มายืนยันว่าลูกคนเย็บผ้าจนๆ ไม่ต้องนามสกุลดัง ไม่ต้องเลียแข้งเลียขา จากพลทหารก็เป็นนายร้อยได้ครับ

สวัสดีครับ ปัจจุบัน ผมอายุ 33 ปี มีอาชีพรับราชการทหาร ชั้นยศร้อยตรี จะมาเล่าถึงเส้นทางที่ว่า ไม่ต้องเข้านักเรียนเตรียมทหาร (เพราะผมเป็นคนที่ไม่รู้ว่านักเรียนเตรียมทหารคืออะไร ? ณ ตอนนั้น ) ไม่ต้องมีนามสกุลดัง (เพราะโคตะระเหง้าผม ไม่มีใครเป็นข้าราชการใหญ่โต (ชาวนากับรับจ้างทั่วไป)) ไม่ต้องเป็นสายเลียประจบประแจง (เพราะผมไม่ใช่สไตล์นี้ยุแล้วครับ ทำหน้าที่ของตัวเองที่ได้รับมอบหมายให้ดีที่สุด) ฐานะทางบ้านคือต่ำกว่าปานกลางด้วยนะครับ
     - ผมเป็นลูกคนเดียวครับ พ่อผมเสียตอนอายุ 8 ขวบ จากเด็กกรุงเทพลูกช่างเบาะ เลยต้องย้ายมาเป็นเด็กเหนือ(เชียงราย) บ้านแม่ผมครับ แม่ผมจบ ป.4 ครับ งานหลักคือเย็บ เย็บ แล้วก็เย็บครับ รับจ้างเย็บผ้าทั่วไป+ทำนา มียายกะตาที่อายุ 70 กว่าแล้วอยู่ด้วย ผ่านไป3-4ปี ยายกับตาผมก็เสียชีวิต เราก็อยู่กันแค่ 2 คนแม่ลูกครับ เย็บผ้ายันผม จบ ม.6 ส่งเสียผมคนเดียว มาพร้อมกับหนี้ ธกส.อีกหลายหมื่น จากนั้นก็ เป็นหนี้ กยศ.กับการเรียนมหาลัยราชภัฏฯ ในระยะเวลา 3 ปีครึ่ง เอกมนุดอิ้ง จบมาก็เป็นพลทหาร ด้วยการสมัคร ร้องขอ 1 ปีครับ เค้าให้ผมเป็น 6 เดือน แต่ผมระบุในใบร้องขอว่าขอเป็น 1 ปี  เป็นทหารใหม่ 2 อาทิตแรก แม่มาเยี่ยม น้ำตาไหลเลยครับ จากพลเรือนมาเป็นทหารนี่หนักเอาเรื่องจริงๆครับ แต่ผมเป็นประเภทที่ชอบเอาแรงเข้าบวกยุแล้วครับ เลยลุยไปได้ 6 เดือนหลังฝึกใหม่จบผมก็ได้ไปสนามครับ (ชายแดน) ไปอยู่บนดอยเรียกว่ากินข้าวเฝ้าดอยก็ได้ครับ 555 ห้วงระยะนี้ผมมีโอกาสได้สอบนักเรียนนายสิบ แล้วผลก็คือผมสอบติด หลังจากปลดประจำการทหารเกณฑ์ 1 วัน ก็ต้องเดินทางไปรายงานตัวที่ รร.นายสิบ จว.ประจวบฯ 1 เดือนแรกท้อมากครับ ต้องกลับมาอยู่สภาพฝึกใหม่อีก 10 สัปดาห์ ทั้งๆที่เพิ่งปลดมาหมาดๆ ต้องตื่น ตี 5 ทุกวันในระยะเวลา 1 ปี วนกับการเข้าเวรและการฝึกไป ทำให้สามารถซึมซับสภาพของการเป็นทหารให้เข้าไปอยู่ในปอด 555 พอครบ 1 ปี ก็ได้ประดับยศ สิบตรีหมาแมว 1 บั้ง (มาบรรจุรุ่นพี่ๆเค้าชอบเรียกว่าสิบตรีหมาแมวครับ) รับราชการหน่วยทหารใน จว.