ใครชอบฟังมากกว่า ดูรีวิวจัดเต็มที่นี่

Black Panther : Wakanda Forever (B+)
.
.
นับตั้งแต่โลกได้สูญเสียนักแสดงอย่าง Chadwick Boseman ไป สิ่งที่เราจับตาตั้งแต่ตอนนั้นก็คือ แล้วทีมงานหนังจะแก้เกม แก้ไขปัญหายังไงต่อไป ในเมื่อนักแสดงบทกษัตริย์ทีชัลล่าหรือฝ่าบาทพระเอกของเรื่องได้จากพวกเราไปเสียแล้ว นัยนึงก็มีคนบอกว่า ก็แคสนักแสดงใหม่สิ (แบบบทโรดี้หรือฮัลค์อ่ะ) แต่ในความรู้สึกของบทบาทนี้ ทั้งฝั่งคนดูและทีมงานได้มองว่า มันละเอียดอ่อนกว่านั้น ละเอียดอ่อนจนถึงขั้นที่ฝั่งผู้สร้าง Marvel ได้ออกมาประกาศว่า จะไม่มีรีแคส และหนังจะยังคงเดินหน้าต่อไป (ก่อนที่ต้องรื้อบทและปรับเปลี่ยนใหม่ยกใหญ่) จากนั้น เราก็แทบไม่รู้ข่าวคราวของหนังอีกเลย 
.
.
จนกระทั่งเทรลเลอร์ตัวอย่างหนังออก
"เหยดดดดดด..มนุษย์ตัวฟ้าๆที่นึกว่าเป็นชานาวีนี่มาจากไหน?" 
"เนเมอร์ คือใคร??"
"เฮ้ย หนังมีมิวแทนด้วยรึ???" 
แค่ตัวอย่างก็ตัดต่อได้น่าตื่นเต้นมากๆ 
มีแต่ความเซอร์ไพรต์เกินคาดจนเรียกได้ว่า
แค่ตัวอย่างแรกออก เราก็น้ำตาคลอเบ้าไปแล้ว
โดยเฉพาะการได้เห็นฉากตระการตาตัดสลับกับฉากสะเทือนอารมณ์โดยมีเพลงบิ้วด้วยคำซ้ำๆว่า
Everything gonna be alright.
.
มันจะเป็นหนังปิดเฟส4ที่ไม่ธรรมดาแน่นอน
เราคิด
.

