วันที่ฟ้าเปิด บทที่ 15

กระทู้คำถาม
วันที่ฟ้าเปิด 
ดรัสวันต์  และ  Q  


15

       เวลาผ่านไป คนป่วยยังคงนอนอยู่บนแคร่อย่างอ่อนเพลีย ผิวตามตัวซีดเหลืองอีกทั้งตาขาวก็เป็นสีเหลือง ปกป้องคิดว่าอาการเช่นนี้น่าจะเป็นเพราะตับอักเสบ 

      เลือดแพะที่นำมาเซ่นไหว้ผี ก็ยังคงตั้งอยู่ในชามตรงนั้น ทุกคนเฝ้ามองโต๊ะหมอแขกสวดบริกรรมคาถาอยู่เป็นนานสองนาน จนในที่สุดโต๊ะหมอแขกและผู้ช่วยของเขาพยายามเข้าไปพยุงรั้งให้คนป่วยลุกขึ้นนั่ง แต่ไม่สำเร็จ คนป่วยไม่มีแรงจะทรงตัวได้เลย ญาติที่เคยเชื่อถือโต๊ะหมอแขกเริ่มลังเลใจ
และหมดศรัทธา เพราะเวลาก็ผ่านมานานหลายชั่วโมงจนกระทั่งเย็นค่ำแล้ว ยังไม่มีอะไรดีขึ้น 

     มูเราะห์จึงใช้จังหวะนั้นขอให้ปกป้องเข้ามาดูอาการ โต๊ะหมอแขกพยายามหว่านล้อมห้ามไม่ให้ใครมาขัดจังหวะการทำพิธี แต่ญาติส่วนใหญ่เริ่มหมดความเชื่อกับเรื่องพิธีกรรมแล้วจึงเชิญให้โต๊ะหมอแขกไปนั่งพักพร้อมทั้งมอบเงินค่ารักษาที่เรียกว่าสงคราด หรือค่าหลาด พร้อมทั้งเกลือเม็ดอีก 55 ถุง เป็นการตอบแทน 

     โต๊ะหมอแขกนั้นเสียหน้าอย่างมากแต่ทำอะไรไม่ได้ เขาไม่ยอมไปนั่งพักตามที่เจ้าของบ้านเชิญ แต่ขอตัวกลับไปทันทีด้วยความไม่พอใจ

     ปกป้องพอจะเดาได้ตั้งแต่ได้รับการแจ้งจากมูเราะห์แล้วว่าอาการตัวเหลืองของผู้ป่วยน่าจะมาจากตับอักเสบหรือเป็นดีซ่าน แต่เขาไม่สามารถเข้าไปตรวจร่างกายคนป่วยได้ในตอนแรก จำต้องปล่อยให้คนป่วยเข้าพิธีตามความเชื่อของญาติไปก่อน                                                                                                              
     จนเมื่อโต๊ะหมอแขกกลับไปแล้วเขาจึงเข้าไปดูคนป่วยได้ ซึ่งขณะนั้นคนป่วยมีอาการอ่อนเพลียมาก ในขั้นแรกปกป้องให้ผู้ป่วยดื่มน้ำหวานก่อนเพื่อ
ให้มีแรง เพราะช่วงที่ให้โต๊ะหมอแขกรักษา ผู้ป่วยไม่ได้รับประทานสิ่งใดเลย ยิ่งทำให้ร่างกายอ่อนเพลียมากขึ้น ครั้นพอปกป้องอธิบายทำความเข้าใจ
กับญาติๆ เกี่ยวกับโรคนี้แล้วขออนุญาตให้น้ำเกลือผู้ป่วยก่อนที่เขาจะแทงเข็ม ซึ่งทางญาติไม่ขัดข้อง 

     เวลาผ่านไป หลังจากผู้ป่วยได้รับน้ำเกลือและอาหารอ่อนๆ เขาจึงค่อยเริ่มมีแรงขึ้น ท่ามกลางสายตาของเหล่าญาติที่ต่างดีใจเมื่อเห็นคนป่วยดีขึ้น 

