JJNY : โลกร่วมส่งกำลังใจให้โสมใต้│คนละครึ่งหมดอายุพรุ่งนี้│กรุงไทยคาดมูลค่าส่งออกทุเรียน│“ธีรรัตน์” กระทุ้งรัฐบาล

โลกร่วมส่งกำลังใจให้โสมใต้ ยอดดับ 149 เจ็บลด 79 ต่างชาติดับ 2 เจ็บ 15
https://www.matichon.co.th/foreign/news_345812
  
  
  
โลกร่วมส่งกำลังใจให้โสมใต้ ยอดดับ 149 เจ็บลด 79 ต่างชาติดับ 2 เจ็บ 15
 
ทางการเกาหลีใต้รายงานยอดผู้เสียชีวิตล่าสุดอยู่ที่ 149 ราย และปรับลดตัวเลขผู้ได้รับบาดเจ็บลงเหลือ 76 คน จากเหตุโศกนาฏกรรมวันฮัลโลวีนที่อิแทวอน สถานที่ท่องเที่ยวยามค่ำคืนอันโด่งดังในกรุงโซลของเกาหลีใต้ เมื่อคืนวันที่ 29 ตุลาคมที่ผ่านมา
  
ขณะที่หน่วยงานดับเพลิงของเกาหลีใต้รายงานว่า มีชาวต่างชาติ 2 ราย ที่เสียชีวิต และได้รับบาดเจ็บอีก 15 คน ทั้งนี้ รายงานข่าวระบุว่า เหยื่อส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่นและผู้ใหญ่ที่มีอายุในช่วง 20 ปี โดยเหตุสลดใจดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากมีผู้ออกมาเข้าร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลวันฮัลโลวีนมากถึง 100,000 คน
ประธานาธิบดียุน ซอกยอล ของเกาหลีใต้ ได้จัดประชุมฉุกเฉินและประกาศที่จะสอบสวนเพื่อหาสาเหตุที่ทำให้เกิดการเสียชีวิตครั้งใหญ่ อีกทั้งยังมีการตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจขึ้นเพื่อช่วยเหลือผู้ได้รับบาดเจ็บ เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ดับเพลิงระบุว่า สาเหตุที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมากเนื่องจากเหยื่อถูกเหยียบ
 
ด้านผู้นำโลกได้ออกมาแสดงความเสียใจต่อเหตุโศกนาฏกรรมดังกล่าว โดยนายริชี ซูแน็ก นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ทวีตส่งกำลังใจ และแสดงจุดยืนสนับสนุนชาวเกาหลีใต้ทุกคนในช่วงเวลาแห่งความโศกเศร้า

ขณะที่นายจัสติน ทรูโด นายกรัฐมนตรีแคนาดา ทวีตข้อความแสดงความเสียใจในนามของประชาชนชาวแคนาดา โดยได้ส่งความเสียใจอย่างสุดซึ้งมายังประชาชนชาวเกาหลีใต้ หลังเกิดเหตุเหยียบกันตายในกรุงโซล ด้วยความระลึกถึงทุกคนที่ได้รับผลกระทบจากโศกนาฏกรรมดังกล่าว และหวังว่าผู้ได้รับบาดเจ็บจะฟื้นตัวและหายดีอย่างรวดเร็ว
 
ด้านนายแอนโทนี บลิงเกน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ ทวีตว่า รู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งที่ได้ทราบข่าวการเหยียบกันจนเสียชีวิตที่โซล และขอส่งกำลังใจรวมถึงความเสียใจอย่างสุดซึ้งไปยังครอบครัวและมิตรสหายของผู้ที่เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ รวมถึงต่อประชาชนชาวเกาหลีใต้ที่กำลังโศกเศร้าจากโศกนาฏกรรมอันน่ากลัวครั้งนี้
 


คนละครึ่งหมดอายุพรุ่งนี้ ชาวบ้านโอดหาที่ใช้สิทธิไม่ได้
https://www.matichon.co.th/region/news_3645884
 
คนละครึ่งหมดอายุพรุ่งนี้ ชาวบ้านโอดหาที่ใช้สิทธิไม่ได้ เหตุร้านไม่เข้าร่วม กลัวภาษี
 
เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม ที่ จ.ชัยนาท ผู้สื่อข่าวรายงานว่า โครงการคนละครึ่งกำลังจะสิ้นสุดลงในวันพรุ่งนี้ (31 ตุลาคม) ซึ่งนับถอยหลังเหลือเวลาเพียง 2 วัน ทำให้มีประชาชนที่ยังคงมียอดค่าใช้จ่ายผ่านโครงการเหลือ ออกมาหาร้านใช้สิทธิกันอย่างคึกคัก แต่ก็ต้องผิดหวัง เพราะปรากฏว่าร้านขายของชำในหมู่บ้านพากันออกจากโครงการ หรืองดรับสิทธิคนละครึ่งไปกันเกือบทั้งหมด บางหมู่บ้านไม่เหลือร้านที่เปิดรับแม้แต่ร้านเดียว
  
เมื่อสอบถามร้านค้าก็ได้รับคำตอบว่า แต่ละร้านหวาดกลัวกับการที่จะต้องนำยอดไปคำนวณภาษี เพราะร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ จะต้องนำ 60 เปอร์เซ็นต์ ของยอดขายออกมาหักค่าลดหย่อนต่างๆ แล้วเข้าระบบคำนวณภาษี ซึ่งเป็นการคำนวณแบบอัตราก้าวหน้า ทำให้หลายๆ ร้านที่เคยมีรายได้หักค่าลดหย่อนไม่ถึงเกณฑ์ที่จะต้องเสียภาษี แต่พอเข้าร่วมโครงการยอดขายก็สูงขึ้นจนเข้าเกณฑ์จ่ายภาษี ทำให้หลายร้านบอกว่า ยอดขายเพิ่มขึ้นจากเดิมไม่มากเท่าไหร่ แต่ต้องเข้าเกณฑ์จ่ายภาษีที่ไม่เคยต้องจ่าย จึงคิดว่าไม่คุ้มจึงพากันออกจากโครงการ จนหาที่ใช้สิทธิตามโครงการคนละครึ่งสำหรับพื้นที่นอกตัวเมืองชัยนาทได้ยากมากในปัจจุบัน จนหลายๆ คนบอกว่าคงต้องทิ้งยอดที่เหลืออยู่ เพราะไม่รู้ว่าจะไปใช้สิทธิที่ไหน


 
กรุงไทย คาดมูลค่าส่งออกทุเรียนไทยไปจีน ปี'68-73 วูบ 2 แสนล้าน
https://www.prachachat.net/finance/news-1101327

Krungthai COMPASS จับชีพจรทุเรียนไทย เสี่ยงตกบัลลังก์ หลัง “จีนปลูกเองได้-หลายประเทศส่งออกแข่ง” คาดเอฟเฟ็กต์แนวโน้มมาร์เก็ตแชร์ทุเรียนไทยส่งออกไปจีนลดลงต่อเนื่อง คาดผลกระทบส่งออกทุเรียนของไทยไปจีน ช่วงปี 2568-2573 รวมกันราว 2 แสนล้านบาท หรือตกปีละประมาณ 1.7-5.7 หมื่นล้านบาท

วันที่ 30 ตุลาคม 2565 Krungthai COMPASS ธนาคารกรุงไทย นำเสนอบทวิเคราะห์ “จับชีพจรทุเรียนไทย จะโดนโค่นบัลลังก์หรือไม่? หลังศึกแย่งชิงตลาดจีนดุเดือด” โดยประเมินว่า ตลาดส่งออกทุเรียนไทยไปจีนจะขยายตัว 19.3%CAGR (2565-2573) เป็น 22,162 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 7 แสนล้านบาท ในปี 2573 จากปัจจุบันที่ราว 1.2 แสนล้านบาท จากความต้องการบริโภคทุเรียนของชาวจีนที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

อย่างไรก็ดี ส่วนแบ่งตลาดทุเรียนของไทยในจีนมีแนวโน้มลดลงจาก 95.9% ในปี 2564 เหลือ 90.4% และ 88.1% ในปี 2568 และปี 2573 ตามลำดับ จากการที่จีนสามารถปลูกทุเรียนได้เองและการส่งออกทุเรียนของประเทศคู่แข่งไปจีนมากขึ้น ได้แก่ มาเลเซีย และเวียดนาม ซึ่งคาดว่าจะส่งผลกระทบประมาณ 1.7-5.7 หมื่นล้านบาทต่อปี ในช่วงปี 2568-2573

