มองความ “เปลี่ยน” และ “ไม่เปลี่ยน” ของคนยุคนี้และยุคก่อน

คิดว่าตัวเองมีคุณสมบัติพอที่จะวิจารณ์เรื่องความเหมือนและต่างของคนยุคนี้กับยุคก่อนได้  เพราะวัยกลางคน (ค่อนไปทางแก่) อย่างดิฉัน ที่ข้ามผ่านศตวรรษที่แล้วมาตอนช่วงวัยเริ่มเป็นผู้ใหญ่เห็นข้อแตกต่างและคล้ายคลึงกันหลายเรื่องที่อยากจะมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นสนุก ๆ กับเพื่อนสมาชิกในนี้กัน

จำได้ว่า ตอนช่วงเล่น internet ใหม่ ๆ ตอนนั้น เน็ตยังเป็นรายชั่วโมง ต้องซื้อ package ต่อ modem ที่จะส่งเสียง อี๊อ่อ อี๊อ่อ แล้วต้องเลือกด้วยว่า provider รายไหน มีคู่สายให้ต่อติดได้ง่ายกว่ากัน ตอนนั้น เคยไปฟังสัมมนาเกี่ยวกับความเห็นของต่างชาติเรื่องลงทุนในไทย ยังมีการพูดถึงเลยว่า ในไทยควรให้ภาคธุรกิจหรือบริษัทได้เช่า leased line ได้ในต้นทุนที่ถูกกว่านี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ  

เพี้ยนไม่อยากจะเล่า

มาตอนนี้ wifi ทั่วเมืองไปหมด กระทั่ง บนเขาสูง กลางทะเลยังเล่น net ได้คล่อง ๆ ลื่น ๆ โลกมันก็พลิกโฉมไปได้มากและเร็วขึ้นจริง ๆ

จริง ๆ ดิฉันเกลียดคำว่า “เด็กสมัยนี้” หรือ “คนเดี๋ยวนี้” นะคะ ค่าที่ส่วนใหญ่ คำนี้มักถูกพูดด้วยโทนเสียงเหมือนกับเราอยู่กันคนละโลก 

เอาจริง ๆ ผู้ใหญ่สมัยนี้ ตามเกณฑ์มาตรฐานทั่วไป ก็ไม่ได้มีอะไรแตกต่างจากเด็กรุ่นนี้มากเท่าไรหรอกค่ะ

เราอาจอดทนได้มากกว่า ไม่ใช่เพราะเราเจ๋งกว่า แต่เพราะสภาพแวดล้อมบังคับให้อดทน ใครเคยยืนขาแข็งบนรถเมล์ระยะทางจากพระโขนงไปสยาม ใช้เวลา 2 ชั่วโมงกว่า และเห็นข่าวคนตกรถเมล์ตายรายวันจากหน้าหนังสือพิมพ์ คงจะพยักหน้าหงึกหงักว่า “เออ...ตอนนั้น มันต้องอดทนจริง ๆ อ่ะ”

เรารอได้มากกว่า ไม่ใช่เพราะขันติธรรมเหนือกว่า แต่เพราะมันถูกบีบคั้นให้ต้องรอ เช่น ต่อคิวรอใช้โทรศัพท์จากตู้โทรศัพท์ และต้องหมั่นหยอดเหรียญบาททุก ๆ สามนาที 

เรามักชอบพูดว่า คนสมัยนี้ หรือ เด็กสมัยนี้
1.ไม่อดทน
2.เข้าถึงข้อมูลได้ง่ายมาก เวลาทำรายงาน สบายกว่าเด็กรุ่นก่อน ๆ มาก

  สองข้อข้างบน มีทั้งข้อที่เอื้อให้ชีวิตง่ายขึ้น และยากขึ้นแล้วแต่มุมมองจริง ๆ 

เรื่องอดทนนี่ดิฉันขอเถียง  ดิฉันไม่คิดว่า คนสมัยนี้จะอดทนน้อยกว่าคนสมัยก่อน 

ในเชิงกายภาพ เราอาจจะสะดวกสบายกว่า รถไฟฟ้าเดินเรียบ ไม่มีไอเสียมารมตลอดระยะเวลาโดยสารทำให้เราสบายขึ้น  การติดต่อสื่อสารข้ามจังหวัด ข้ามประเทศ ทำได้ง่ายขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีอีกหลายมิติของชีวิตที่คนรุ่นนี้ ต้องสู้ทนฟันฝ่ากับแรงกดดันต่าง ๆ ไม่แพ้คนรุ่นก่อนเลยเช่นกัน 