     ปกป้องอธิบายทำความเข้าใจกับคนป่วยและมูเราะห์ว่า

     “ที่หมอให้น้ำเกลือและให้ทานอาหารอ่อนๆ นี้เป็นแค่บรรเทาอาการให้คนป่วยพอจะมีแรง แต่หลังจากนี้ถ้าคุณฮานีฟแข็งแรงจนสามารถเดินทางได้แล้ว หมออยากให้เข้าไปตรวจที่โรงพยาบาลในเมือง เพราะตับอักเสบมีหลายประเภท จะต้องมีการตรวจเลือด ผลเลือดที่ได้จะช่วยในการวินิจฉัยว่าเป็น
ตับอักเสบชนิดใด จะต้องรักษาอย่างไร ซึ่งการตรวจเลือดนั้น หมอไม่มีห้องแล็บไม่มีเครื่องมือที่จะตรวจเพราะฉะนั้นจะต้องเข้าไปที่โรงพยาบาลเท่านั้น”

     ทั้งคนป่วยและมูเราะห์พยักหน้าเข้าใจและรับที่จะทำตามปกป้องบอก

     “รอให้น้ำเกลือหมดถุง และได้อาหารบำรุง พรุ่งนี้เช้าคุณฮานีฟน่าจะพอมีแรงเดินทางเข้าเมืองได้”

     “ครับหมอ แต่ถ้าป๊ะเดินไม่ไหว คิดว่าจะหามไป”

     เนตริยารอจังหวะที่ปกป้องพูดคุยกับคนป่วยเสร็จแล้ว เข้ามาถามด้วยความวิตกกังวล

     “เราจะกลับได้หรือยัง ค่ำแล้วนะ” หล่อนไม่คาดคิดว่าจะต้องอยู่ที่นี่นานขนาดนี้

     “คงต้องค้างคืนที่นี่”

     “อะไรนะ ! ค้างที่นี่” เนตริยาอุทานเสียงสูงอย่างลืมตัว ดวงตาเบิกกว้าง “แต่คนป่วยค่อยยังชั่วแล้วนี่”

     ปกป้องจุปากให้หล่อนเบาเสียง แล้วให้เหตุผลเรียบๆ ว่า 

    “ผมต้องรอดูอาการของเขา และรอให้น้ำเกลือหมดก่อน อีกทั้งค่ำมืดอย่างนี้ จะเดินกลับออกไปกลางป่าแบบนั้นมันอันตราย เมื่อกี้เจ้าของบ้านเขาก็
มาบอกแล้วว่าให้ค้าง”

     “แล้วทีเมื่อกี้ ทำไมโต๊ะหมอแขกยังกลับไปได้เลย”

     “เขาเป็นคนพื้นที่ เดินในป่าแบบนี้ชินแล้ว” ปกป้องหยุดมองหน้าแล้วถามว่า “แล้วคุณอยากจะเดินป่าตอนมืดๆ หรือ ขนาดเดินตอนกลางวันแสกๆ
ยังบ่นแทบแย่”

     เนตริยาค้อนทันที แม้เหตุผลของเขาจะฟังขึ้น แต่หล่อนก็ยังไม่อยากยอมรับที่จะต้องค้างที่นี่อยู่ดี

     “แต่ค้างที่นี่ ที่บ้านชาวบ้านแบบนี้ ไฟฟ้าก็ไม่มี น่ากลัวจะตาย แล้วฉันจะนอนที่ไหน” หล่อนยังคงอิดเอื้อน

     “ไม่ต้องห่วงหรอก เดี๋ยวเจ้าของบ้านเขาจัดเตรียมให้” ปกป้องสรุปง่ายๆ ไม่สนใจกับความรู้สึกของเนตริยาแม้แต่น้อยว่าการเป็นผู้หญิงที่จะต้องมาค้างอ้างแรมในที่แปลกถิ่นนั้น เป็นความลำบากใจเพียงใด แต่หล่อนไม่กล้าบ่นเพราะกลัวปกป้องจะดูถูกให้อีกว่าเป็นทหารที่ไม่อดทน หรือถึงบ่นไปก็เหนื่อยเปล่า ปกป้องไม่เปลี่ยนใจแน่

