สวัสดีค่ะ...วันนี้ขออนุญาตมาแชร์เรื่องราวที่คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับใครหลายๆ คนที่อาจจะเจอสถานการณ์แบบเดียวกัน
หรือแม้จะยังไม่เจอแต่ก็คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์ หากได้มีโอกาสมาอ่านกระทู้นี้นะคะ
เริ่มเลยแล้วกัน !
ดิฉันอายุ 35 ปี ไม่สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ก็นานๆๆๆที (3-4 เดือนครั้ง) ไม่ได้ดื่มบ่อยและดื่มเยอะ
ตรวจสุขภาพประจำปีทุกปี มีเรื่องของไขมันที่อาจจะเกินปกติไปบ้าง แต่โดยรวมก็ปกติค่ะ
ไม่ว่าจะเป็นการทำงานของไต การทำงานของตับออกมาปกติ
"ไม่มีภาวะตับอักเสบ ไม่เคยติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี ซี"
แต่มาวันหนึ่ง วันที่ถึงกำหนดตรวจสุขภาพประจำปี ต้องบอกทุกคนก่อนว่าก่อนหน้านี้ที่เคยตรวจ
ก็จะเป็นโปรแกรมตรวจธรรมดา แต่ปีนี้อายุ 35 แล้วก็เลยมีโปรแกรมอุลตร้าซาวด์ช่องท้องบน-ล่าง และแมมโมแกรมเพิ่ม
ซึ่งก็เจอแจ๊คพ็อตเลยจ้า...คุณหมอที่อ่านผลก็บอกผลเราว่า
"พบก้อนเนื้อขนาดเกือบ 6 ซม.ที่ตับฝั่งขวา"
ตอนนั้นฟังผลกับสามีก็มีความอึ้งไปนิดนึง เพราะไม่คิดว่า...
1. จะเจอก้อนเนื้อในตับ ซึ่งคิดมาตลอดว่าเราไม่มีความเสี่ยง ตับเราน่าจะแข็งแรง
2. ก้อนเนื้อขนาด 6 ซม. เลยนะ (มันใหญ่มากเลยนะเนี้ย)
พอคุณหมออ่านผลเสร็จ คุณหมอก็แจ้งว่าให้รีบไปตรวจเพิ่มให้เร็วที่สุด ด้วยการทำ CT Scan/MRI
หลังจากวันนั้น สามีก็ช่วยติดต่อทำนัดคุณหมอเฉพาะทางระบบทางเดินอาหารและตับให้
เมื่อถึงวันนัดที่เราสองคนรอคอย...เราก็เอาผลตรวจไปให้คุณหมอวินิจฉัย และมีการซักประวัติเพิ่มเติมดังนี้
- คนในครอบครัวมีใครเป็นมะเร็งตับ หรือเคยพบก้อนเนื้องอกในตับหรือไม่
- เคยใช้ยากลุ่มประเภทฮอโมนส์หรือเปล่า และนานเท่าไหร่
- เคยพบเจอเนื้องอกในรังไข่หรือไม่
- สูบบุหรี่ ดื่มสุราหรือไม่ และบ่อยแค่ไหน
- เคยตรวจว่าเป็นตับอักเสบหรือไม่
- เคยติดเชื้อไวรัสตับอักเสบหรือเปล่า
จากข้อคำถามที่คุณหมอถามมาทั้งหมด "ดิฉันไม่มีเลยซักข้อ" ยกเว้นดื่มแอลกอฮอล์อย่างที่แจ้งไปตอนต้นว่าน้อยครั้งมาก
หลังจากนั้นคุณหมอก็ให้ขึ้นไปนอนบนเตียง และคลำที่ท้องในจุดที่เป็นตับ เพื่อดูว่าดิฉันปวดมั้ย ซึ่งก็ไม่ปวด
วันนั้นก็เลยสอบถามคุณหมอว่าโอกาสที่ก้อนเนื้อนี้จะเป็นก้อนเนื้อร้ายมีมั้ย
คุณหมอก็บอกเพียงว่าคนที่เป็นมะเร็งตับไม่จำเป็นต้องมีอาการก็ได้ บางคนไม่แสดงอาการอะไรเลย
ดังนั้นจึงต้องไปทำ MRI เพิ่มเพื่อให้ได้ผลที่แน่ชัด ซึ่งก็ต้องรอคิว MRI ไปอีก 2 สัปดาห์