บางคนบอกว่า การเรียนก็สบายขึ้นด้วย เรียนออนไลน์ที่ไหนก็ได้
ข้อนี้ ต้องบอกว่า “ใช่” และ “ไม่ใช่” นะคะ

ยุคนี้ เราอาจคลิกหาข้อมูลจากอากู๋ที่จะบอกทุกสิ่งอย่างแก่เราได้ แต่เราก็อาจจะต้องเครียดกับข้อมูลจำนวนมหาศาลที่ถาโถมเข้ามา และแทบจะไม่มีใครรับประกันกับเราได้เลยว่า อะไรถูก อะไรผิด

เม่าเนิร์ด

จำได้ว่า สมัยก่อนเราอ่านหนังสือ นิตยสาร จะมีบรรณาธิการเลือกสรร คัดกรอง เนื้อหา ข้อความมาให้เราขั้นหนึ่งก่อน ความน่าเชื่อถือดูจะทำให้เชื่อได้สนิทใจและง่ายกว่า

แต่ยุคนี้ ใครอยากจะเขียน อยากจะพิมพ์อะไรก็ทำได้ทั้งนั้น 

ถ้าความยากของสมัยก่อนคือ การเข้าถึงข้อมูล 
ความท้าทายของสมัยนี้คือ การแยกแยะ แบ่งหมวดหมู่ข้อมูล และต้องใช้วิจารณญาณอย่างเข้มข้นเลยว่า อันไหนใช้ได้ อันไหนใช้ไม่ได้

การศึกษาของเด็กเลยเป็นเรื่องยากมากไงคะ ?
เพราะเด็กเข้าถึงข้อมูลได้เลย โดยยังไม่ได้รับการชี้แนะก่อนว่า อะไรควรเชื่อ อะไรไม่ควรเชื่อ เพราะเหตุผลอะไร

ส่วนตัวดิฉันพบว่า เด็กรุ่นใหม่นี้

1.มีความเป็นปัจเจกสูงขึ้น แต่กลับรักส่วนรวมมากขึ้น คือ รู้สึกว่า คนรุ่นใหม่ รักมนุษยชาติ รักหมา รักแมว รักสัตว์มากขึ้น  แต่รักมนุษย์ด้วยกันน้อยลง
เด็กรุ่นใหม่ รักความเป็นส่วนตัวมากขึ้น 

สมัยดิฉัน ถ้าใครพูดคำว่า “ขอความเป็นส่วนตัว” นี่โดนมองแปลก ๆ พ่อแม่จะงง ๆ ว่า มันแปลว่าอิหยังฟะ ? “ความเป็นส่วนตัวนี่”  
เด็กสมัยนี้อาจจะไม่ติดเพื่อนมากเท่ารุ่นก่อน (แต่ก็ยังติดอยู่นะ) กินชาบู ดูหนังคนเดียว เที่ยวคนเดียวเป็นเรื่องปกติมาก ๆ  และใจกว้างยอมรับความแตกต่างมากขึ้น 

2.ไม่ค่อยเหยียดความเชื่อหรืออะไรที่ต่างจากตนเอง แต่จะเหยียดคนที่เหยียดความต่าง 555 ฟังดูงง ๆ ไหมคะ ?

    สมัยนี้ LGBT หรือคนที่มีรสนิยมต่างไปจากแบบดั้งเดิมได้รับการยอมรับมากค่ะตราบเท่าที่รสนิยมนั้นไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับสังคม   ซึ่งเรื่องนี้เป็นนิมิตหมายที่ดี  แต่บางครั้ง เวลาคนรุ่นก่อนหน้าตั้งคำถามบางอย่างเกี่ยวกับความต่างนั้นจะโดนเหยียดอย่างรุนแรงทันที

  คำว่า “เหยียด” สำหรับคนรุ่นนี้ ถือเป็นคำด่านะคะ

เดือนที่แล้ว ดิฉันถามลูกว่า 

“อ้าว ทำไมแต่งตัวแบบนี้ไปอ่านหนังสือที่หอกลางที่มหาลัย” 
แต่งตัวแบบนี้ หมายถึง ใส่แตะ เสื้อยืดที่ดูแล้วสบายเนื้อสบายตัวมาก ๆ และใส่กางเกงลายช้างขายาว
ดิฉันหลุดพูดออกไปว่า “เหมือนฝรั่งตรอกข้าวสาร”