     เนตริยาถอนหายใจแรงๆ อย่างขัดใจแล้วลุกออกมาจากห้องรับแขกที่นั่งอยู่นานจนเบื่อ รู้สึกเซ็งกับสภาพที่หล่อนต้องตกมาอยู่กลางบ้านป่าที่ไม่มีอะไรเลย ยังดีหน่อยที่บ้านหลังนี้เป็นบ้านใหญ่ที่น่าจะมีหลายห้องนอน และมีแสงสว่างจากตะเกียงที่เจ้าของระดมกันจุดให้ความสว่างอยู่หลายจุด  

     “อย่าไปไกลนะ” ปกป้องสำทับตามหลังมา แม้เขาจะห่วง แต่ก็วางใจที่มีแสวงคอยอยู่ข้างนอก คงไม่มีอะไรน่าวิตกเพราะคนของเขาต้องคอยระแวดระวังหญิงสาวให้อยู่แล้ว และหากเนตริยาคิดจะหนี หรือไปขอให้ใครช่วยพาหล่อนหนี ก็คงหนีไปได้ลำบากในหุบเขากลางป่าในเวลากลางคืนแบบนี้  นอกจากนี้ปกป้องเชื่อว่าเนตริยาคงไม่ทำเช่นนั้น เพราะเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ตอนที่หล่อนตกใจกลัวร้องไห้ขนาดนั้น หล่อนซบนิ่งอยู่ในอ้อมแขนเขาด้วยหวังเขาเป็นที่พึ่งพิง ทำให้ชายหนุ่มเริ่มเชื่อว่าหล่อนไว้ใจเขาแล้ว 

     เนตริยาเดินออกไปนอกตัวบ้านอย่างหวาดระแวง นึกถึงลูกแพะถูกฆ่าที่ลานหน้าบ้าน ทำให้หญิงสาวเลี่ยงไปทางหลังบ้านที่เป็นครัว มีเหล่าแม่บ้านต่างช่วยกันทำกับข้าวเลี้ยงบรรดาแขกและญาติที่มาเยี่ยมคนป่วย ความเป็นผู้หญิงทำให้หล่อนอดที่จะสนใจเรื่องกับข้าวกับปลาไม่ได้ จึงเข้าไปเมียงๆ มองๆ ว่าเขาทำอะไรกัน 

     พวกผู้หญิง พอเห็นหญิงสาวสวยแปลกหน้าที่มากับหมอ ต่างก็ยิ้มให้และทักทายด้วยภาษาใต้ที่รัวเร็วบวกกับสำเนียงแปร่งๆ ของภาษายาวี

     เนตริยาฟังไม่ออก แต่ก็ส่งยิ้มกลับไป และพยายามผูกมิตรด้วยการเข้าไปถามว่า

     “แกงอะไรหรือจ๊ะ หอมจัง

     พออีกฝ่ายตอบมาและคุยถามอะไรอีกยาว คราวนี้เนตริยายืนงง แต่ก็พยายามยิ้มให้

     “แฮ่ะๆ ฟังไม่ออกเลยว่าพูดอะไร”

     “เขาบอกว่าไก่ต้มขมิ้นครับ” เสียงใครคนหนึ่งช่วยแปลให้ ทำให้เนตริยาหันไปทางต้นเสียง และพบกับชายหนุ่มแปลกหน้า หล่อนมองร่างสันทัดนั้นเต็มตา ท่าทางเสื้อผ้าเครื่องแต่งตัวบ่งบอกว่าเขาไม่ใช่ชาวบ้านในหมู่บ้านนี้ แต่น่าจะเป็นคนที่มาจากในเมือง

    “และเขายังถามอีกว่าคุณเคยทานไหม” ชายหนุ่มบอกแล้วเดินเข้ามาใกล้

    “เอ่อ ไม่เคยค่ะ แต่น่าทานมากๆ” ตอนท้ายเนตริยาหันไปชมแม่บ้านที่รอฟังคำตอบอยู่ 

     แม่บ้านกลุ่มนั้นพากันยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับคำชม แสดงว่าพวกเขาฟังเธอพูดออก 

    “ขอบคุณนะคะที่ช่วยเป็นล่ามให้” เธอหันไปขอบคุณชายคนนั้น

    “ไม่เป็นไรครับ คุณ....”