สภาพจิตใจ
ต้องบอกว่า ตั้งแต่วันที่รู้ว่าตัวเองมีก้อนเนื้อในตับ ยอมรับว่าเครียดและกังวลมาก
ไม่ใช่แค่ตัวดิฉันเอง แต่ยังรวมไปถึงสามี และคนในครอบครัว แต่เราทั้งคู่ก็พยายามทำใจดีสู้เสือ
ให้กำลังใจกันว่าไม่เป็นอะไรหรอก แล้วก็บอกกันว่าอย่าไปอ่านข้อมูลเยอะนะ เพราะเอาตรงๆ
เวลาเสิร์ชข้อมูลใน Google ข้อมูลก็ขึ้นมาหมดเลย ยิ่งอ่านยิ่งห่อเหี่ยวและหดหู่ ยิ่งทำให้คิดไปต่างๆนาๆ
เวลารู้สึกท้องอืด จุกเสียดแน่นท้องแต่ละทีก็จะรู้สึกว่าเอาแล้วไง อาการมารึป่าว เวลาสามีไปทำงาน
ระหว่างวันก็จะโทรถามตลอดวันนี้ท้องอืดมั้ย มีอาการอะไรมั้ย ชั่งน้ำหนักรึยังเป็นไงบ้าง ทานข้าวได้เยอะมั้ย
จนถึงวันที่เราทั้งคู่ต่างก็เครียดกันมากๆ เราถึงกับกอดคอกันร้องไห้ แต่สุดท้ายต้องบอกว่ากำลังใจเป็นสิ่งสำคัญจริงๆ
ถ้าไม่ได้กำลังใจโดยเฉพาะจากสามี ไม่ได้รับการดูแลที่ดีจากเค้า ดิฉันเชื่อว่าดิฉันคงเครียดจนเส้นเลือดในสมองแตกแน่เลย
วันทำ MRI
ถึงวันที่จะต้องเข้าอุโมงค์ละ...ก่อนอื่นขออนุญาตแชร์ก่อนนะคะว่า MRI คืออะไร
MRI หรือ Magnetic Resonance Imaging คือ เครื่องมือในการตรวจหาความผิดปกติของร่างกาย
โดยใช้สนามแม่เหล็กและคลื่นความถี่วิทยุ สร้างภาพที่มีความละเอียดสูง ช่วยให้แพทย์วินิจฉัยโรคได้ละเอียดยิ่งขึ้น
ก่อนที่จะทำ MRI คุณพยาบาลจะซักประวัติก่อนว่าเรามีสิ่งเหล่านี้หรือไม่
- ติดอุปกรณ์ในร่างกาย เช่น เครื่องกระตุ้นหัวใจหรือไม่
- มีการดามเหล็ก/ฝังโลหะในร่างกายหรือไม่
- มีการใส่ฟันปลอม หรือเครื่องช่วยฟังมั้ย
- อยู่ระหว่างการตั้งครรภ์หรือไม่
- มีการร้อยไหมด้วยหรือเปล่า -> คุณพยาบาลแจ้งว่าเคยมีเคสคนไข้ที่มีการร้อยไหม เมื่อเข้าเครื่อง MRI
ด้วยความที่เครื่องมีสนามแม่เหล็กทำให้เกิดปฏิกิริยากับไหมที่หน้า จึงส่งผลให้หน้าเบี้ยว อย่างไรก็ตามก็ขึ้นอยู่กับชนิดของไหมด้วย
ดังนั้นหากใครร้อยไหมมาก็ควรขอใบที่ระบุชนิดของไหมที่ร้อยมาด้วยนะคะ เผื่อวันหนึ่งต้องได้ทำ MRI จะได้แจ้งให้พยาบาลทราบ
- เป็นโรคกลัวที่แคบหรือไม่ เพราะเครื่อง MRI จะเป็นอุโมงค์แคบๆ และเราต้องนอนให้นิ่งที่สุด ดังนั้นหากใคร Panic
ก็อาจจะทำให้การตรวจมีความยากลำบาก
โอเค เรามาเข้าสู่กระบวนการทำ MRI กัน
- เปลี่ยนเสื้อผ้า ซึ่งต้องถอดทุกอย่างไม่ว่าจะเสื้อชั้นใน นาฬิกา แหวน ต่างหู ทุกอย่างที่เป็นโลหะ
- ถ้าใครแต่งหน้ามาก็ต้องล้างออกให้หมด เพราะในเครื่องสำอางบางอย่างมีโลหะเป็นส่วนประกอบ
- เจาะเลือด...ด้วยความที่ดิฉันพบเจอก้อนเนื้อในตับ ดังนั้นคุณหมอจึงจำเป็นต้องมีการฉีดสารเข้าร่างกายเพื่อดูเส้นเลือด