เชียงใหม่ ในวัย 24 ปี ได้มีโอกาสไปศึกษาหลักสูตรต่างๆของ ทบ.เช่น การกระโดดร่มและจู่โจม มีโอกาสไปปฏิบัติงาน 3 จว.ชายแดนใต้ อยู่ 3 ปี มีโอกาสทำงานด้านการข่าว (สายลับของกองทัพบกไทย) อยู่ 2 ปี โดยสลับกับการทำงานในหน่วยงานและสนามควบคู่กันไป ในระหว่างนั้น มีโอกาสได้สอบสนามแรกของ การเป็นนายร้อยสิงคโปร์ ในวัย 27 ปี แต่ก็ยังไม่ถึงเวลาของผมที่จะติดดาวครับ ได้เป็นแค่ตัวอะไหล่อันดับ1 เพราะมีแค่ทุนเดียว และเป็นปีสุดท้ายที่จะสอบได้เพราะเค้าเอาอายุไม่เกิน 27 ปี หลังจากนั้นมาก็ทำงานไปเรื่อยๆ ลงสนามสอบภายในของ ทบ.ก็ผ่านรอบแรกยุเรื่อยๆ แต่ก็มักจะผิดหวังไม่ถึงเส้นชัยและในปี 64 ก็ได้เป็นตัวอะไหล่อันดับ 1 อีกตามเคยยังไม่ใช่เวลาของผมจริงๆ ครับ จนในวัย 33 ปี ในการสอบแข่งขันกับพลเรือนไม่ได้หวังมากเพราะแข่งกับพลเรือน หัวเด็กบ้านๆ อย่างเรากับเด็กที่จบใหม่ ผมคงจะเป็นตัวประกอบอีกตามเคย อีกอย่างเค้าเล่าลือกันว่าตำแหน่งที่เปิดพลเรือนนี้มักจะเปิดให้ลูกท่านหลานเธอ  แต่ผมก็เตรียมตัวมาดีนะครับ ผ่านรอบแรก เหลือ 3 คนสุดท้ายกับ 1 ตำแหน่ง คู่แข่งผมเป็นพลเรือนทั้ง 2 คน จบ ม.ดังซะด้วย ในการสอบรอบ 2 ก็หวังทำให้เต็มที่ ผลเป็นยังไงก็รอลุ้นอย่างห่างๆ แต่ผลวันประกาศรอบสุดท้าย ตื่นเต้นมากใจเต้นรัวๆ แล้วหมายเลขสอบของผมก็ขึ้นตัวจริงอันดับ 1 จังหวะนั้นคือดีใจมากๆ ชีวิตนี้มาถึงขนาดนี้ก็ภูมิใจมากแล้วครับ ชั้นยศก่อนวัยเกษียณอาจถึง พันเอกพิเศษ คิดดูนะครับ เด็กจนๆ ลูกคนเย็บผ้า ไม่มีโคตะระเหง้า เป็นข้าราชการใดๆ มาจนถึงจุดนี้ก็ภูมิใจในตัวเองและแน่นอนว่า ภูมิใจในตัวแม่ของผมด้วยซึ่งเย็บผ้ามาทั้งชีวิตส่งลูกจนเป็นนายร้อย อย่าไปเปรียบกับนายร้อยหลักนะครับ เพราะกว่าผมจะรู้ว่านักเรียนเตรียมคืออะไรผมก็เข้ามหาลัยแล้ว โอกาสกับสภาพแวดล้อมชีวิตเราไม่เหมือนกันครับ ต้องสร้างกันเอาเองนะครับทุกคน ขอเป็นกำใจให้ชาวติดดินครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่