อดีตหลอน ซ่อนอำมหิต (บทที่9)






บทที่ 9 รู้อยู่เต็มอก

         เสียงฝีเท้าของใครบางคนที่อยู่ด้านนอกทำให้การสนทนาของเราสองคนต้องสิ้นสุดลง น้าดาทำหน้าเลิกลักแล้วรีบหันมากระซิบที่ข้างหูผม

         "เราต้องหยุดคุยเรื่องนี้ได้แล้ว ฉันไม่อยากให้เดชได้ยิน"
 
         แล้วชายคนแรก คือน้าเดชก็ก้าวผ่านประตูเข้ามาส่วนชายคนที่สองยืนลังเลอยู่สักครู่ ก่อนจะเดินตามเข้ามาเช่นกัน น้าเอ้นั้นเอง มือขวาของเขากำปืนไรเฟิล ส่วนมืออีกข้างถือซากอะไรบางอย่างที่ดูเหมือนจะเป็นกวาง 

         "ได้อะไรมาบ้างคะ"

         "ผมน่ะเหรอ ไม่ได้สักตัวหรอก เอ้ต่างหากล่ะที่เป็นคนยิง ฮ้าๆๆ เอ้าไอ้หนู มาตั้งนานแล้วแต่ไม่ค่อยจะได้เห็นหน้าเลยนะแก"

         "ไม่ค่อยได้อยู่ติดบ้านน่ะครับ มัวแต่แวะไปหาเพื่อนเก่าๆ ว่าแต่ฝีมือยิงปืนของน้าทั้งคู่ยังไม่ตกเลยนะครับ"

         น้าเอ้หันมายิ้มให้ผมแล้วพูดเขินๆ 

         "แกก็พูดเกินไป นานๆทีน่ะ ยิงพลาดมาหลายวันแล้ว"

         "ไม่ต้องเป็นห่วง เย็นนี้แกได้ชิมฝีมือแกงเก้งของแม่แกแน่ รับรองอร่อยอย่าบอกใครเชียว"

         น้าเดชพูดสัพยอกอย่างอารมณ์ดี 

         "เอ่อ เห็นทีผมคงจะต้องขอตัวกลับก่อนแล้วล่ะ"

         "อ้าว จะรีบไปไหน จะไม่ดูพวกเราชำแหละเจ้าเก้งนี่ก่อนเหรอ"

         "ไม่หรอกครับ ป่านนี้แม่คงรอให้ไปทานข้าวเที่ยงพร้อมกันอยู่ ผมไปก่อนะน้าดาไว้เดี้ยวว่างๆผมจะแวะมาเยี่ยมใหม่ ไปก่อนครับน้าเดช น้าเอ้"

         แล้วก็เป็นไปอย่างที่ผมคาดไว้ โดยที่เมื่อผมกลับถึงบ้านก็เห็นแม่นั้งอมยิ้มอยู่บนเก้าอี้ตัวเก่ง 

         "ออกไปไหนมาเหรอ เอนกโทรมานะเห็นบอกว่ามีเรื่องด่วนให้ลูกโทรกลับด้วย"

         "ครับ ผมจะโทรเดี้ยวนี้"

         แต่ยังไม่ทันที่ผมจะยกหูโทรศัพท์ก็มีอีกสายหนึ่งโทรเข้ามาเสียก่อน

         "ฮัลโหลครับ"

.        "ฮัลโหล นั้นทีหรือเปล่าลูก นี่น้าดานะ"

         "ใช่ครับ"

         น้ำเสียงที่เธอพูดออกมา มันดูแผ่วเบาคล้ายกับไม่ต้องการให้ใครได้ยินนอกจากผม

         "คือเรื่องที่เราคุยกันเมื่อกี้น่ะ น้าเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามันยังมีเรื่องแปลกๆอยู่อีกเรื่องหนึ่ง แต่ไม่รู้ว่ามันจะเกี่ยวกับเรื่องที่เธอกำลังอยากรู้หรือเปล่า"

         "ว่ามาเลยครับ ผมรอฟังอยู่"

         "คือตอนที่มิ้นออกจากบ้านในคืนนั้นน่ะ โทรศัพท์มือถือของเธอ น้าเป็นคนหยิบใส่กระเป๋าสะพายให้เธอเองก่อนที่เธอจะออกไป ซึ่งเธอชอบลืมเป็นประจำและเรามักจะทำอย่างนี้เสมอเวลาต้องการจะติดต่อกับเธอ"

