บทที่ 4 ชายลึกลับ ผู้นำหน้าไปหนึ่งก้าว
ชิตชัย "ฝันถึงเรื่องเดิมงั้นเหรอ ?"
ชลนที "ใช่ แต่คราวนี้ต่างออกไปหน่อย"
หลังจากที่ได้แผนที่จากนิษา ผมก็ออกเดินไปเรื่อยๆ จนถึงป่าทึบที่ผมพบกับน้าเอ้เมื่อคราวที่แล้ว แต่ครั้งนี้ไม่เจอ ผมหยุดยืนอยู่ตรงที่น้าเอ้ขุดหลุม ตรงนั้นยังมีรอยดินกลบอยู่เลย ผมเริ่มมองไปรอบๆพลันสายตาก็ไปสะดุดเข้ากับสิ่งๆหนึ่ง มันคือนาฬิกาข้อมือของผู้ชาย แต่ในขณะที่ผมกำลังจะเอื้อมมือไปหยิบนาฬิกานั่นขึ้นมาดู ก็รู้เหมือนมีมือที่เย็นเฉียบมาจับที่ข้อเท้าทั้งสองข้างของผมแล้วดึงให้จมลงไปข้างล่าง ผมพยายามตะกุยตะกาย แต่ก็ไม่สามารถต้านทานแรงมือนั้นได้เลย ผมเริ่มหายใจไม่ออก มันดึงผมลงไปเรื่อยๆจนเกือบจะจมดินอยู่แล้ว แล้วทันใดเสียง ก็อก! ๆๆๆ ก็ทำให้ผมสะดุ้งตื่น แม่นั่นเองที่มาเคาะประตู ผมนอนลืมตาโดยที่มีเหงื่อชุ่มโชกไปทั้งตัวเหมือนกับคนที่เพิ่งอาบน้ำมาใหม่ๆ
"นที นที ตื่นหรือยังลูก ไหนบอกว่าจะออกไปข้างนอกแต่เช้าไง นี่มันสายมากแล้วนะลูก"
"ครับ ผมจะออกไปเดี้ยวนี้แหละ"
ผมรีบลุกขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวกินข้าวแล้วรีบไปที่รถทันที
"แน่ใจนะว่าไอ้นี่มันยังขับได้อยู่"
"ได้สิ แม่เคยขับไปส่งลูกที่โรงเรียนตลอดลูกจำไม่ได้หรือไง"
"นั่นมันนานมากแล้วนะแม่"
"555 ไม่ต้องห่วงหรอกน่าน้าเอ้เค้าดูแลอยู่ตลอดแหละ ว่าแต่แกจะออกไปไหนเหรอ ถึงให้แม่ปลุกแต่เช้า"
"จะออกไปทำธุระในเมืองน่ะ และก็แวะหาเพื่อนเก่าๆด้วย"
"อืมๆ ยังไงก็อย่ากลับค่ำนะลูก กลางคืนที่นี่น่ากลัวจะตาย"
ผมโดดขึ้นรถแล้วรีบขับออกจากบ้านทันที จริงอย่างที่แม่บอก รถคันนี้ถึงแม้ภายนอกจะดูเก่าแต่สภาพเครื่องภายในยังดูดีอยู่มาก มันพาผมขับขึ้นภูเขาที่ลาดชันได้อย่างสบาย
ผ่านไปประมาณสองชั่วโมง ผมก็มาจอดที่หน้ามหาวิทยาลัยที่ลัดดาเคยเรียน ผมใช้สายตาคอยสอดส่ายหาหอพักที่ชื่อว่า อุดมพร ตามที่นิษาบอก แต่แล้วผมก็พบว่ามันอยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับมหาวิทยาลัยนั่นเอง ผมลงจากรถแล้วเดินข้ามถนน ตรงไปที่หอพัก ที่แม้ชั้นบนจะเป็นห้องพัก แต่ชั้นล่างก็ยังเปิดเป็นร้านเกมส์ด้วย มันจึงเป็นแหล่งรวมตัวชั้นดีของเหล่านักศึกษาในยามว่าง
"คนที่ชื่อว่า แตง อยู่ไหมครับ ?"
ถึงแม้จะไม่ได้พูดเสีบงดังมากนัก แต่คนทั้งร้านก็หันมามองผมเป็นตาเดียว คงเป็นเพราะผมเป็นแปลกหน้าที่นั้นล่ะมั้ง
"มีธุระอะไร ?"
หญิงแก่ที่นั่งอยู่ที่โต๊ะตัวสุดท้ายของห้องติดกับประตู เงยหน้ามองลอดแว่นออกมาแล้วถามด้วยน้ำเสียงห้วนๆ ไม่ต้องบอกก็พอจะเดาได้ว่าเธอคือเจ้าของที่นี่ และน่าจะเป็นแม่ของแตง
"เป็นเพื่อนเก่าน่ะครับ แค่แวะมาเยื่ยม"
ผมสังเกตได้ว่าสายตาของหญิงแก่คนนั้นไม่ค่อยจะไว้ใจผมเท่าใดนัก แต่ผมก็ไม่ได้สนใจ ยังคงยืนมองอะไรไปเรื่อยเปื่อยในระหว่างที่รอ แล้วไม่นานประตูหลังร้านก็ถูกเปิดออกมา มองเห็นเด็กหนุ่มผิวขาวรูปร่างค่อนข้างท้วม ยืนทำหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ที่หน้าประตู
"ใครอะแม่"
ชายคนนั้นถามด้วยน้ำเสียงห้วนๆ แต่ก็ต้องทำหน้าตกใจสุดขีดเมื่อเขาหันมาสบตากับผม
"แล้ว !"