     “เนตรค่ะ” 

    “ผมชื่อธเนศ เป็นญาติกับคนป่วย” เขาแนะนำตัวแล้วพยายามควบคุมสายตาไม่ให้จ้องมองความสวยของผู้หญิงตรงหน้ามากเกินไป “คุณเนตรน่าจะมาจากในเมืองใช่ไหมครับ”

    “ใช่ค่ะ แล้วคุณล่ะคะ ท่าทางคุณเหมือนไม่ใช่คนที่นี่” 

     ได้ทีที่เนตริยาถาม ธเนศรีบแนะนำและบรรยายสรรพคุณของตัวเองว่า

    “ผมเป็นลูกชายกำนันในตำบลนี้ เข้าไปเรียนในกรุงเทพฯ ตั้งแต่เด็กแล้วครับ” 

    “มิน่า คุณเลยดูไม่เหมือนกับคนในหมู่บ้าน”

    “ใช่ครับ ผมไม่ค่อยใกล้ชิดกับคนในหมู่บ้านเท่าไหร่ แต่ต่อไปผมคงต้องใกล้ชิดคนในหมู่บ้านเพิ่มมากขึ้น เพราะผมอาจจะลงเล่นการเมืองท้องถิ่นที่นี่”

     เนตริยาเบิกตากว้าง รู้สึกทึ่งกับสิ่งที่เขาบอก

     “ดีค่ะ กลับมาพัฒนาบ้านเกิด”

     ธเนศยิ้มพอใจที่เนตริยาให้ความสนใจในตัวเขา

    “เอ่อ... ไม่ทราบว่าคุณเนตรมาที่นี่กับใครครับ” ธเนศถามคำถามที่เขาอยากรู้

     “ฉันมากับปกป้อง เอ่อ หมอป้อง ที่มารักษาคนป่วยน่ะค่ะ” หญิงสาวเรียกตามที่ชาวบ้านเรียกปกป้อง

     “อ๋อ หมอป้อง” น้ำเสียงและแววตาที่ธเนศเอ่ยชื่อหมอป้องนั้น มีแววบางอย่างที่คล้ายเยาะหยันประชดประชัน ซึ่งเนตริยาไม่เข้าใจ

     พอธเนศรู้แบบนี้ ก็เริ่มระแวงสงสัยว่าทั้งคู่จะมีความสัมพันธ์กันอย่างไร เขาไม่อยากเชื่อว่าทั้งคู่จะเป็นแฟนกัน

     ความจริงธเนศเคยเห็นปกป้องมานานแล้ว ด้วยความที่ปกป้องเป็นที่รักใคร่ของชาวบ้านมากกว่าตัวเขาเองที่เป็นลูกกำนันแต่ไม่ค่อยมีใครรู้จักมักคุ้น
กับเขาเท่าไหร่ นั่นยิ่งสร้างความหมั่นไส้ให้กับธเนศเป็นอย่างมาก ทำให้ทุกครั้งที่ทั้งคู่เจอกัน ธเนศอดที่จะรู้สึกไม่ชอบหน้าปกป้องไม่ได้ อีกทั้งหลานสาววัยรุ่นของแปะกวงที่เขาไปติดพันอยู่ก็มักจะเอ่ยถึงปกป้องด้วยอาการชื่นชม ยิ่งทำให้ธเนศมองเห็นปกป้องเป็นคู่แข่งยิ่งขึ้นไปอีก  