         "ครับผม แล้วยังไงต่อ" 

         "ตอนที่พบศพเธอ เธอก็สะพายกระเป๋านั้นอยู่ แต่โทรศัพท์กับหายไป เธออาจจะถือไว้จนมันตกน้ำ ไม่รู้สิ บางทีมันอาจไม่ได้มีความหมายอะไร"

         "ไม่หรอกครับ นั้นมีความหมายมากทีเดียว ขอบคุณที่โทรมาบอกนะครับ"

         "เธอจะจับไอ้คนที่ฆ่ามิ้นมาลงโทษได้ใช่ไหม"

         "ผมจะพยายามครับ"

         เมื่อวางสายจากเน้าดาผมโทรหาเอนกต่อทันที 

         "ฮัลโหล ว่าไงเพื่อน แม่บอกว่าแกโทรหาฉัน"

         "ก็เออน่ะสิวะ เมื่อไหร่แกจะหัดพกโทรศัพท์มือถือเหมือนอย่างคนปกติเขาบ้าง"

         "มีเรื่องคอขาดบาดตายอะไรเหรอวะ แกถึงได้ดูหงุดหงิดนัก"
 
         "มีสิ เรื่องนิษาน่ะ ฉันไปค้นประวัติแม่นั่นดูแล้ว เธอตายห่าไปตั้งไป4ปีแล้ว ที่สำคัญคือเธอเป็นลูกสาวคนเดียวไม่มีพี่น้องที่ไหน อ้าว หัวเราะอะไรวะ บ้าไปแล้วหรือไง"

         "เรื่องนี้เองเหรอ ฉันรู้แล้ว"

         "หมายความว่าไง รู้แล้วแต่แกไม่ยอมบอกฉันอย่างนั้นเหรอ"

         "ก็ฉันเพิ่งรู้เหมือนกัน กะว่าจะเข้าไปบอกแกพอดี แต่แกก็ดันโทรมาเสียก่อน"

         "ใช่สิ จริงๆแล้วแกต้องรู้เรื่องนี้ดีกว่าเพื่อน เพราะแกเป็นคนเดียวที่ได้เห็นหน้าแม่นั้น ไม่ว่ายังไงแกจะต้องสืบให้ได้ว่าหล่อนมีจุดประสงค์อะไรถึงได้ปลอมตัวเป็นนิษาแล้วมาปั่นหัวพวกเราอยู่อย่างนี้"

         "ไม่ใช่ตอนนี้ ฉันยังมีเรื่องอื่นให้ต้องไปทำอีก เพราะตอนนี้คดีของเรามีเหยี่อเพิ่มขึ้นอีกสองคนแล้ว" 

         "เรื่องอะไรอีกวะ"

         "มิ้น หลานสาวของฉันกับแฟนของนิษาที่ชื่อว่าอมรไงล่ะ ฉันเชื่อว่าคดีทั้งหมดนี้เชื่อมโยงกันและมีฆาตรกรแค่เพียงคนเดียว"

         "อืม ฉันก็ว่าเรื่องนี้มันชักแปลกๆ คงจะจริงอย่างที่นายพูด"

         "แล้วนายรู้ไหมว่าใครคือหัวหน้าทีมอาสาที่ทำงานในคืนนั้น"

         "ใครเหรอ ?"

         "น้าเอ้ไง"

         "อ้าว  แล้วมันเกี่ยวอะไรกันกับคดีนี้"

         "ฉันยังบอกอะไรตอนนั้ไม่ได้ เรื่องนี้มันมีอะไรที่ไม่ชอบมาพากลหลายอย่าง" 

         "แล้วนายจะเอาไงต่อ"

         "ก็ต้องสานต่อเรื่องนี้ให้จบ จะถอนตัวตอนนี้คงไม่ได้แล้ว"

         "อืม แต่ว่าฉันคงจะอยู่ช่วยนายต่อไม่ได้ เพราะพรุ่งนี้ก็ต้องกลับไปทำงานแล้ว นี่ก็กำลังเก็บเสื้อผ้าอยู่"

