหาหรอก”
“บ้า จะต้องให้เดินทำไมกัน ถ้าจะไปมาเลย์ ทำไมไม่เอาเรือไปขึ้นฝั่งมาเลย์ทอดเดียวก็จบ ไม่ต้องมาขึ้นที่นี่หรอก”
“เออจริงด้วย” หลายคนพยักพเยิดเห็นด้วย แต่ส่วนใหญ่แล้วไม่มีใครที่รู้จริงสักคน
“ผมเป็นห่วงหมู่บ้านที่ผมอยู่นี่สิ ถ้าพวกนี้เป็นพวกผิดกฎหมายจริงแล้วมาใช้เส้นทางผ่านบ้านเรา เกิดมีใครไปรู้ไปเห็นเข้า มิโดนมันฆ่าปิดปากหรือ
ไหนจะพวกค้าของเถื่อนอีก คนพวกนี้ต่างก็พกปืนทั้งนั้น” ยูโซฟพูด
“แต่มันอาจจะไม่ใช่ก็ได้ เรายังไม่รู้ว่าคนกลุ่มนั้นเป็นใคร คนพวกนี้อาจจะถูกใช้เป็นกองกำลังของพวกขบวนการแบ่งแยกดินแดนก็ได้ ถ้าเรารู้จุดหมายปลายทางว่าคนพวกนี้จะถูกส่งต่อไปที่ไหน เราอาจจะรู้ได้ว่าพวกเขามาทำอะไรกันที่นี่” ใครอีกคนพูดเสนอขึ้น
“ทำไมเราไม่แจ้งข่าวนี้ให้ตำรวจรู้” ปกป้องเสนอความคิดเห็นออกมาเป็นครั้งแรก ทุกคนในสภาต่างหันมามองปกป้องเป็นตาเดียวกัน ก่อนจะหันไปมองหน้ากันเองแล้วเสียงจากผู้อาวุโสก็พูดขึ้นว่า
“อย่างที่ยูโซฟบอกน่ะคุณหมอ คนพวกนี้มันมีปืน และเบื้องหลังมันเป็นใครบ้างเราก็ไม่รู้ อาจจะเป็นผู้มีอิทธิพล คนมีสี หรือผู้นำมวลชนในท้องถิ่นก็ได้ พวกเราไม่มีใครอยากเสี่ยงไปแจ้งตำรวจซึ่งอาจจะจุดใต้ตำตอก็ได้” เฒ่าอ่ำพูดเสร็จ สมาชิกสภากาแฟหลายคนพยักหน้าเห็นด้วยว่าไม่มีใครอยากเสี่ยง
“ผมไม่ไว้ใจคนพวกนี้เลย” ยูโซฟบ่นด้วยทำท่าไม่สบายใจ
เป็นปกติของคนท้องถิ่นทางภาคใต้ที่จะไม่ยอมรับและไม่ไว้ใจคนแปลกหน้า ฉะนั้นเรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่พวกเขาวิตกกังวลอยู่มากและอยากจะรู้ว่ากลุ่มคนที่ขึ้นมาจากเรือตอนดึกๆ คือคนพวกไหน
ปกป้องรับฟังเงียบๆ พยายามออกความเห็นให้น้อยที่สุดเพราะแม้สมาชิกสภากาแฟแห่งนี้จะเป็นคนคุ้นเคยกันทั้งนั้น แต่ก็ใช่ว่าจะไว้ใจได้เต็มร้อย