ลูกเสียงเย็น และบอกว่า “หม่ามี้เหยียดเหรอ ?”
อิแม่ก็งงสิคะ ? เหยียดอะไรอ่ะ ? ไม่ได้เหยียด แค่งง

พอนึกได้ ก็คุยกับลูกดี ๆ ว่า
“ไม่ได้เหยียด คือ แม่ไม่ได้หมายความว่า เหมือนฝรั่งตรอกข้าวสารมันไม่ดี  แค่งงไง ว่าเดี๋ยวนี้ แต่งแบบนี้ แล้วมานอนปักหลักอ่านหนังสือที่มหาลัยได้เหรอ  มันแค่ดูกันเองมากไปหน่อยสำหรับคนรุ่นแม่ ?”
    

3.ใช้คำพูดหยาบคายกว่าสมัยก่อนมาก  แต่ก็อ่อนไหวต่อคำว่า bully มากเช่นกัน

  อันนี้ อาจจะฟังดูย้อนแย้งเช่นกัน คือ เส้นจี๊ดของเด็กรุ่นใหม่ ไม่ได้อยู่ที่คำหยาบ แต่อยู่ที่การเยาะเย้ยความต่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความต่างเชิงกายภาพ เช่น อย่าถามถึงเรื่อส่วนตัว อย่าวิจารณ์เรื่องรูปร่างหน้าตา 

  ถามว่า มันดีไหม ? ก็ต้องตอบว่าดีนะคะ วัฒนธรรมเหน็บกัดกันที่รูปร่างหน้าตาแรง ๆ แบบคนแต่ก่อนนี่ มันไม่ได้ดีนักหรอก
แต่บางที ขอบเขตของการ “ห้ามข้ามเส้น” นี่มันเกินกว่าคนรุ่นเก่าจะเข้าใจ

  เช่น ถามว่าเรียนที่ไหน ทำอะไรอยู่ ? = กดดัน
  ถามว่า อุ้ย หน้าเป็นสิว แพ้อะไรมารึเปล่า ? = บุลลี่
  อ้าว ทำไมทำผมสีนี้ = หัวหนู (วงเล็บ ป้าอย่าเฉือก)

เม่าเซย์โน

  แต่ในขณะเดียวกัน เด็กรุ่นนี้ กลับรู้สึกเฉย ๆ กับคำว่า เฉือก   e ด็อก e แสด หรือ กรู ๆ มุง ๆ  ไอเฮีย ไอห้า เป็นเรื่องปกติมาก และมันไม่ได้หยาบคาย(ขนาดนั้น) เลยข่ะ
  ในวงสนทนาของคนต่างเจน บางทีมันเลยมี dead air อยู่บ่อย ๆ บางที ผู้ใหญ่เป็นฝ่ายเกร็งนะคะ เพราะไม่รู้จะถามคำถามถูกใจไหม ? ไม่อยากโดน quote ไปออก twitter แบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว

4.โลกเสมือนมีอิทธิพลกับชีวิต ความคิดและความรู้สึกมากจนคนรุ่นก่อนไม่เข้าใจ
  คำถามหน้าเว็บบอร์ด ปรึกษาเรื่องความสัมพันธ์ แต่อ่านไปอ่านมา
อ้าวนี่เป็นแฟนกัน 2 ปี ทางแชท ยังไม่เคยเจอหน้ากันเลย
    มันนับเป็นแฟนกันได้จริง ๆ ใช่ไหม ?

5.เริ่มชีวิต (อย่างเป็นทางการ) ช้า  
  เคยฟัง coach เรื่องความสัมพันธ์ของฝรั่ง เค้าบอกว่า คนสมัยก่อนนู้น จีบกัน คุยกัน เดทกัน แต่งงานกัน แล้วจึงมีเพศสัมพันธ์กัน
  คนสมัยนี้ จีบกัน เดทกัน มีเพศสัมพันธ์กัน แล้วแต่งงาน พอแต่งงานปุ๊บ เลิกมีเพศสัมพันธ์กัน

  อ้าว ???