.
ถึงวันฉายรอบกาล่าพรีเมียร์
พรมดำบอกได้เป็นอย่างดีว่า นี่จะเป็นหนังที่ทริบิวต์และไว้อาลัยผู้วายชนม์แน่นอน และแน่นอนว่าใช่
นี่คือหนังที่เป็นรสชาติที่ไม่ค่อยได้เห็นเท่าไหร่นักจาก MCU
คือค่อนข้างจริงจัง มุกตลกน้อยกว่าที่เคย
ดูนิ่งขึ้น ขึงขังขึ้น มีรสชาติจริงจังแบบCaptain America ภาค Winter Soldier และ Civil War แต่มาในสไตล์วากานด้า
.
เรื่องอารยธรรมชนเผ่าหรือความเป็นแอฟริกาใต้
ไม่ได้รู้สึกว้าวแบบภาคแรกแล้ว 
และแน่นอน การปรากฏตัวของเนเมอร์
ก็เป็นวายร้ายที่มีเสน่ห์ ดูมีมินิ ไม่กลวง
เคลื่อนไหวเร็วไว โคตรเท่ 
ช่วงดีก็ดูดี๊ดี แต่ช่วงเวลาที่พี่แกร้าย
ก็โหดสัสเหลือเกิน 
ส่วนอาณาจักรใต้น้ำของเขา ก็ไม่เหมือนในอควาแมนแน่ๆ
ต้องไปดูเองว่าจะมีฉากที่ไม่มีในตัวอย่างเยอะแค่ไหน อิอิ
.
ภาคนี้ No woman, No cry ของจริง
เหล่าผู้หญิงในหนังไม่ว่าจะเป็น ซูริ โอโคเย ควีนมัม และนาเคียร์ ต่างต้องมารับภาระแบกหนังแทนทีชัลล่า ซึ่งบอกเลยว่าโจทย์นี้ไม่ง่าย นี่ขนาดบทและตัวหนังช่วยสุดแล้ว ความไม่มีทีชัลล่ายังส่งผลให้ตัวหนังเหมือนขาดอะไรไป แต่ว่าก็นั่นแหละ ไม่มีตัวละครนี้ แต่ต้องปรบมือให้ตรงที่คนทำยังทำให้แบลคแพนเตอร์ยังคงอยู่ได้ ซึ่งจุดนี้หนังเลือกปูทาง+ปูตัวละครและเส้นเรื่องใหม่ๆเพื่อจักรวาลMCUเฟสต่อไปนานจนกว่าจะมีฉากแบลคแพนเตอร์ออกมา หนังก็ดำเนินเรื่องไปกว่าครึ่งเรื่องแล้ว
.
.
หนังหนืดกว่า Doctor Strange ไม่ฮาแบบ Thor Love and Thunder แต่หนังกลับตรึงเราได้ ด้วยฉากต่างๆที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนเหมือนจิตใจตัวละคร และในความเปราะบางของการเปลี่ยนผ่านทางอำนาจ ก็มีบางฝ่าย บางคน รอที่จะช่วงชิงผลประโยชน์อยู่เสมอ เราเพลินตรงที่มันเดาทางยากเหมือนกันว่าหนังจะไปยังไงต่อ จะไปจบกันตรงไหน และจะมีเหตุการณ์อะไรที่ส่งผลใหญ่ๆต่อจักรวาลMCU 
.
.
ต้องบอกเลยว่าดูจบ รู้สึกเหนื่อย
ไม่ได้เหนื่อยเพราะหนังเกือบสามชม. 
แต่เพราะความหนักหน่วงของหนังและสิ่งที่ตัวละครต้องพบเจอ ใจนึงเราแอบรู้สึกเหมือนตอนดู Infinity War เลย
ที่บางช่วง ทั้งโรงเงียบงัน ค้างเติ่งกับสิ่งที่เกิดขึ้น
พร้อมกับอุทานหรือคิดในใจว่า แล้วไงต่อ?
.
.
แต่มาร์เวลเขาฉลาด
ต้องยอมรับว่าการเดินเกมจบเฟส4แบบนี้
ทำให้เรารู้สึกว่าจักรวาลมันกลับมาหนักแน่นขึ้นละ
ไม่อ๊องๆแอ๊งๆฮาๆ วนลูปด้วยมุกตลกหรือบ้าฉากบู๊จนเกินไป
นี่คือหนังที่ใครก็ตามที่ติดตามจักรวาลมาร์เวล
ห้ามพลาดในโรง 
.
.
.
เทียบกับภาคแรก อันนั้นน่าจะลงตัวแบบกำลังพอดี
และมีความว้าวจากความแปลกใหม่ในหลายๆอย่างเช่น วากานด้า เชื้อชาติ อารยธรรม ตัวละคร ดนตรี หรือบท 
แต่ภาคนี้ หนังทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมจักรวาลในเฟสต่อไปและคารวะให้แชดวิกด้วย จึงกล่าวได้อย่างเต็มคำว่าหนังมีความเป็นผู้ใหญ่กว่าเดิมเยอะ และทางนึง จักรวาลนี้อาจกำลังเชื้อเชิญคนดูอย่างพวกเราให้ร่วมเรียนรู้และก้าวผ่านความรู้สึกยากลำบากในความสูญเสียไปพร้อมๆกับตัวละคร รวมถึงทีมงาน นักแสดง ผู้สร้าง และสตูดิโอ
.
Wakada Forever!!!
ขอบคุณที่ทำให้เรารู้สึกว่า
Even life is not easy to move on,
but everything gonna be alright.

ขอให้สนุกกับการดูหนังนะครับ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านหรือรับฟังรีวิวครับ