ซึ่งสารที่ฉีดเข้าไปจำเป็นต้องดูค่าไตก่อนว่าค่าไตเราปกติหรือไม่ ถ้าปกติจึงจะสามารถฉีดเข้าร่างกายได้ และคุณหมอก็ให้นำเลือด
ไปตรวจหาค่ามะเร็งเพิ่มเติม ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมต้องเจาะเลือดด้วยค่ะ
- ในระหว่างรอผลเลือด เจ้าหน้าที่ก็ให้ไปเข้าอุโมงค์รอ ซึ่งการตรวจเช็คที่ตับจำเป็นต้องมีการสื่อสารกับเจ้าหน้าที่ตลอดเวลา
ดังนั้นจึงไม่สามารถหลับได้ เพราะเจ้าหน้าที่จะคอยบอกให้เรา "หายใจเข้า - หายใจออก - กลั้นหายใจ - หายใจได้" ตลอดการตรวจ
- ในระหว่างที่อยู่ในอุโมงค์ไปได้ 20 นาที ผลเลือดก็ออกว่าสามารถฉีดสารเข้าไปในหลอดเลือดดำได้ พยาบาลจึงเข้ามาฉีด
ในระหว่างที่ยาเข้าสู่เส้นเลือดก็จะมีความรู้สึกเย็นนิดๆนึงค่ะ พยาบาลแจ้งว่าถ้าหากแพ้ก็จะมีอาการคันตามตัว ซึ่งก็โชคดีไป

- จากนั้นก็ทำ MRI ต่อไปอีกเกือบๆ 30 นาที เบ็ดเสร็จใช้เวลาในอุโมงค์ทั้งหมด
เกือบๆ 1 ชม.
- เสร็จแล้วกลับบ้านได้
จากการเข้าอุโมงค์ในครั้งนี้ โดยส่วนตัวไม่ได้เป็นคนกลัวที่แคบ แต่ว่าการที่ต้องสวมแมสไปด้วยและต้องทำตามที่เจ้าหน้าที่บอกไปด้วย
คือ "หายใจเข้า - หายใจออก - กลั้นหายใจ - หายใจได้" มันทำให้หายใจได้ไม่เต็มปอดเลยค่ะ มันแอบทรมานตรงนี้แหละ
มีบางช่วงกลั้นหายใจนานมากกกก พอเจ้าหน้าบอก "หายใจได้" รู้สึกต้องรีบสูดหายใจเฮือกเลย 555
**แนะนำ เวลาหายใจเข้า - หายใจออก ไม่ต้องสูดเข้าลึกๆๆแบบท้องป่องมากๆๆๆ ให้ค่อยๆทำ เพราะเดี๋ยวจะเหนื่อยนะคะ**
วันประกาศผล
หลังจากผ่านไปอีก 5 วัน หมอนัดมาฟังผล ทั้งดิฉันและสามีตื่นเต้นมาก เหมือนจะมาฟังผลสอบอะไรสักอย่างที่ต้องลุ้นว่าจะสอบผ่านหรือสอบตก
สอบผ่านคือชีวิตคุณได้ไปต่อแบบไร้ความกังวล สอบตกคือคุณต้องมาซ่อม (ซ่อมแซมร่างกาย) ที่ไม่รู้ว่าแม้จะสอบแก้แล้วจะยังผ่านรึป่าว
ก่อนเจอคุณหมอ คุณพยาบาลก็เรียกให้ไปวัดความดันก่อน โดยปกติเป็นคนความดันดีมาก แต่วันนั้นความดันสูง
จนพยาบาลถามว่าเป็นโรคความดันรึป่าว 555 ก็เพราะตื่นเต้นมาก ลุ้นทุกวินาทีเวลาที่พยาบาลเรียกชื่อคนไข้ทีก็จะใจเต้นตลอด
ในที่สุดชื่อดิฉันก็ถูกเรียก ... สองสามีภรรยาเดินจับมือกัน มือสามีเย็นเฉียบส่วนมือดิฉันก็เหงื่ออกสุดๆ
เข้าไปเจอคุณหมอ เห็นคุณหมออ่านฟิล์มในหน้าจอ ตอนนั้นเห็นละว่ามีก้อนดำๆชัดเจนปรากฎที่หน้าจอ
คุณหมอเงยหน้าขึ้นมา แล้วบอกว่า
"คุณเป็นปานแดงที่ตับ" ตอนนั้นสามีร้องอุทานว่าเยส และดิฉันก็ดีใจจนน้ำตาจะไหล
ปานแดงที่ตับคืออะไร?