โดยปัจจัยใดที่ทำให้การส่งออกทุเรียนไทยเริ่มสั่นคลอน ได้แก่ แนวโน้มผลผลิตทุเรียนโลกเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (ปี 2554-2564) ผลผลิตทุเรียนโลกเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 1.3 แสนตันต่อปี ตามความต้องการบริโภคทุเรียนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะตลาดจีน ทำให้ประเทศที่มีศักยภาพในการเพาะปลูกทุเรียนเร่งขยายพื้นที่เพาะปลูกเพื่อเพิ่มผลผลิตเชิงการค้ามากขึ้น ทั้งไทย และประเทศคู่แข่งอย่างอินโดนีเซีย มาเลเซีย และเวียดนาม โดยในปี 2564 ไทยมีพื้นที่เพาะปลูกทุเรียนจำนวน 8.52 แสนไร่ หรือเพิ่มขึ้น 41% เมื่อเทียบกับปี 2554 เนื่องจากเกษตรกรส่วนใหญ่หันมาปลูกทุเรียนแทนพืชอื่น เช่น ยางพารา มันสำปะหลัง เป็นต้น

ขณะที่รัฐบาลมาเลเซียสนับสนุนการปลูกทุเรียนเพื่อส่งออก ทั้งด้านเงินทุน เทคโนโลยี และการขนส่ง ส่วนอินโดนีเซียและเวียดนามก็มีการขยายพื้นที่เพาะปลูกทุเรียนเป็นวงกว้าง

Krungthai COMPASS ประเมินว่า ภายในปี 2568 ผลผลิตทุเรียนของไทยจะแซงหน้าอินโดนีเซีย และในปี 2573 ผลผลิตทุเรียนของไทยอาจเพิ่มขึ้นถึง 4.2 เท่าสู่ระดับ 5.05 ล้านตัน ขณะที่ผลผลิตทุเรียนของอินโดนีเซีย มาเลเซีย และเวียดนามมีแนวโน้มอยู่ที่ 4.05 ล้านตัน (เพิ่มขึ้น 3 เท่า) 0.72 ล้านตัน (เพิ่มขึ้น 1.7 เท่า) และ 3.44 ล้านตัน (เพิ่มขึ้น 5.4 เท่า) ตามลำดับ ทั้งนี้ ปริมาณผลผลิตทุเรียนโลกที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้การแข่งขันในตลาดส่งออกรุนแรงมากขึ้น

อย่างไรก็ดี จีนประสบความสำเร็จในการปลูกทุเรียน โดยความต้องการบริโภคทุเรียนในตลาดจีนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้จีนหันมาทดลองปลูกและพัฒนาสายพันธุ์ทุเรียน โดยปัจจุบัน เกษตรกรจีนสามารถปลูกทุเรียนสำเร็จ และคาดว่าจะมีผลผลิตทุเรียนจีนออกสู่ตลาดมากขึ้น เกษตรกรมณฑลกวางตุ้งประสบความสำเร็จในการปลูกทุเรียนพันธุ์มูซานคิงและพันธุ์หนามดำ โดยมีพื้นที่ทดลองปลูกทุเรียนประมาณ 41.66 ไร่ เริ่มทดลองปลูกตั้งแต่ปี 2561 และคาดว่าจะสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ในเดือน ต.ค. 2565

นอกจากนี้ ข้อมูลจากสำนักวิจัยไม้ผลเขตร้อน สถาบันวิทยาศาสตร์การเกษตรมณฑลไห่หนาน คาดว่ามณฑลไห่หนานมีพื้นที่เพาะปลูกทุเรียนประมาณ 12,500 ไร่ โดยส่วนใหญ่เป็นพันธุ์ต้นกล้าที่มาจากไทย มาเลเซีย และเวียดนาม ซึ่งคาดว่าจะเริ่มให้ผลผลิตได้ตั้งแต่ปี 2567 ประมาณปีละ 45,000-75,000 ตัน คิดเป็นสัดส่วนราว 5-9% ของปริมาณการส่งออกทุเรียนของไทย ทั้งนี้ หากผลผลิตทุเรียนจีนที่จะออกสู่ตลาดในระยะแรกมีคุณภาพตรงตามความต้องการของผู้บริโภค อาจทำให้ทางการจีนขยายพื้นที่เพาะปลูกเป็นวงกว้าง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อปริมาณการนำเข้าทุเรียนจากไทย

อีกปัจจัยก็คือ ต้นทุนการผลิตทุเรียนของไทยสูงกว่าประเทศคู่แข่ง โดยไทยจะเผชิญกับการแข่งขันด้านราคาของทุเรียนที่สูงขึ้น เนื่องจากไทยมีต้นทุนการผลิตที่สูงกว่าประเทศคู่แข่ง อาจกระทบต่ออัตรากำไรของผู้ประกอบการ ซึ่งสาเหตุหลักมาจากต้นทุนค่าจ้างแรงงานของไทยอยู่ในระดับสูงกว่าประเทศคู่แข่งอย่างเวียดนาม เห็นได้จากค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำของไทยเฉลี่ยอยู่ที่ 337 บาท/วัน หลังจากภาครัฐปรับขึ้นค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำที่มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2565 ซึ่งสูงกว่าค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำของเวียดนามเฉลี่ยอยู่ที่ 200 บาท/วัน

