JJNY : เพื่อไทยซัดประยุทธ์ทำกองทัพแดนสนธยา│‘ธนาธร’จับตา‘กสทช.’เคาะดีล│ผักแพงเท่าตัว!│ฟินแลนด์เตรียมสร้างรั้วกั้นชายแดน

เพื่อไทย ซัด ประยุทธ์ ทำกองทัพแดนสนธยา จี้หาต้นตอหักหัวคิวกู้ซื้อบ้านพักทหาร
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7324725
  
 
เพื่อไทย ซัด ประยุทธ์ ทำระบอบอำนาจนิยมในกองทัพแผ่ขยายเป็นแดนสนธยา จี้เร่งหาต้นตอหักหัวคิวเงินกู้ซื้อบ้านพักสวัสดิการทหาร ทวงถามสัญญาปฏิรูปกองทัพใน 90 วัน
 
เมื่อวันที่ 20 ต.ค.2565 น.ส.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวกรณีสื่อหลายสำนักเปิดโปงกระบวนการหักหัวคิวเงินกู้ซื้อบ้านพักสวัสดิการทหาร โดยมีอดีตนายทหารชั้นผู้น้อยและบริษัทผู้ประกอบการสร้างบ้าน เข้าให้ข้อมูล จนถูกข่มขู่ซ้ำอีกว่า เรื่องนี้เป็นปัญหาใหญ่ที่ถูกซุกไว้ใต้พรม แม้จะถูกเปิดโปงภายหลังเหตุโศกนาฏกรรมที่ จ.นครราชสีมา เมื่อปี 2563 แต่วงจรอุบาทว์นี้ยังคงวนเวียนกัดกร่อนสังคมไทย ไม่ถูกแก้ไขมาทุกวันนี้จนเกิดการร้องเรียนขึ้นอีก
 
คนไทยรู้สึกผิดหวังละอายใจที่ต้องรับฟังชุดคำตอบเดิมๆ จากผู้รับผิดชอบว่าเป็นการกระทำส่วนบุคคล ทั้งที่สาเหตุหลักของเหตุการณ์สลดที่เกิดขึ้น มีที่มาจากระบอบอำนาจนิยมภายในกองทัพ ที่ทหารชั้นผู้น้อยถูกเอารัดเอาเปรียบ ทั้งในมิติของอำนาจ ค่าจ้างและความเป็นมนุษย์ใช่หรือไม่
 
การกดขี่ทางชนชั้นของกองทัพ เป็นข้อเท็จจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ สะท้อนผ่านหลายกรณี เช่น ทหารรับใช้แรงงานฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย กำลังพลล่องหนใน กอ.รมน. หรือ คลิปการใช้อำนาจของผู้นำหน่วยขณะสั่งสอนทหารชั้นผู้น้อย ซึ่งยุคสมัยนี้ไม่ควรมีใครถูกกดทับด้วยอำนาจภายใต้เงินภาษีของประชาชนอีกแล้ว
 
น.ส.ลิณธิภรณ์ กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมา หน่วยงานภายใต้กระทรวงกลาโหม ถูกมองว่าเป็นดินแดนสนธยา ยากต่อการตรวจสอบจากหน่วยงานภายนอก จึงสงสัยว่าหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ อยู่ในอำนาจ ได้ส่งผลให้อิทธิพลของระบอบอำนาจนิยมแผ่ขยายมากขึ้นใช่หรือไม่ การกดขี่คนที่อยู่ต่ำกว่าโดยไม่สนใจกติกา เพราะถือว่าตนเองเป็นผู้ถือครองอำนาจ จึงยังคงทวีความรุนแรงขึ้นในทุกวันนี้
 