อย่างที่บอกเราสองคนแม้ว่าจะคุยกันว่าในระหว่างรอผลอย่าแอบไปเสิร์ชข้อมูลอะไรเพิ่มนะ แต่ต่างคนก็อดไม่ได้
โดยเฉพาะสามีที่ตอนนี้น่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องตับไปแล้ว เค้าก็ไปสืบค้นข้อมูลจากทั้งในและต่างประเทศ
เค้าบอกว่า ปานแดงที่ตับหรือภาษาแพทย์
"Hemangioma" เป็นเนื้องอกชนิดดีที่พบได้บ่อยที่สุดในบรรดาก้อนหรือจุดในตับ
มักไม่มีอาการ และไม่จำเป็นต้องรักษา เนื้องอกชนิดนี้มักไม่ก่อปัญหา และแทบไม่มีโอกาสกลายเป็นมะเร็ง
ซึ่งในกรณีของดิฉันด้วยความที่เนื้องอกขนาดเกือบๆ 6 ซม. คุณหมอก็ถามว่ามีอาการปวดท้องมั้ย
ซึ่งก็มีปวดท้องจี๊ดๆบ้าง บางครั้งก็มีท้องอืด แต่ไม่ได้กระทบชีวิตประจำวันอะไรมาก คุณหมอจึงบอกว่าถ้าอย่างนั้นก็เก็บไว้
ไม่จำเป็นต้องไปทำอะไรกับมัน เพราะด้วยเนื้องอกชนิดนี้ไม่เป็นอันตราย สังเกตได้จากในฟิล์มที่ตรวจ MRI จะเห็นได้ว่า
ก้อนเนื้องอกนั้นเรียบไปกับตับเลย ไม่มีผิวขรุขระ คุณหมอจึงสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นมานานแล้ว แต่ไม่รู้ตัวเพราะไม่เคยตรวจมาก่อน
บทสรุป
ดิฉันสอบผ่าน...ผลสอบในครั้งนี้ทำให้ดิฉันและสามีตื่นตัวในการใช้ชีวิตมาก เราทั้งคู่คุยกันว่าเราเพิ่งรู้ว่าการมีชีวิตอยู่มันสำคัญแค่ไหน
เราเพิ่งเห็นคุณค่าของร่างกายที่เราใช้งานเค้าอยู่ทุกวันว่าเค้ามีคุณค่ากับเรามาก ดังนั้นเราจะต้องหันมารักตัวเองให้มากขึ้น
ดูแลร่างกายของตัวเองในวันที่ยังใช้การได้ดีอยู่ อย่ามาดูแลในตอนที่ร่างกายเค้าเริ่มไม่ไหวแล้ว เพราะมันอาจจะไม่ทัน
สุดท้ายนี้ หวังว่ากระทู้นี้จะเป็นประโยชน์กับทุกๆ คนนะคะ อย่างน้อยก็ขอให้ทุกคนที่บังเอิญผ่านมาอ่าน
ได้ตระหนักถึงสุขภาพของตัวเอง และเห็นความสำคัญของการตรวจเช็คร่างกายเป็นประจำทุกปี
เพราะถ้าเราพบความผิดปกติเร็ว เราก็จะสามารถเข้ารับการรักษาได้เร็วค่ะ
ขอให้สุขภาพแข็งแรง ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บกันทุกคนนะคะ
ในวันที่ฉันพบว่า "มีก้อนเนื้ออยู่ในตับ"
หรือแม้จะยังไม่เจอแต่ก็คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์ หากได้มีโอกาสมาอ่านกระทู้นี้นะคะ
เริ่มเลยแล้วกัน !