นอกจากนี้ ไทยยังมีความเสียเปรียบด้านต้นทุนการขนส่งทุเรียนไปจีนที่สูงกว่าเวียดนาม เนื่องจากเวียดนามมีพรมแดนที่ติดกับจีน ทำให้การขนส่งทุเรียนของเวียดนามไปจีนใช้ระยะเวลาไม่เกิน 15 ชั่วโมง ขณะที่ทุเรียนของไทยจะขนส่งทางบกผ่านเส้นทางลาวและเวียดนามไปจีน ซึ่งใช้ระยะเวลาในการขนส่งประมาณ 2-3 วัน ทำให้ราคาขายส่งทุเรียนของไทยสูงกว่าทุเรียนของเวียดนามประมาณ 50 บาท/กก. ส่งผลให้ความสามารถในการแข่งขันด้านราคาของทุเรียนไทยในตลาดจีนต่ำกว่าทุเรียนของเวียดนามhttps://www.prachachat.net/finance/news-1101327

สำหรับในแง่ผลกระทบ Krungthai COMPASS ประเมินว่า ในระยะสั้น (ปี 2565-2566) กรณีที่จีนปลูกทุเรียนสำเร็จจะยังไม่ส่งผลกระทบต่อการส่งออกทุเรียนของไทยไปจีน เนื่องจากปริมาณผลผลิตทุเรียนของจีนที่จะออกสู่ตลาดยังน้อยมาก โดยผลผลิตทุเรียนพันธุ์มูซานคิงและพันธุ์หนามดำที่จีนทดลองปลูกสำเร็จที่มณฑลกวางตุ้งตั้งแต่ปี 2561 คาดว่าจะสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตในเดือน ต.ค. 2565 อยู่ที่ประมาณ 150-250 ตัน คิดเป็นสัดส่วนเพียง 0.03% ของปริมาณการส่งออกทุเรียนของไทยเท่านั้น ขณะที่คู่แข่งสำคัญอย่างมาเลเซียและเวียดนามยังมีส่วนแบ่งตลาดทุเรียนในจีนน้อยกว่าไทยมาก คิดเป็นสัดส่วน 3.9% และ 0.1% ของการนำเข้าทุเรียนของจีน

ปัจจุบัน ไทยครองส่วนแบ่งตลาดทุเรียนในจีนมากที่สุดถึง 95.9% ของการนำเข้าทุเรียนทั้งหมดของจีน ขณะที่คู่แข่งสำคัญอย่างมาเลเซียและเวียดนาม แม้จะยังมีส่วนแบ่งตลาดน้อยกว่าไทยมาก แต่มีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้น เห็นได้จากส่วนแบ่งตลาดทุเรียนในจีนของมาเลเซียเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2559 เนื่องจากทุเรียนพันธุ์มูซานคิงของมาเลเซียได้รับความนิยมจากชาวจีน แม้จะมีราคาที่สูงกว่าทุเรียนไทยเกือบ 4 เท่า จากการเร่งทำการตลาดที่มุ่งเน้นการสร้างแบรนด์ทุเรียนระดับพรีเมียม

ขณะที่เวียดนามสามารถส่งออกทุเรียนสดเข้าจีนได้ตั้งแต่วันที่ 27 ก.ค. 2565 นับเป็นประเทศที่ 2 รองจากไทยที่ได้รับอนุญาตให้ส่งออกทุเรียนสดไปจีน ทำให้ในระยะข้างหน้าการส่งออกทุเรียนของไทยจะเผชิญกับการแข่งขันด้านราคาที่สูงขึ้น และอาจถูกแย่งส่วนแบ่งตลาดทุเรียนในจีนด้วย

ส่วนในระยะกลาง-ยาว (ปี 2567-2573) การส่งออกทุเรียนของไทยจะได้รับผลกระทบจากการแข่งขันในตลาดจีนที่มีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น ทั้งนี้ Krungthai COMPASS ประเมินผลกระทบต่อการส่งออกทุเรียนของไทยไปจีน แบ่งเป็น 3 กรณี ได้แก่
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่