คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 23
สำหรับพาหิยสูตร... ที่มีคนยกมาแสดงว่า " พระอรหันต์นั้นขาดสูญ "...
ผมจะบอกว่า...บาลีในฉบับสยามรัฐ..มีการบันทึกที่ต่างไปจากฉบับนนาชาติ...ครับ
ตรงข้อความนี้.... การบันทึกที่ต่างไปนี้..ส่งผลให้ผู้ที่มีทิฏฐิความขาดสูญ..ได้ใจว่าตนคิถูก
นี่คือบาลีในฉบับสยารัฐ
ตโต ตฺวํ พาหิย นตฺถิ ยโต ตฺวํ พาหิย เนวตฺถิ ตโต ตฺวํ พาหิย เนวิธ น หุรํ น อุภยมนฺตเร เอเสวนฺโต ทุกฺขสฺสาติ ฯ
ฉบับหลวงแปลออกมาได้ว่า...
ในกาลนั้น ท่านย่อมไม่มีในกาลใด ท่านไม่มี ในกาลนั้น ท่านย่อมไม่มีในโลกนี้ ย่อมไม่มีในโลกหน้า
ย่อมไม่มีในระหว่างโลกทั้งสอง นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์ ฯ
นี่คือบาลีในฉบับนานาชาติ
ตโต ตฺวํ พาหิย น เตน ยโต ตฺวํ พาหิย น ตตฺถ ตโต ตฺวํ พาหิย เนวิธ น หุรํ น อุภยมนฺตเร เอเสวนฺโต ทุกฺขสฺสาติ ฯ
ฉนับนานาชาติแปลออกมาได้ว่า..

นี่ฉบับเต็ม👉[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ผมจะบอกว่า...บาลีในฉบับสยามรัฐ..มีการบันทึกที่ต่างไปจากฉบับนนาชาติ...ครับ
ตรงข้อความนี้.... การบันทึกที่ต่างไปนี้..ส่งผลให้ผู้ที่มีทิฏฐิความขาดสูญ..ได้ใจว่าตนคิถูก
นี่คือบาลีในฉบับสยารัฐ
ตโต ตฺวํ พาหิย นตฺถิ ยโต ตฺวํ พาหิย เนวตฺถิ ตโต ตฺวํ พาหิย เนวิธ น หุรํ น อุภยมนฺตเร เอเสวนฺโต ทุกฺขสฺสาติ ฯ
ฉบับหลวงแปลออกมาได้ว่า...
ในกาลนั้น ท่านย่อมไม่มีในกาลใด ท่านไม่มี ในกาลนั้น ท่านย่อมไม่มีในโลกนี้ ย่อมไม่มีในโลกหน้า
ย่อมไม่มีในระหว่างโลกทั้งสอง นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์ ฯ
นี่คือบาลีในฉบับนานาชาติ
ตโต ตฺวํ พาหิย น เตน ยโต ตฺวํ พาหิย น ตตฺถ ตโต ตฺวํ พาหิย เนวิธ น หุรํ น อุภยมนฺตเร เอเสวนฺโต ทุกฺขสฺสาติ ฯ
ฉนับนานาชาติแปลออกมาได้ว่า..

นี่ฉบับเต็ม👉[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แสดงความคิดเห็น
" สัตว์ "ตอนที่ 70 :...พระอรหันต์ตายแล้วไปไหน? อันนี้เป็นปัญหาที่พระองค์ไม่ตอบ..เพราะว่าถามด้วยความเข้าใจผิด
จาก...กระทู้นี้ 👉👉👉พระไตรปิฎกเฉลยแล้ว พระอรหันต์สิ้นชีพแล้วไปไหน
สรุปแล้วไม่มีคำตอบ,...หรอก...เพราะว่าเข้าใจผิดที่ดันไปคิดว่า..พระอรหันต์..คือ...ขันธ์๕
นี้คือที่ผมอธิบายไว้
👇
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
คราวนี้มาดูการอธิบายของพระศาสดา.. ว่าทำไม่พระองค์ไม่พยากรณ์ว่า
" พระอรหันต์..ตายแล้วไปไหน "
อันนี้อ้างอิงจาก...กุตุหลสาลาสูตร 👉https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=18&A=9929&Z=9978
....
....(ท่านวัจฉะกล่าวว่า...เจ้าลัทธิอื่นๆ ที่มีชื่อเสียง...เขาพยากรณ์สาวกของเขาว่าตายแล้วไปเกิด
ในที่โน้น...ในที่นี้...
พระโคตมผู้เจริญ..ก็เช่นกัน...พยากรณ์สาวกของพระองค์...ว่าตายแล้วไปเกิดในที่โน้น...ในที่นี้...
แต่พอ.. สาวกที่เป็นพระอรหันต์...พระองค์กลับไม่พยากรณ์ นี่มันเพราะเหตุใด...ข้าพเจ้างง....)
...
...
แม้พระสมณโคดมนี้ก็เป็นเจ้าหมู่เจ้าคณะ เป็นคณาจารย์ มีชื่อเสียง มีเกียรติยศ เป็นเจ้าลัทธิ
ชนส่วนมากยกย่องว่าดี
แม้พระสมณโคดมนั้น ก็ทรงพยากรณ์สาวกผู้กระทำกาลกิริยาล่วงไปแล้วในอุปบัติทั้งหลายว่า
ท่านโน่นบังเกิดในภพโน้น ท่านโน่นบังเกิดในภพโน้น ดังนี้
และสาวกของพระสมณโคดมนั้น รูปใดเป็นบุรุษสูงสุด เป็นบุรุษยอดเยี่ยม ได้บรรลุความปฏิบัติอันยอดเยี่ยมแล้ว
พระสมณโคดมก็ทรงพยากรณ์สาวกรูปนั้น ผู้กระทำกาลกิริยาล่วงไปแล้วในอุปบัติทั้งหลายว่า
ท่านโน่นเกิดในภพโน้น ท่านโน่นบังเกิดในภพโน้น
ดังนี้เหมือนกัน..กลับไม่พยากรณ์(.....ตรงส่วนนี้...ผิดมาจากบาลีไทยเลย ซึ่งฉบันนานาชาติ...บาลีเป็น " น พฺยากโรติ "...