ดิฉันอายุ 35 ปี ไม่สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ก็นานๆๆๆที (3-4 เดือนครั้ง) ไม่ได้ดื่มบ่อยและดื่มเยอะ
ตรวจสุขภาพประจำปีทุกปี มีเรื่องของไขมันที่อาจจะเกินปกติไปบ้าง แต่โดยรวมก็ปกติค่ะ
ไม่ว่าจะเป็นการทำงานของไต การทำงานของตับออกมาปกติ
"ไม่มีภาวะตับอักเสบ ไม่เคยติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี ซี"
แต่มาวันหนึ่ง วันที่ถึงกำหนดตรวจสุขภาพประจำปี ต้องบอกทุกคนก่อนว่าก่อนหน้านี้ที่เคยตรวจ
ก็จะเป็นโปรแกรมตรวจธรรมดา แต่ปีนี้อายุ 35 แล้วก็เลยมีโปรแกรมอุลตร้าซาวด์ช่องท้องบน-ล่าง และแมมโมแกรมเพิ่ม
ซึ่งก็เจอแจ๊คพ็อตเลยจ้า...คุณหมอที่อ่านผลก็บอกผลเราว่า "พบก้อนเนื้อขนาดเกือบ 6 ซม.ที่ตับฝั่งขวา"
ตอนนั้นฟังผลกับสามีก็มีความอึ้งไปนิดนึง เพราะไม่คิดว่า...
1. จะเจอก้อนเนื้อในตับ ซึ่งคิดมาตลอดว่าเราไม่มีความเสี่ยง ตับเราน่าจะแข็งแรง
2. ก้อนเนื้อขนาด 6 ซม. เลยนะ (มันใหญ่มากเลยนะเนี้ย)
พอคุณหมออ่านผลเสร็จ คุณหมอก็แจ้งว่าให้รีบไปตรวจเพิ่มให้เร็วที่สุด ด้วยการทำ CT Scan/MRI
หลังจากวันนั้น สามีก็ช่วยติดต่อทำนัดคุณหมอเฉพาะทางระบบทางเดินอาหารและตับให้
เมื่อถึงวันนัดที่เราสองคนรอคอย...เราก็เอาผลตรวจไปให้คุณหมอวินิจฉัย และมีการซักประวัติเพิ่มเติมดังนี้
- คนในครอบครัวมีใครเป็นมะเร็งตับ หรือเคยพบก้อนเนื้องอกในตับหรือไม่
- เคยใช้ยากลุ่มประเภทฮอโมนส์หรือเปล่า และนานเท่าไหร่
- เคยพบเจอเนื้องอกในรังไข่หรือไม่
- สูบบุหรี่ ดื่มสุราหรือไม่ และบ่อยแค่ไหน
- เคยตรวจว่าเป็นตับอักเสบหรือไม่
- เคยติดเชื้อไวรัสตับอักเสบหรือเปล่า
จากข้อคำถามที่คุณหมอถามมาทั้งหมด "ดิฉันไม่มีเลยซักข้อ" ยกเว้นดื่มแอลกอฮอล์อย่างที่แจ้งไปตอนต้นว่าน้อยครั้งมาก
หลังจากนั้นคุณหมอก็ให้ขึ้นไปนอนบนเตียง และคลำที่ท้องในจุดที่เป็นตับ เพื่อดูว่าดิฉันปวดมั้ย ซึ่งก็ไม่ปวด
วันนั้นก็เลยสอบถามคุณหมอว่าโอกาสที่ก้อนเนื้อนี้จะเป็นก้อนเนื้อร้ายมีมั้ย
คุณหมอก็บอกเพียงว่าคนที่เป็นมะเร็งตับไม่จำเป็นต้องมีอาการก็ได้ บางคนไม่แสดงอาการอะไรเลย
ดังนั้นจึงต้องไปทำ MRI เพิ่มเพื่อให้ได้ผลที่แน่ชัด ซึ่งก็ต้องรอคิว MRI ไปอีก 2 สัปดาห์
สภาพจิตใจ
ต้องบอกว่า ตั้งแต่วันที่รู้ว่าตัวเองมีก้อนเนื้อในตับ ยอมรับว่าเครียดและกังวลมาก
ไม่ใช่แค่ตัวดิฉันเอง แต่ยังรวมไปถึงสามี และคนในครอบครัว แต่เราทั้งคู่ก็พยายามทำใจดีสู้เสือ
