เห็นนิมิต เห็นอดีต เห็นอนาคต เห็นกฎแห่งกรรม ภาค 4

ในกระทู้นี้เราจะบอกเล่าความเข้าใจของเราในเรื่อง อัตตาหรือตัวตน กันบ้าง เพราะผู้ที่เดินทางสายนี้ส่วนใหญ่มักจะคุ้นเคย และเคยได้ยินคำนี้อยู่บ่อยๆ เพราะบางคนอาจจะได้รับคำแนะนำจากบุคคลอื่นมาว่า "ให้ทิ้งอัตตาของตนเสีย "หรือ"ให้ลดอัตตาของตนลงบ้าง"  "ให้ถอดออกตัวตนออกบ้าง " เป็นต้น

เราเองก็เช่นกันที่เคยได้ยินได้ฟังคำว่า อัตตาหรือตัวตน มาค่อนข้างบ่อย และในกระทู้หลักธรรม ข้อคิด ของเราก็มีสมาชิกท่านนึง ได้มาแสดงความคิดเห็นและแนะนำเราในเรื่องนี้เช่นเดียวกัน

ทีนี้เราขออธิบายความเข้าใจของเราเกี่ยวกับ อัตตาหรือตัวตน นี้ให้ฟังก่อน ในความเข้าใจของเราคำว่า อัตตาหรือตัวตน นี้หมายถึง ทุกๆสิ่ง ทุกๆอย่าง ที่เราคิดว่าเป็นของเรา ไม่ว่าจะเป็น บุคคล สัตว์ สิ่งของ หรืออะไรก็แล้วแต่ ที่เราคิด และไปยึดมั่น ถือมั่น ว่าเราเป็นเจ้าของ มีความรู้สึกรัก มีความรู้สึกหวงแหน ต้องการปกป้อง ครอบครอง และไม่อยากจะสูญเสียมันไป

ทีนี้มาดูสิ่งที่เป็น อัตตาเป็นตัวตน ของเราที่เรามีในชีวิตของเรากันบ้าง สิ่งแรกเลยที่มนุษย์ทุกคนเกิดมาต้องมีคือ พ่อแม่ "พ่อแม่ของเรา " แต่เราเกิดมาไม่มีพ่อแม่ ( หมายถึงไม่ได้อยู่กับท่าน พวกท่านไม่ได้ดูแลเลี้ยงดูเรามา ) เราไม่ได้มีความรู้สึกรัก ไม่ได้มีความรู้สึกผูกพันธ์ จึงทำให้เราไม่ได้ไป ยึดมั่น ถือมั่นว่า ท่านเป็นพ่อแม่ของเรา เราแค่รู้เฉยๆ ว่า บุคคลนี้เป็นพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดเรา

ดูได้จากการกระทำของเราที่เราเขียนเล่าไว้ในกระทู้ หลักธรรม ข้อคิด ของเราที่แม่เรากับพ่อเลี้ยงทำบางอย่างที่ไม่ถูก ไม่ควร ทำให้ญาติเราคนอื่นๆและน้องๆเราต้องเดือดร้อน เราซึ่งเป็นพี่คนโตก็ต้องลงไปจัดการแก้ไข เราก็จัดการไปตามความเหมาะสมและดูความถูกต้อง ไม่ได้คิดที่จะทำอะไรลำเอียงเข้าข้างท่าน เพราะเห็นว่าท่านเป็นแม่ของเรา

ถัดมาก็มาดูกันที่สิ่งของ ข้าวของเครื่องใช้ ตอนเป็นเด็กเราแทบจะไม่มีอะไรเป็นของเราเองเลย เสื้อผ้า รองเท้า ของใช้เกือบทุกอย่างของเราตอนเป็นเด็ก จะได้รับของมือสอง มือสามมาจากพวกพี่ๆเราเสมอ

เวลาเราเอาไปใช้ พอเจ้าของตัวจริงเขามาเห็น มาเจอ แล้วเขาจำได้ เขาก็จะชอบมาพูดว่า อันนี้ของเขา สิ่งนี้เป็นของเขา ซึ่งเราก็ไม่เคยปฎิเสธได้เลยสักครั้ง เพราะมันคือความจริง ความจริงที่ว่าไม่มีอะไรเป็นของของเราเลย มีแต่ของเขาทั้งนั้น