         "ไม่เป็นไรเพื่อน แค่นี้แกก็ช่วยฉันมามากพอแล้ว กลับไปทำหน้าที่ของแกเถอะ"

         "เฮ้อ ฉันขี้เกียจจะพูดกับแกแล้ว แค่อยากจะเตือนแกให้ระวังแม่นั้นเอาไว้ และอย่าได้ไว้ใจใครทั้งนั้น สุดท้ายนี้ขอให้แกรักษาตัวให้ดีนะเพื่อน ลาก่อน"

         "ขอให้แกดูแลตัวเองเหมือนกัน ลาก่อนเพื่อน"

ชิตชัย   "สรุปแล้ว นิษาคนที่ตายนั่นไม่เคยมีน้องสาวตามที่ผู้หญิงคนนั้นกล่าวอ้าง แล้วเธอเป็นใคร แล้วต้องการอะไร ผมว่าเรื่องนี้มันชักจะอีรุงตุงนังกันไปใหญ่"

ชลนที   "ทันทีที่คุณได้ฟังเรื่องนี้จนจบคุณจะเข้าใจมันอย่างแจ่มแจ้งเลยละ"

ชิตชัย   "ผมไม่เข้าใจเลยจริงๆ ตอนนั้นคุณไม่คิดจะทำอะไรเลยอย่างนั้นเหรอ"

ชลนที   "จะให้ผมทำอะไร"

ชิตชัย   "ก็ผู้หญิงที่อ้างว่าตัวเองเป็นน้องสาวของคุณนิษานะสิ มันดูไม่สมเหตุสมผลเลยที่คุณเลือกทำงานให้กับผู้หญิงที่หลอกคุณถึงสองครั้งสองครา โดยที่ไม่สงสัยในประวัติและจุดประสงค์ของเธอเลย"

ชลนที   " คุณคงจำที่ผมเพิ่งเล่าไปเมื่อกี้ไม่ได้ที่เพื่อนผมบอกว่า " นายเป็นคนเดียวที่รู้เรื่องนี้ดีที่สุด เพราะเป็นเพียงคนเดียวที่ได้เห็นหน้าเธอ " น่ะ " 

ชิตชัย   "หมายความว่าไง"

ชลนที   "คุณเชื่อเรื่องวิญญานไหมครับคุณนักเขียน"

ชิตชัย   "ไม่ ผมไม่เชื่อเรื่องภูตผีวิญญานอะไรนั่นหรอก ถึงผมจะชอบเขียนเรื่องผีเป็นชีวืตจิตใจก็เถอะ ว่าแต่มันเกี่ยวอะไรกับเรื่องที่คุณจะเล่าเนี่ย"

ชลนที   "ก็เพราะใบหน้าของผู้หญิงที่ว่าจ้างผมให้สืบคดีนี้ มันคือคนเดียวกันกับ นิษา คนที่เสียชีวิตไปแล้วยังไงล่ะ"

ชิตชัย   "นี่คุณจะบ้าไปแล้วหรือไง คุณกำลังจะบอกว่าผีมาว่าจ้างให้คุณสืบคดีที่ตัวเองถูกฆ่าอย่างนั้นเหรอ"

ชลนที   "ไม่มีทางที่จะคิดเป็นอย่างอื่นได้เลยครับ"

ชิตชัย   "นี่มันชักจะเลอะเทอะไปกันใหญ่แล้ว คุณจะแน่ใจได้อย่างไรเวลาผ่านไปนานขนาดนั้น เธออาจเป๊นแค่คนที่หน้าคล้ายกันก็ได้"

ชลนที   "ตอนแรกผมก็ไม่ได้เชื่อสนิทใจ แต่พอได้เปรียบเทียบจากรูปถ่ายของเธอที่ได้จากนายแตง และยิ่งได้ยินจากน้าดาคนที่ไม่มีวันจะโกหกผมแน่ ก็ยิ่งทำให้มั่นใจได้เลยว่าจะเป็นใครอื่นอีกไม่ได้นอกจากเธอเท่านั้น"

ชิตชัย   "เฮ้อ ! ถึงผมจะทำใจให้เชื่อเรื่องนี้ได้ลำบากแค่ไหน แต่ก็เอาเถอะ เชิญคุณเล่าต่อแล้วกัน"
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่