ให้กำลังใจกันว่าไม่เป็นอะไรหรอก แล้วก็บอกกันว่าอย่าไปอ่านข้อมูลเยอะนะ เพราะเอาตรงๆ
เวลาเสิร์ชข้อมูลใน Google ข้อมูลก็ขึ้นมาหมดเลย ยิ่งอ่านยิ่งห่อเหี่ยวและหดหู่ ยิ่งทำให้คิดไปต่างๆนาๆ
เวลารู้สึกท้องอืด จุกเสียดแน่นท้องแต่ละทีก็จะรู้สึกว่าเอาแล้วไง อาการมารึป่าว เวลาสามีไปทำงาน
ระหว่างวันก็จะโทรถามตลอดวันนี้ท้องอืดมั้ย มีอาการอะไรมั้ย ชั่งน้ำหนักรึยังเป็นไงบ้าง ทานข้าวได้เยอะมั้ย
จนถึงวันที่เราทั้งคู่ต่างก็เครียดกันมากๆ เราถึงกับกอดคอกันร้องไห้ แต่สุดท้ายต้องบอกว่ากำลังใจเป็นสิ่งสำคัญจริงๆ
ถ้าไม่ได้กำลังใจโดยเฉพาะจากสามี ไม่ได้รับการดูแลที่ดีจากเค้า ดิฉันเชื่อว่าดิฉันคงเครียดจนเส้นเลือดในสมองแตกแน่เลย
วันทำ MRI
ถึงวันที่จะต้องเข้าอุโมงค์ละ...ก่อนอื่นขออนุญาตแชร์ก่อนนะคะว่า MRI คืออะไร
MRI หรือ Magnetic Resonance Imaging คือ เครื่องมือในการตรวจหาความผิดปกติของร่างกาย
โดยใช้สนามแม่เหล็กและคลื่นความถี่วิทยุ สร้างภาพที่มีความละเอียดสูง ช่วยให้แพทย์วินิจฉัยโรคได้ละเอียดยิ่งขึ้น
ก่อนที่จะทำ MRI คุณพยาบาลจะซักประวัติก่อนว่าเรามีสิ่งเหล่านี้หรือไม่
- ติดอุปกรณ์ในร่างกาย เช่น เครื่องกระตุ้นหัวใจหรือไม่
- มีการดามเหล็ก/ฝังโลหะในร่างกายหรือไม่
- มีการใส่ฟันปลอม หรือเครื่องช่วยฟังมั้ย
- อยู่ระหว่างการตั้งครรภ์หรือไม่
- มีการร้อยไหมด้วยหรือเปล่า -> คุณพยาบาลแจ้งว่าเคยมีเคสคนไข้ที่มีการร้อยไหม เมื่อเข้าเครื่อง MRI
ด้วยความที่เครื่องมีสนามแม่เหล็กทำให้เกิดปฏิกิริยากับไหมที่หน้า จึงส่งผลให้หน้าเบี้ยว อย่างไรก็ตามก็ขึ้นอยู่กับชนิดของไหมด้วย
ดังนั้นหากใครร้อยไหมมาก็ควรขอใบที่ระบุชนิดของไหมที่ร้อยมาด้วยนะคะ เผื่อวันหนึ่งต้องได้ทำ MRI จะได้แจ้งให้พยาบาลทราบ
- เป็นโรคกลัวที่แคบหรือไม่ เพราะเครื่อง MRI จะเป็นอุโมงค์แคบๆ และเราต้องนอนให้นิ่งที่สุด ดังนั้นหากใคร Panic
ก็อาจจะทำให้การตรวจมีความยากลำบาก
โอเค เรามาเข้าสู่กระบวนการทำ MRI กัน
- เปลี่ยนเสื้อผ้า ซึ่งต้องถอดทุกอย่างไม่ว่าจะเสื้อชั้นใน นาฬิกา แหวน ต่างหู ทุกอย่างที่เป็นโลหะ
- ถ้าใครแต่งหน้ามาก็ต้องล้างออกให้หมด เพราะในเครื่องสำอางบางอย่างมีโลหะเป็นส่วนประกอบ
- เจาะเลือด...ด้วยความที่ดิฉันพบเจอก้อนเนื้อในตับ ดังนั้นคุณหมอจึงจำเป็นต้องมีการฉีดสารเข้าร่างกายเพื่อดูเส้นเลือด