สอดรับกับการประเมินของสำนักงาน ป.ป.ช. เปิดเผยผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (Integrity and Transparency Assessment: ITA) ประจำปีงบประมาณ 2565 ตัวชี้วัดในด้านการป้องกันการทุจริต หน่วยงานที่มีคะแนน ITA ที่ถือว่าไม่ผ่านเพราะต่ำกว่า 85 คะแนน คือกองทัพบก 81.25 คะแนน โดยข้อมูลการประเมินชุดนี้ ประเมินจากบุคลากรภาครัฐ และประชาชนที่เคยติดต่อหรือรับบริการจากหน่วยงานภาครัฐ เข้ามามีส่วนร่วมกับการประเมินถึง 1,300,132 คน จึงไม่น่าแปลกใจที่กองทัพไทยวันนี้กำลังเจอวิกฤตศรัทธาจากประชาชน
 
น.ส.ลิณธิภรณ์ กล่าวอีกว่า ดังนั้น รัฐบาลต้องเร่งสืบสาวหาต้นตอ หาผู้รับผิดชอบ ไม่ใช่การผลักภาระไปที่ผู้ประกอบการหรือข้าราชการทหารชั้นผู้น้อย ต้องเข้าไปดูถึงชั้นระดับนายพลมีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่ ผู้นำประเทศอย่างพล.อ.ประยุทธ์ และยังควบรมว.กลาโหม ควรมีส่วนรับผิดชอบในเรื่องนี้ด้วย หากกองทัพไม่จริงจังสืบหาความจริงในเรื่องดังกล่าว จะส่งผลเสียต่อความน่าเชื่อถือของกองทัพในสายตาประชาชน และในสายตาของต่างชาติ ทหารต้องเป็นทหารมืออาชีพเหมือนในประเทศที่เจริญแล้วให้ได้
 
“คนไทยทุกคนยังคงจำคำมั่นสัญญาที่อดีต ผบ.ทบ.ให้ไว้ว่าจะปฏิรูปกองทัพภายใน 90 วันหลังเหตุโศกนาฎกรรมที่ จ.นครราชสีมา เมื่อต้นปี 2563 คำมั่นของชายชาติทหารในวันนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ได้ยินหรือไม่ หากไม่ได้ยินหรือจำไม่ได้ ขอให้จดจำเสียงร่ำไห้ของครอบครัวผู้สูญเสียจากเหตุโศกนาฏกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากความล้มเหลวที่ในยุคที่ท่านเป็นนายกฯ ด้วย” น.ส.ลิณธิภรณ์ กล่าว


 
'ธนาธร' จับตา 'กสทช.' เคาะดีลควบรวม 'ทรู-ดีแทค' หวั่นผูกขาด-ไม่เป็นผลดีต่อประชาชน
https://www.matichon.co.th/economy/news_3628208
 
‘ธนาธร’ จับตา ‘กสทช.’ เคาะดีลควบรวม ‘ทรู-ดีแทค’ หวั่นผูกขาด-ไม่เป็นผลดีต่อประชาชน
 
เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 20 ตุลาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. ประชาชนได้ออกมาเคลื่อนไหวบริเวณหน้าสำนักงาน กสทช. หลังเพจเฟซบุ๊ก สภาองค์กรของผู้บริโภค (สอบ.) ได้เผยแพร่ข้อความระบุว่า
 
รวมพลคนใช้มือถือ 20 ตุลาคม 9 โมง เจอกัน กสทช. ฟังคำตอบเคาะปิดดีลทรู-ดีแทค ลั่นดีลนี้กระทบคนทั้งประเทศ กสทช.ต้องเปิดเวทีรับฟังความเห็นประชาชน เนื่องจากวันนี้ คณะกรรมการ กสทช. มีวาระการประชุมพิเศษกรณีการพิจารณาการรวมธุรกิจระหว่างบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือทรู และบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค คาดว่าจะมีมติของคณะกรรมการ กสทช.สิ้นสุดในการประชุมครั้งนี้ หลังได้รับข้อมูลในการพิจารณาครบถ้วนแล้ว
  
นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า เปิดเผยว่า การรวมตัวของภาคประชาชน และกลุ่มภาคประชาสังคมหลายส่วนในวันนี้ เพื่อรอฟังผลการตัดสินการควบรวมกิจการระหว่างทรูและดีแทคของกสทช. ซึ่งยืนที่ชัดเจนคือ ไม่เห็นด้วยกับการควบรวมดังกล่าว เพราะอาจทำให้เกิดผู้เล่นในตลาดโทรคมนาคมของประเทศไทย จาก 3 รายเหลือเพียง 2 ราย ซึ่งอาจทำให้ค่าบริการแพงขึ้น แต่คุณภาพต่ำลง การแข่งขันลดลง ไม่เป็นผลดีต่อประชาชนผู้บริโภค และการพัฒนาอุตสาหกรรมโทรคมนาคมของประเทศไทย
 
โดยวันนี้คณะก้าวหน้าและพรรคก้าวไกล พร้อมยืนเคียงข้างประชาชน เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประชาชนและส่งเสียงดังๆ ว่า ไม่ต้องการเห็นการผูกขาดในธุรกิจโทรคมนาคม แต่อยากเห็นการแข่งขันที่จะนำไปสู่การให้บริการที่มีคุณภาพมากขึ้น การพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ และราคาที่ถูกลงสำหรับการเข้าถึงทั้งโทรศัพท์และเน็ตบ้าน
 
นายธนาธร กล่าวว่า ขณะนี้ มีงานวิจัยหลายชิ้นทั้งจากต่างประเทศ และกสทช. ทำการศึกษาเอง ที่บ่งชี้ให้เห็นว่า หากมีการควบรวมดังกล่าวเกิดขึ้น และราคามีแนวโน้มที่จะแพงขึ้น แต่คุณภาพมีแนวโน้มที่จะต่ำลง ทำให้ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับประชาชนอย่างแน่นอน คือ มีโอกาสที่เงินในกระเป๋าของประชาชนจะลดลง เนื่องจากค่าบริการแพงขึ้น เพราะต้องไม่ลืมว่าในปัจจุบันมีคนใช้ข้อมูลเพิ่มมากขึ้นทุกวัน
 
อาทิ การบริโภคข้อมูลข่าวสาร เสพความบันเทิงต่างๆ ที่ทำผ่านอินเตอร์เน็ตมือถือ จึงมีความสำคัญมาก ซึ่งผลกระทบที่ชัดมากที่สุดคือ ภาระค่าใช้จ่ายของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น เพราะทุกวันนี้ต้องไม่ปฏิเสธว่าการเข้าถึงข้อมูลคือ การเข้าถึงโอกาส แต่การที่เข้าไม่ถึงข้อมูลคือ การเข้าไม่ถึงโอกาส ทำให้เรื่องนี้เป็นเรื่องของความเหลื่อมล้ำที่หากการเข้าถึงข้อมูลแพงมากขึ้นเมื่อไหร่ คนจนจะมีโอกาสเข้าถึงความรู้ในโอกาสทางเศรษฐกิจได้น้อยลง
 
นายธนาธร กล่าวว่า ในกรณีที่หากมีการควบรวมแล้ว อาจทำให้มีผู้เล่น 2 ราย ที่สร้างการแข่งขันในด้านราคาและคุณภาพมากขึ้นนั้น ประเมินจากกรณีในต่างประเทศ ยิ่งมีการควบรวม อาทิ จาก 4 ราย เหลือ 3 ราย ราคาการใช้บริการจะปรับแพงขึ้น แม้อาจมีบางกรณีที่เมื่อเกิดการควบรวมแล้วราคาจะถูกลง แต่สิ่งที่สำคัญมากก็คือ ในประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่กว่าหรือเท่ากับประเทศไทย ไม่มีประเทศใดที่มีผู้ให้บริการ 2 รายเลย
 