แต่มันก็ใช่ว่าเราจะไม่เคยมีความคิด มีความรู้สึก มียึดมั่นถือมั่น กับสิ่งที่เราที่เราคิดว่าเป็นอัตตาที่เป็นตัวตนของเราเลย มีอยู่ครั้งนึงตอนเป็นเด็ก เราเถียงกับพี่ชายและพี่สาวเราที่ถูกเลี้ยงมาด้วยกันกับเรา เรื่องของย่า

ตอนนั้นเราบอกพวกเขาว่า ย่าเป็นย่าของเรา ( หมายถึงเราเป็นเจ้าของ ) แต่พี่ชายกับพี่สาวเราเถียงกลับมาว่า ย่าเป็นย่าเราก็จริง แต่เป็นแม่เฒ่าของพวกเขา ( แม่เฒ่า คือ ยาย ในภาษาใต้ ) และพวกเขาก็แสดงออกถึงความเป็นเจ้าของเช่นเดียวกัน

พวกเราก็เถียงกันไป เถียงกันมาอยู่พักใหญ่ แต่ก็ไม่มีใครชนะ เพราะมันก็เป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้เช่นกัน ว่าย่าของเราก็เป็นแม่เฒ่าของพวกเขา พอเราเถียงไม่ชนะ ก็ไปหลบร้องไห้อยู่พักใหญ่ ด้วยความไม่ได้ดั่งใจ เพราะเราอยากให้ย่าเป็นของเราคนเดียว แต่ว่าย่าไม่ได้เป็นย่าของเราคนเดียวแต่เป็นแม่เฒ่าของพวกเขาด้วย 

เพราะความไม่สมบูรณ์แบบในชีวิตวัยเด็ก ทำให้เราเป็นคนที่ไม่ค่อย ยึดมั่น ถือมั่น กับอะไรเลยก็ว่าได้ เพราะมันไม่มีอะไรให้เรายึดว่าเป็นของเราเลย บ้านที่เราอาศัยอยู่กับย่าตอนเด็กๆก็ไม่ใช่บ้านเรา เป็นบ้านลุงของเราที่เราไปอาศัยเขาอยู่

ที่ดินที่เป็นมรดกของพ่อเราที่ย่าบอกว่าจะยกให้เราแต่ว่าโฉนดมันติดชื่อป้าเราอยู่ทำให้มีแต่ปัญหามาตลอด เราก็ไม่เคยคิดว่ามันเป็นของเรา เพราะตามกฎหมายแล้วมันไม่ใช่

มีเงินสร้างบ้านให้พ่อให้แม่แต่เราก็ไม่เคยได้กลับไปอยู่ เพราะตอนนี้แม่เราอยู่กับพ่อเลี้ยงและครอบครัวใหม่ของแก เราก็ไม่เคยคิดว่าบ้านหลังจากนั้นเป็นบ้านของเรา

เวลาเรากลับบ้านไป เราก็ไปอาศัยบ้านญาติเราอยู่เหมือนเดิม เพราะไม่อยากไปยุ่งวุ่นวายกับครอบครัวใหม่ของแม่แก ทำงานเก็บเงินได้ก็ซื้อรถมอไมค์เป็นของตัวเองคันนึง แต่พอเราต้องมาอยู่ต่างประเทศเราก็ขายให้ป้าเราถูกๆ เพราะรถเรายังสภาพดี ยังใช้ประโยชน์ได้อีกนาน และไม่เคยคิดเสียดายของ

เสื้อผ้าเครื่องใช้อะไรต่างๆ ของเราที่ยังสภาพดี เราก็จะขนไปแจกจ่ายให้หลานๆเราต่อ ไม่เคยคิดเสียดายว่าเราเคยซื้อมันมาในราคาแพงแค่ไหน คิดแต่เพียงว่า ถ้าเราไม่ได้ใช้ประโยชน์จากมันแล้ว เอาไปให้คนอื่น เขาอาจจะได้ใช้ประโยชน์จากมันมากกว่า