ซึ่งสารที่ฉีดเข้าไปจำเป็นต้องดูค่าไตก่อนว่าค่าไตเราปกติหรือไม่ ถ้าปกติจึงจะสามารถฉีดเข้าร่างกายได้ และคุณหมอก็ให้นำเลือด
ไปตรวจหาค่ามะเร็งเพิ่มเติม ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมต้องเจาะเลือดด้วยค่ะ
- ในระหว่างรอผลเลือด เจ้าหน้าที่ก็ให้ไปเข้าอุโมงค์รอ ซึ่งการตรวจเช็คที่ตับจำเป็นต้องมีการสื่อสารกับเจ้าหน้าที่ตลอดเวลา
ดังนั้นจึงไม่สามารถหลับได้ เพราะเจ้าหน้าที่จะคอยบอกให้เรา "หายใจเข้า - หายใจออก - กลั้นหายใจ - หายใจได้" ตลอดการตรวจ
- ในระหว่างที่อยู่ในอุโมงค์ไปได้ 20 นาที ผลเลือดก็ออกว่าสามารถฉีดสารเข้าไปในหลอดเลือดดำได้ พยาบาลจึงเข้ามาฉีด
ในระหว่างที่ยาเข้าสู่เส้นเลือดก็จะมีความรู้สึกเย็นนิดๆนึงค่ะ พยาบาลแจ้งว่าถ้าหากแพ้ก็จะมีอาการคันตามตัว ซึ่งก็โชคดีไป
- จากนั้นก็ทำ MRI ต่อไปอีกเกือบๆ 30 นาที เบ็ดเสร็จใช้เวลาในอุโมงค์ทั้งหมดเกือบๆ 1 ชม.
- เสร็จแล้วกลับบ้านได้
จากการเข้าอุโมงค์ในครั้งนี้ โดยส่วนตัวไม่ได้เป็นคนกลัวที่แคบ แต่ว่าการที่ต้องสวมแมสไปด้วยและต้องทำตามที่เจ้าหน้าที่บอกไปด้วย
คือ "หายใจเข้า - หายใจออก - กลั้นหายใจ - หายใจได้" มันทำให้หายใจได้ไม่เต็มปอดเลยค่ะ มันแอบทรมานตรงนี้แหละ
มีบางช่วงกลั้นหายใจนานมากกกก พอเจ้าหน้าบอก "หายใจได้" รู้สึกต้องรีบสูดหายใจเฮือกเลย 555
**แนะนำ เวลาหายใจเข้า - หายใจออก ไม่ต้องสูดเข้าลึกๆๆแบบท้องป่องมากๆๆๆ ให้ค่อยๆทำ เพราะเดี๋ยวจะเหนื่อยนะคะ**
วันประกาศผล
หลังจากผ่านไปอีก 5 วัน หมอนัดมาฟังผล ทั้งดิฉันและสามีตื่นเต้นมาก เหมือนจะมาฟังผลสอบอะไรสักอย่างที่ต้องลุ้นว่าจะสอบผ่านหรือสอบตก
สอบผ่านคือชีวิตคุณได้ไปต่อแบบไร้ความกังวล สอบตกคือคุณต้องมาซ่อม (ซ่อมแซมร่างกาย) ที่ไม่รู้ว่าแม้จะสอบแก้แล้วจะยังผ่านรึป่าว
ก่อนเจอคุณหมอ คุณพยาบาลก็เรียกให้ไปวัดความดันก่อน โดยปกติเป็นคนความดันดีมาก แต่วันนั้นความดันสูง
จนพยาบาลถามว่าเป็นโรคความดันรึป่าว 555 ก็เพราะตื่นเต้นมาก ลุ้นทุกวินาทีเวลาที่พยาบาลเรียกชื่อคนไข้ทีก็จะใจเต้นตลอด
ในที่สุดชื่อดิฉันก็ถูกเรียก ... สองสามีภรรยาเดินจับมือกัน มือสามีเย็นเฉียบส่วนมือดิฉันก็เหงื่ออกสุดๆ
เข้าไปเจอคุณหมอ เห็นคุณหมออ่านฟิล์มในหน้าจอ ตอนนั้นเห็นละว่ามีก้อนดำๆชัดเจนปรากฎที่หน้าจอ
คุณหมอเงยหน้าขึ้นมา แล้วบอกว่า "คุณเป็นปานแดงที่ตับ" ตอนนั้นสามีร้องอุทานว่าเยส และดิฉันก็ดีใจจนน้ำตาจะไหล
ปานแดงที่ตับคืออะไร?