ส่วนความกังวลว่า หากเหลือผู้ให้บริการ 2 ราย แต่ไม่มีความแข็งแกร่ง จนสุดท้ายเหลือผู้ให้บริการเพียง 1 รายนั้น มองว่าไม่เป็นความจริง เพราะหากย้อนดูปลายปี 2520 ธุรกิจกลุ่มสุรา 2 กลุ่มแข่งขันกันสูงมาก จนเกิดการควบรวมเหลือผู้เล่นรายเดียวที่ผูกขาดตลาดสุรามายาวนานกว่า 40 ปี จึงเชื่อว่าการแข่งขันกันจนเหลือผู้ให้บริการเพียงรายเดียว จะไม่เกิดขึ้นแน่นอน หากมีผู้ให้บริการ 3 รายในตลาด
 
นายธนาธร กล่าวว่า ทางออกคือ ฝ่ายบริหารเข้ามาหาผู้ซื้อรายใหม่ ซึ่งจะเกิดขึ้นจากเทเลนอร์ กรุ๊ป บริษัทแม่ของดีแทค มีมติให้ออกจากตลาดเอเซียทั้งหมด ไม่เฉพาะไทยเท่านั้น หากเป็นความต้องการแบบนี้ มีทางเลือกอื่นที่ไม่จำเป็นต้องใช้กลไกของกสทช. แต่สามารถใช้กลไกของฝ่ายบริหารได้ คือ หากนายกรัฐมนตรี เห็นว่าธุรกิจโทรคมนาคมมีความสำคัญ เป็นยุทธศาสตร์ใช้ในการพัฒนา 5G ในอนาคตของไทย สามารถเข้ามามีส่วนในการหาผู้ซื้อรายใหม่ได้อย่างการเดินทางไปต่างประเทศด้วยตัวเอง
 
เพื่อหาคู่ซื้อรายใหม่ ผลัดดันให้เกิดการเจรจาดึงผู้ให้บริการรายใหม่เข้ามาแทนได้ โดยภารกิจที่แท้จริงของกสทช. คือ เป็นผู้กำกับดูแลในด้านมาตรฐาน ราคา รวมถึงการปกป้องผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศไทย ซึ่งหลาวประเทศก็มีการทำ อาทิ สหรัฐอเมริกา Barack Obama ประธานาธิบดีในขณะนั้นก็ผักดันให้เกิดการเจรจา ให้ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติอเมริกาพวกรวมกับผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติอิตาลี รวมถึงญี่ปุ่น ที่เกิดการแข่งขันในธุรกิจโทรทัศน์จากเกาหลี จึงผลักดันให้เกิดการควบรวมเข้าด้วยกัน ซึ่งรัฐบาลญี่ปุ่นก็มาลงเล่นเองด้วย
 
“กรณีที่เกิดขึ้นในต่างประเทศคือ หากรัฐบาลเห็นว่าเซกเตอร์ใดหรือภาคส่วนไหนเป็นธุรกิจที่มีความสำคัญ เป็นยุทธศาสตร์ของประเทศ รัฐบาลจะเข้าไปแทรกแซงหรือเข้าไปมีส่วนร่วมในการผลักดันโครงสร้างของอุตสาหกรรมนั้นๆ ทุกรัฐบาล ทำให้ในกรณีนี้ความจริงไม่ต้องใช้กลไกของกสทช. ด้วยซ้ำ แต่รัฐบาลสามารถเป็นผู้ผลักดันหาผู้ซื้อรายใหม่เข้ามาซื้อหุ้นของเทเลนอร์ กรุ๊ป แทนได้ และมองว่าการเปรียบเทียบกรณีของต่างประเทศกับของไทย ไม่ได้แตกต่างกันด้วย เพราะบริบทไม่ต่างกัน เป็นการขายคลื่นความถี่หรือขายสัญญาณ และแปลงเป็นค่าบริการจากประชาชน แม้แน่นอนที่สุดว่า ในแต่ละประเทศจะมีบริบทของตัวเอง แต่หากพิจารณาถึงความเหมาะสมก็ต้องศึกษาจากกรณีบทเรียนจากประเทศต่างๆ ที่เกิดขึ้น” นายธนาธร กล่าว
 