เพราะเราคิดอยู่เสมอ ว่าเราได้รับสิ่งใดจากคนอื่นมา เราก็อยากจะส่งต่อสิ่งที่เราเคยได้รับ ให้กับคนอื่นๆเสมอเมื่อมีโอกาส และสิ่งที่เราให้จะต้องเป็นของดีและมีประโยชน์

เราจะไม่ให้ของไม่ดีกับคนอื่นเป็นอันขาด เพราะเราคิดเสมอว่าตอนที่เราเป็นผู้รับ เราก็อยากจะได้รับแต่ของดีๆ คนอื่นที่เขาเป็นผู้รับ เขาก็อยากจะได้รับแต่ของดีๆเช่นกัน

ด้วยเหตุที่ในวัยเด็กเราไม่ค่อยมีสิ่งที่เราสามารถ ยึดมั่น ถือมั่น ให้เรายึดเป็นอัตตาเป็นตัวตนของเราได้ ทำให้ในวัยผู้ใหญ่ของเรา เราก็ไม่ค่อยมีความยึดมั่น ถือมั่นกับอะไรด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น แฟนเรา สามีเรา ลูกเรา

เราไม่เคยคิดว่าพวกเขาเหล่านั้นเป็นของเราเลย แต่ถามว่าเรามีความรู้สึกรัก ความรู้สึกหวงแหน ความรู้สึกอยากปกป้องมั๊ย เราก็ยอมรับว่าเราก็มีความรู้สึกนั้นเป็นธรรมดา แต่เราไม่เคยมีความคิดที่รู้สึกถึงความเป็นเจ้าของ หรือคิดว่าสามารถยอมทำทุกอย่างทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ครอบครอง หรือไม่ให้สูญเสียพวกเขาไปได้

เรามีกรอบมีขอบเขตความคิด และการกระทำของตัวเอง คือเราจะไม่พูด ไม่ทำอะไรให้ตนเองหรือคนอื่นต้องเดือดร้อน ซึ่งบางครั้งถ้าเลือกได้เราจะยอมเดือดร้อนเอง ยอมเสียสละเอง แต่จะไม่ยอมทำให้คนอื่นต้องมาเดือดร้อนเพราะการกระทำที่เห็นแก่ตัวของเรา

นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เราสามารถ ปล่อยวางได้ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะสำคัญมาก และเราจะรักมากขนาดไหน เราก็ยอมทิ้งตัวตนของเราไปได้ ถ้ามันเป็นเหตุให้เราเลือกว่าจะรักษามันไว้ได้แต่ต้องแลกด้วยการทำร้ายคนอื่นเราก็จะไม่ทำ

เมื่อเราทำเช่นนั้นบ่อยๆ เห็นเช่นนั้นบ่อยๆมันก็จะทำให้เราเห็นความจริง 3 อย่างคือตัว อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ให้เรารู้ว่าทุกๆสิ่งทุกๆอย่าง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปในที่สุด

สิ่งของเครื่องใช้ทุกๆอย่างที่เราได้มา ไม่ว่าจะได้มาจากการรับเอามาจากคนอื่นก็ดี หรือซื้อมาด้วยตัวเองก็ดี มันก็จะอยู่กับเราและให้เราได้ใช้ประโยชน์จากมันแค่ช่วงเวลานึงเท่านั้น หลังจากนั้นมันก็อาจจะแตก หัก ผุพัง บุบสลายไปตามกาลเวลา หรือมันอาจจะหมดประโยชน์กับเราไปแล้ว

ตอนที่มันยังอยู่กับเรา เราควรจะหาประโยชน์ ทำประโยชน์จากมันให้ได้เต็มที่ ดูแลรักษามันให้ดีที่สุด เพื่อที่มันจะได้ให้ประโยชน์เราไปได้นานๆ หลังจากนั้นที่เราได้รักษามันไว้และใช้ประโยชน์กับมันจนคิดว่าคุ้มค่าที่สุดแล้ว เวลาที่มันพังไป

หรือมันหมดประโยชน์กับเราแล้วและต้องยกให้คนอื่นไปเราจะได้ไม่ต้องมานั่งเสียดาย เพราะอาลัยอาวรณ์กับสิ่งที่หาประโยชน์อะไรไม่ได้แล้ว มันก็เท่ากับเราทำสิ่งที่ไร้ประโยชน์เสียเวลาเปล่าๆ