     และสิ่งที่สร้างความระแวงให้กับธเนศมากขึ้น คือเรื่องฐานะของปกป้อง การที่ปกป้องเข้ามารักษาชาวบ้านโดยไม่เคยคิดค่าใช้จ่ายนั้น เขาเอาเงินมา
จากไหน ฐานะของปกป้องเป็นอย่างไรก็ยังเป็นความลับที่เขาไม่รู้คำตอบ และชวนให้เขาสงสัยต่อไปว่าอาจจะมีใครที่อยู่เบื้องหลังคอยให้การสนับสนุน
ก็เป็นได้ หรือไม่ ปกป้องอาจจะเป็นสายจากทางการที่เข้ามาสืบเรื่องผิดกฎหมายก็เป็นได้ 

     มันทำให้เขาอยากจับตามองปกป้องเป็นพิเศษ

    “คุณธเนศยังอยู่ที่กรุงเทพฯ รึเปล่าคะ หรือกลับมาอยู่ที่นี่ถาวรแล้ว”  เนตรติยาพยายามชวนคุยเพื่อหาข้อมูล

    “ผมมีธุรกิจที่ต้องเดินทางไปๆ มาๆ หลายที่ครับ ไม่ค่อยได้อยู่ที่ไหนนานๆ” เขาตอบกว้างๆ 

    “อ้อหรือคะ ไม่ทราบว่าคุณธเนศทำธุรกิจประเภทไหนคะ” เนตริยาพยายามต่อบทสนทนาด้วยเริ่มมองเห็นความหวังว่าบางทีชายผู้นี้จะสามารถช่วย
ให้หล่อนหนีกลับบ้านได้

     “ก็...ทำธุรกิจเกี่ยวกับการเกษตรและพวกนำเข้า-ส่งออกสินค้าครับ” ธเนศตอบไม่เต็มเสียงนัก “ไม่ทราบว่าคุณเนตรกับ...” ยังไม่ทันสิ้นเสียงของธเนศ เสียงใครคนหนึ่งก็ดังขึ้น ขัดจังหวะการสนทนาของทั้งคู่

    “สวัสดีครับคุณธเนศ ไม่นึกว่าจะได้มาเจอกันที่นี่” เป็นปกป้องนั่นเอง

     คนทั้งคู่ชะงักหันมาทางต้นเสียง

    “อ้อ หมอป้อง” ธเนศทักตอบ “ผมต้องมาที่นี่อยู่แล้วเพราะผมเป็นญาติกับจิ๊ฮานีฟ คนป่วย ก็ต้องมาเยี่ยมเยียนเป็นธรรมดา” ธเนศตอบด้วยท่าทางที่มองออกว่าเขาก็เป็นหนึ่งที่นี่และจะไม่ยอมก้มหัวให้ใคร
                                (จิ๊ หมายถึงน้า หรืออา)

    “ตอนนี้คุณฮานีฟ ค่อยยังช่วยขึ้นแล้ว”

    “ขอบคุณนะครับที่มาช่วย ผมเองก็ไม่เห็นด้วยที่เขาไปเชิญโต๊ะหมอแขกมารักษาตอนแรก” แม้ธเนศจะไม่ชอบหน้าปกป้องนัก  แต่เขาก็ต้องขอบคุณ
ไปตามมารยาท ยิ่งอยู่ต่อหน้าผู้หญิงสาวสวยคนนี้ด้วยแล้ว เขาไม่ควรให้เสียคะแนนนิยม พูดจบแล้วหันไปส่งสายตายิ้มให้เนตริยาที่ยืนฟังอยู่เงียบๆ 

     ปกป้องเห็นสายตานั้น อดรู้สึกผ่าวๆ ในอกไม่ได้ ก่อนหน้านี้เขาได้ยินเสียงเนตริยาแว่วๆ เขาสงสัยว่าหญิงสาวคุยอยู่กับใครจึงเดินออกมาดู พอเห็นว่าเป็นธเนศ ทำให้เขาไม่ไว้ใจขึ้นมาทันที ทั้งไม่ไว้ใจผู้ชายอย่างธเนศและไม่ไว้ใจเนตริยาที่อาจจะไปเล่าความจริงว่าหล่อนถูกจับตัวมาและขอให้ธเนศช่วยพาหนี เขาจึงต้องรีบออกมาขัดจังหวะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่