บาลีไทย...ตกคำว่า " น "...ก่อนคำว่า...พฺยากโรติ...ไป ไปดูฉบับนนาชาติที่ คหท-1...)
ยิ่งกว่านั้นพระสมณโคดมนั้นยังทรงพยากรณ์สาวกรูปนั้นอย่างนี้ว่า รูปโน้นตัดตัณหาขาดแล้ว
ถอนสังโยชน์ทิ้งเสียแล้ว ทำที่สุดแห่งทุกข์แล้วเพราะได้บรรลุเหตุที่ละมานะได้
โดยชอบ ดังนี้ ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพเจ้านั้น มีความเคลือบแคลงสงสัยแท้ว่า อย่างไรๆ ?
พระสมณโคดมก็ต้องทรงรู้ธรรมอันบุคคลพึงรู้ยิ่ง ฯ
[๘๐๐] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรวัจฉะ จริงทีเดียว ควรที่ท่านจะสงสัยเคลือบแคลงใจ
ความเคลือบแคลงเกิดขึ้นแล้วแก่ท่านในฐานะที่ควรสงสัย
ดูกรวัจฉะ เราย่อมบัญญัติความเกิดขึ้นแก่คนที่ยังมีอุปาทานเท่านั้น 👈..นี่คือสาเหตุที่ไม่ทรงพยากรณ์
หาบัญญัติแก่คนที่หาอุปาทานมิได้ไม่
ดูกรวัจฉะ ไฟมีเชื้อจึงลุกโพลง ไม่มีเชื้อหาลุกโพลงไม่ แม้ฉันใด
ดูกรวัจฉะ เราก็ย่อมบัญญัติความเกิดขึ้นแก่คนที่ยังมีอุปาทาน👈..นี่คือสาเหตุที่ไม่ทรงพยากรณ์
หาบัญญัติแก่คนที่หาอุปาทานมิได้ไม่ ฉันนั้นเหมือนกันแล ฯ
ว. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ สมัยใด เปลวไฟถูกลมพัด ย่อมไปไกลได้
ก็พระโคดมผู้เจริญจะทรงบัญญัติอะไรแก่เปลวไฟนี้ ในเพราะเชื้อเล่า ฯ
พ. ดูกรวัจฉะ สมัยใด เปลวไฟถูกลมพัด ย่อมไปไกลได้ เราย่อม
บัญญัติเชื้อ คือ ลมนั้น ดูกรวัจฉะ เพราะว่าสมัยนั้น ลมย่อมเป็นเชื้อของ
เปลวไฟนั้น ฯ
ว. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ สมัยใด สัตว์ย่อมทอดทิ้งกายนี้ด้วย ไม่
เข้าถึงกายอันใดอันหนึ่งด้วย ก็พระโคดมผู้เจริญ จะทรงบัญญัติอะไรแก่สัตว์นี้ใน
เพราะอุปาทานเล่า ฯ
พ. ดูกรวัจฉะ สมัยใด สัตว์ทอดทิ้งกายนี้ด้วย ไม่เข้าถึงกายอันใดอันหนึ่ง
ด้วย เราย่อมบัญญัติอุปาทาน คือ ตัณหานั่นแล ดูกรวัจฉะ เพราะว่าสมัยนั้น
ตัณหาย่อมเป็นเชื้อของสัตว์นั้น ฯ
จบสูตรที่ ๙
ใครผู้ใดไปแปลบาลีออกมาอย่างนี้... นี่มันเข้าใจผิด.. ไม่มีความรู้ในพระสัทธรรม
ที่ว่า
โหติ ตถาคโต ปรมฺมรณาติ วา
สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว...ย่อมเกิดอีก ๑
น โหติ ตถาคโต ปรมฺมรณาติ วา
สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว...ย่อมไม่เกิดอีก ๑
เนว โหติ จ น จ โหติ ตถาคโต ปรมฺมรณาติ วา
สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ...ย่อมเกิดอีกก็มี ย่อมไม่เกิดอีกก็มี ๑
โหติ น น โหติ ตถาคโต ปรมฺมรณาติ วา
สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ...ย่อมไม่เกิดอีกอีกก็หามิได้ ๑.
ก็เล่นไปแปลแบบผิด...ให้คำว่า " ตถคโต "...คือสัตว์...มันก็ขัดกับกุตุหลสาลาสูตร...นี้
ที่ว่า
" ดูกรวัจฉะ เราก็ย่อมบัญญัติความเกิดขึ้นแก่คนที่ยังมีอุปาทาน
หาบัญญัติแก่คนที่หาอุปาทานมิได้ไม่ ฉันนั้นเหมือนกันแล ฯ "...
ผู้ที่ยังมีอุปาทาน...ก็คือ " สัตว์ " ดังนั้นพระองค์บัญญัติว่า " สัตว์ย่อมเกิดอีก.. ภายหลังจากการตาย "
แต่...จะไม่พยากรณ์ใดๆ...ในคำถามที่ว่า " ผู้ที่ไม่มีอุปาทาน(พระอรหันต์)..ตายแล้วจะเป็นอย่างไร "...