  คนแต่ก่อน อายุ 25 - 26 บางคนลูกสาม ออกติดตามสามีในฐานะภรรยาผู้ช่วยทูตไปต่างประเทศแล้ว 20 กลาง ๆ ถือว่าเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้ว แต่สมัยนี้ 30 ก็ยังถือว่าเด็กอยู่ 

  คนไม่แต่งงาน ไม่ได้แปลว่า ไม่มีชีวิตคู่ เพียงแต่เป็นช่วงของการลอง และยังไม่ถือว่าเป็นทางการ
  ทำไมถึงไม่เป็นทางการซะที ?
  เก็บเงินแต่งงานอยู่ 
  ใครว่า คนสมัยนี้ชีวิตไม่ยาก ? มันยากนะ  ระหว่างเก็บเงินด้วยกันนี่ต้องแพลนงานแต่งให้ครบตามสูตรด้วย  (มีธีมแต่งงาน มีสีที่เพื่อนเจ้าบ่าวเจ้าสาวต้องแต่งตาม มี after party โยนดอกไม้ และ #$*!(@)#) ) 

  ระหว่างนั้น ถ้าใครเกิดว่อกแว่ก จะกลายเป็นว่า “ไม่เป็นไร ? ยังไม่ได้แต่งจริง ๆ”
เม่าตาสว่าง  

  แล้วพอแต่งจริง เรื่องที่ควรตื่นเต้น สนุก และน่าลุ้นอย่างเพศสัมพันธ์ กลับเป็นเรื่องเคร่งเครียด เรื่องที่ต้องจริงจังและวางแผน เพราะ “ต้องรีบมีลูกแล้ว”

6.ถ้าบอกว่า “คุยกัน” แปลว่า “จีบกัน” ไม่ได้แปลว่าเป็นแฟน  แต่คนรุ่นเก่าจะงงว่า คุยอะไรกันตั้ง 2 ปีกว่า แล้วยังไม่ใช่แฟนอีกหรือ ?

7.คนสมัยใหม่เล่น twitter เล่น facebook ถือว่าเป็นคนแก่ 

8. คนรุ่นใหม่อ่านหนังสือน้อย (ไม่เกิน 8 บรรทัด)
    อันนี้ ขอเถียงค่ะ คนรุ่นไหน ๆ ก็ชอบอ่านหนังสือกันทั้งนั้นแหละค่ะ
เพียงแต่ format มันจะต่างออกไป

    คนสมัยนี้อ่านเยอะ เพียงแต่จะอ่านผ่านหน้าจอ  และการอ่านจะกระจาย ไม่มีการทนอ่านอะไรเป็นเล่ม ๆ เหมือนแต่ก่อน (เว้นเสียแต่ว่า มันจะสนุกจริง ๆ อย่าง Harry Potter) เพราะงั้น การทำ infographic หรือ การสรุปความแบบ one-page note เลยเป็นเรื่องสำคัญในการเข้าถึงคนรุ่นนี้มาก

    ตอนนี้ ที่กำลังฮิตมากคือ บริการย่อหนังสือที่ดีและดัง ให้สั้นและรวบเนื้อหาให้เข้าใจได้แบบสั้น ๆ เหมาะสำหรับคนที่ต้อง update เนื้อหาใหม่ ๆ และต้องการ stay tuned  กับเนื้อหาวิชาความรู้ กระแสที่กำลังนิยมตลอดเวลา
    บางเพจโฆษณาด้วยซ้ำว่า แทนที่จะอ่าน 8 ชั่วโมง เราย่อให้เหลือแค่ 15 นาที
    อืม ? ดีไหม ? ก็สะดวกนะคะ แต่เราจะมองหนังสือเล่มนั้น ผ่านการตีความและสรุปใจความของคนย่อสิคะ ?

     tiktok และ reels มีส่วนอย่างมากที่กำหนดรูปแบบการสื่อสารว่า ต้องสั้นไม่เกิน 15 วิ และต้องตรึงความสนใจให้ได้ในเวลาเท่านั้นด้วย
การค่อย ๆ ซึมซาบและย่อยเนื้อหาด้วยตัวเองมันจะลดลงไปเรื่อย ๆ เราอาจจะกำลังรับเนื้อความผ่าน lens หรือเทคนิคการ present ที่ผู้นำเสนอออกแบบไว้
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่