กับบุคคลเราก็ทำเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็น แฟนเรา สามีเรา ลูกเรา พ่อแม่เรา บุคคลที่เรารัก ที่เราคิดว่าคนๆนั้นสำคัญกับเรา เรามีโอกาสได้มาพบเจอกับพวกเขา ได้ทำความรู้จักได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันแค่ช่วงเวลานึง สุดท้ายแล้วเราก็ต้องจากกันไป ไม่ว่าจะเป็นการจากเป็น หรือจากตายก็ตาม

เราจะให้ความสำคัญกับพวกเขาแค่ช่วงเวลาที่ได้อยู่ด้วยกันเท่านั้น และใช้เวลาช่วงนั้นทำทุกสิ่งที่เราทำได้ พูดทุกอย่างที่เราอยากบอก ที่เราคิดว่าเราทำดีที่สุดแล้วโดยไม่เคยรีรอ เพราะเราไม่รู้ว่าเรามีเวลาอยู่กับพวกเขาอีกนานเท่าไหร่ อาจจะแค่วันนี้

เพราะเราได้ผ่านช่วงเวลาที่เกือบจะสูญเสียคนที่เรารักไปอย่างกะทันหันมาแล้วหลายครั้ง เราจึงไม่เคยรอให้เวลามันผ่านไป และเมื่อถึงวันที่ต้องจากกันเที่ยวมานั่งโทษตัวเองอยู่ ว่าตอนที่เขามีชีวิตอยู่ ตอนที่ยังมีเวลาได้อยู่ด้วยกัน เราไม่เคยดูแล ไม่เคยใส่ใจ ไม่เคยให้ความสำคัญ

เพราะเมื่อถึงวันที่ต้องจากกัน ต่อให้เรามีเงินมากมายแค่ไหน เราก็รู้ว่าเราจะไม่สามารถกลับไปหาเขาได้ ต่อให้เราพูดให้เสียงดังขนาดไหน เขาก็จะไม่ได้ยิน ต่อให้เราทำดีแค่ไหน เขาก็จะไม่มารับรู้การกระทำของเราอีกแล้ว เพราะมันสายไปแล้ว

ทีนี้เรามาเล่าถึง อัตตาตัวตน สุดท้าย คือ ตัวกูของกู เมื่อเราคิดว่าเราสามารถ ละ และปล่อยวางทุกอย่างได้แล้ว และเราพร้อมที่จะ ตาย ได้ทุกเมื่อ ทุกที ทุกเวลา 

มาดูร่างกายของเรานี้กันค่ะ ตั้งแต่เล็กจนโต เรามีแต่ป่วย มีแต่โรค จนญาติๆเราบางคนก็เรียกเราว่า อีโรค อีขี้โรค ชีวิตวัยเด็กคนรอบข้างก็มีแต่เกลียดชัง จนเรามีความคิดและได้กระทำการ ฆ่าตัวเอง มาแล้วตั้งแต่เป็นเด็ก คุณคิดว่าเรามีความยินดีในร่างกายที่มีแต่โรคภัยนี้มั้ยล่ะค่ะ และชีวิตที่มีแต่คนเกลียดชัง ชีวิตที่ตนเองคิดว่า พ่อแม่ ก็ไม่ต้องการ ถูกทิ้งขว้างให้คนอื่นเลี้ยงดู

โตมาก็ยังมีแต่ความขี้โรค และหน้าตาก็ขี้ริ้วขี้เหร่อีกต่างหาก ไม่มีเลยค่ะ เราขอยอมรับความจริงว่าเราไม่มีความยินดีในร่างกายนี้เลย มันถึงเป็นเหตุให้เรามีความคิดไม่อยากจะมีชีวิตอยู่บนโลกนี้มาตั้งแต่เด็ก

คิดถึง และเฝ้ารอให้วันนี้เป็นวันสุดท้ายของตัวเอง เพื่อไม่อยากจะตื่นมาลืมตาดูโลกนี้อีก โลกที่มีแต่ความทุกข์ ตั้งแต่เกิด จนตาย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่