นายธนาธร กล่าวว่า มติของกสทช. ในวันนี้ถือว่ามีความสำคัญกับอนาคตของประเทศไทยมากจริงๆ ไม่ใช่แค่กระเป๋าตังของผู้บริโภคเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของการพัฒนาธุรกิจโทรคมนาคมในอนาคตรวมถึงสิทธิข้อมูลส่วนบุคคลด้วย โดยหากถามกรณีเลวร้ายที่สุดที่จะเกิดขึ้น หากอนุญาตให้เกิดการควบรวมดังกล่าวขึ้น ก็อยากเห็นมาตรการที่ป้องกันไม่ให้เกิดการฮั้วราคา การป้องกันการผูกขาดตลาด
 
อาทิ การบังคับให้ต้องมีหลักเกณฑ์การออกใบอนุญาตการให้บริการมือถือลักษณะการเช่าโครงข่ายโทรคมนาคม (MVNO) ที่บังคับให้ต้องมีสัดส่วนนัยยะสำคัญในตลาดให้ได้ในกี่ปี หรือการขายคลื่นความถี่บางส่วนออกมา เพื่อให้เกิดการประมูลใหม่ ซึ่งมองว่าส่วนนี้เป็นมาตรการเชิงโครงสร้างที่ป้องกันการผูกขาดตลาดในอนาคตได้ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าหากเกิดการควบรวมเหลือผู้เล่น 2 รายในตลาดแล้ว การพยายามทำให้กลับมามีผู้เล่นเกิดขึ้นใหม่เป็น 3 รายถือว่ายากมาก และเป็นไปไม่ได้เลย เพื่อป้องกันความเสียหายและปกป้องผู้บริโภคจึงมองว่าไม่ควรให้มีการควบรวมเกิดขึ้นดีกว่า

“ปฏิเสธไม่ได้ ว่าองค์กรทางธุรกิจมีเป้าหมายในการทำกำไรสูงสุด แต่ในกรณีมีผู้เล่นในตลาดเพียงสองเจ้า กำไรสูงสุดจะไม่ได้มาจากการแข่งขัน แต่จะมาจากการไม่ลดราคา ผมขอเรียกร้อง กสทช. ว่าอย่าเห็นแก่ประโยชน์ของกลุ่มทุน ถึงเอกชนจะมีสิทธิเสรีภาพในการประกอบธุรกิจก็จริง แต่ กสทช. ก็มีหน้าที่ดูแลไม่ให้เสรีภาพนั้นไปทำร้ายประชาชนให้มีต้นทุนการใช้ชีวิตที่สูงขึ้นด้วย” นายธนาธรกล่าว
 
หลังให้สัมภาษณ์เสร็จสิ้น นายธนาธร ได้เข้าร่วมพูดคุยกับ น.ส.สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสภาองค์กรผู้บริโภค และเครือข่ายภาคประชาชนกลุ่มต่างๆ ที่มาร่วมกันจับตามติ กสทช. ในวันนี้ พร้อมให้กำลังใจน.ส.สารี ซึ่งกำลังถูกดำเนินคดีจากการเอาเอกสารผลการศึกษาที่ กสทช. ว่าจ้างเอกชนต่างประเทศให้ศึกษาผลกระทบจากการควบรวม มาเปิดเผยต่อสาธารณะ พร้อมระบุว่าสิ่งที่น.ส.สารีทำ เป็นเพียงการตรวจสอบการทำงานของหน่วยงานภาครัฐและปกป้องประโยชน์ของประชาชนเท่านั้น และผลการศึกษาที่ใช้เงินจากภาษีประชาชนก็ไม่ได้เป็นความลับ และควรมีการเปิดเผยต่อสาธารณะตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เพราะนี่คือพื้นฐานของสังคมประชาธิปไตยที่มีอารยะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่