อย่างที่บอกเราสองคนแม้ว่าจะคุยกันว่าในระหว่างรอผลอย่าแอบไปเสิร์ชข้อมูลอะไรเพิ่มนะ แต่ต่างคนก็อดไม่ได้
โดยเฉพาะสามีที่ตอนนี้น่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องตับไปแล้ว เค้าก็ไปสืบค้นข้อมูลจากทั้งในและต่างประเทศ
เค้าบอกว่า ปานแดงที่ตับหรือภาษาแพทย์ "Hemangioma" เป็นเนื้องอกชนิดดีที่พบได้บ่อยที่สุดในบรรดาก้อนหรือจุดในตับ
มักไม่มีอาการ และไม่จำเป็นต้องรักษา เนื้องอกชนิดนี้มักไม่ก่อปัญหา และแทบไม่มีโอกาสกลายเป็นมะเร็ง
ซึ่งในกรณีของดิฉันด้วยความที่เนื้องอกขนาดเกือบๆ 6 ซม. คุณหมอก็ถามว่ามีอาการปวดท้องมั้ย
ซึ่งก็มีปวดท้องจี๊ดๆบ้าง บางครั้งก็มีท้องอืด แต่ไม่ได้กระทบชีวิตประจำวันอะไรมาก คุณหมอจึงบอกว่าถ้าอย่างนั้นก็เก็บไว้
ไม่จำเป็นต้องไปทำอะไรกับมัน เพราะด้วยเนื้องอกชนิดนี้ไม่เป็นอันตราย สังเกตได้จากในฟิล์มที่ตรวจ MRI จะเห็นได้ว่า
ก้อนเนื้องอกนั้นเรียบไปกับตับเลย ไม่มีผิวขรุขระ คุณหมอจึงสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นมานานแล้ว แต่ไม่รู้ตัวเพราะไม่เคยตรวจมาก่อน
บทสรุป
ดิฉันสอบผ่าน...ผลสอบในครั้งนี้ทำให้ดิฉันและสามีตื่นตัวในการใช้ชีวิตมาก เราทั้งคู่คุยกันว่าเราเพิ่งรู้ว่าการมีชีวิตอยู่มันสำคัญแค่ไหน
เราเพิ่งเห็นคุณค่าของร่างกายที่เราใช้งานเค้าอยู่ทุกวันว่าเค้ามีคุณค่ากับเรามาก ดังนั้นเราจะต้องหันมารักตัวเองให้มากขึ้น
ดูแลร่างกายของตัวเองในวันที่ยังใช้การได้ดีอยู่ อย่ามาดูแลในตอนที่ร่างกายเค้าเริ่มไม่ไหวแล้ว เพราะมันอาจจะไม่ทัน
สุดท้ายนี้ หวังว่ากระทู้นี้จะเป็นประโยชน์กับทุกๆ คนนะคะ อย่างน้อยก็ขอให้ทุกคนที่บังเอิญผ่านมาอ่าน
ได้ตระหนักถึงสุขภาพของตัวเอง และเห็นความสำคัญของการตรวจเช็คร่างกายเป็นประจำทุกปี
เพราะถ้าเราพบความผิดปกติเร็ว เราก็จะสามารถเข้ารับการรักษาได้เร็วค่ะ
ขอให้สุขภาพแข็งแรง ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บกันทุกคนนะคะ