สิ้นคำสบถ มันก็วิ่งโกยอ้าวออกไปที่หลังร้านทันที ผมรออยู่ตรงนั้นสักครู่จึงเดินขึ้นไปชั้นบนคาดฟ้าอย่างไม่เร่งรีบนัก โดยไม่สนใจหญิงแก่เจ้าของร้านที่มองตามด้วยสายตาไม่กระพริบ เมื่อขึ้นไปถึงคาดฟ้าผมก็มองลงมาข้างล่างเพื่อดูว่าไอ้หมอนี่มันจะวิ่งไปทางไหน จากข้างบนนี้ผมสามารถมองเห็นไอ้ตัวแสบวิ่งไปตามตรอกเล็กๆ หลังหอพักได้อย่างชัดเจน และผมก็สังเกตเห็นว่าในแต่ละช่วงตึกมันไม่ได้มีระยะห่างกันมากนัก และผมพอที่จะกระโดดข้ามไปได้
โดยที่มันไม่รู้ตัวผมกระโดดข้ามไปเรื่อยๆจนกระทั่งไปหยุดอยู่ที่ตึกร้างแห่งหนึ่ง ห่างจากหอพักไปประมาณเจ็ดช่วงตึก ผมลงไปที่ชั้นล่างอย่างเงียบๆ ค่อยๆย่องไปหานายแตงที่นั่งหอบแฮ่กๆอยู่ตรงข้างบันได ผมกระชากผมของมันขึ้นมาแล้วกระแทกหน้าของมันเข้าไปที่กำแพงอย่างจัง ก่อนจะจับมันหันกลับมาแล้วชกไปที่หน้าอีกสองสามครั้งจนเลือดอาบ โทษฐานที่มันทำให้ผมต้องเหนี่อย
"ยอมแล้วๆ อย่าทำอะไรผมเลย ผมแค่เสพเองนะ เลิกขายมานานแล้ว"
"อั้วไม่ใช่ตำรวจ แค่อยากจะถามลื้อแค่สองสามคำไม่เห็นจะต้องทำให้มันเป็นเรื่องยากอย่างนี้นี่หว่า"
"ฉันจะไปรู้ได้ไง แต่งตัวอย่างนี้ใครๆก็ต้องคิดว่าเป็นพวกนอกเครื่องแบบทั้งนั้น"
"ฟังให้ดีนะ อั้วไม่สนใจหรอกว่าลื้อจะไปทำห่าอะไรมา แค่อยากถามลื้อด้วยคำถามง่ายๆ รู้จักผู้หญิงคนนี้ไหม"
เจ้าแตงรับรูปจากผมไปดูแล้วนึกอยู่สักครู่
"ใช่ผมรู้จัก เธอตายไปนานแล้ว"
"รู้ได้ไงว่าเธอตาย ?"
"ไม่รู้ได้ไง มีใครบ้างที่ไม่รู้จักเธอ เธอน่ะมั่วจะตาย เปลี่ยนผู้ชายไปเรื่อย"
"เธอพักอยู่ที่หอนายใช่ไหม ?"
"ใช่ นานมากแล้ว"
"แล้วพวกข้าวของ ของเธอล่ะ"
"ฉันจะไปรู้ได้ไง เธอค้างค่าเช่าไว้ตั้งสามเดือนก่อนจะหายหัวไปเลย ตอนนี้เปลื่ยนคนเช่าไปไม่รู้ตั้งกี่คนแล้ว"
ผมจุดบุหรี่สูบแล้วยื่นให้มันหนึ่งมวน พร้อมบอกให้ใจเย็นๆ
"ค่อยๆนึกดูนะ หลังจากเธอตายน่ะ มันต้องมีบ้างสิคนที่มาขนของออกไป อาจจะเป็นพวกญาติๆหรือเพื่อนของเธอ"
ผ่านไปราว 15 นาที มันก็ทำท่าทางเหมือนนึกอะไรได้บางอย่าง
"เดี้ยวๆ นะ หลังจากเธอตายงั้นเหรอ มีสิ มีผู้ชายคนหนึ่งเข้ามาที่นี่ เพื่อจายค่าห้องที่เธอค้างเอาไว้หรืออะไรสักอย่าง"
"แล้วพวกข้าวของ ของเธอล่ะ"
เขาเอาแต่พวกเอกสารไป แล้วบอกให้แม่เก็บของที่เหลือเอาไว้ แล้วเขาจะกลับมาเอาทีหลัง แต่หมอนั้นก็ไม่เคยกลับมาอีกเลยจนแม่จะเผาทิ้งอยู่แล้ว นี่ฉันลืมเรื่องนี้ไปแล้วนะเนี่ย"
"จำได้ไหมว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร"
ผมกระชากคอเสื้อมันอีกครั้ง
ไม่รู้จักชื่อ เพราะเค้าคุยกับแม่ไม่ได้คุยกับฉันโดยตรง ฉันแค่ยืนฟังห่างๆได้ยินว่าเป็นเพื่อนเก่าของเธอ ถ้าได้เห็นหน้าก็คงจะพอนึกได้"
"เอาล่ะ งั้นดูรูปนี้อีกครั้ง ค่อยๆนึกดูว่าชายที่มาวันนั้นกับชายในรูปคือคนเดียวกันหรือเปล่า"
เจ้าแตงขมวดคิ้วย่นเหมือนคนกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก
"ใช่ๆ คนนี้แหละ โครงหน้าอย่างนี้น่ะใช่เลย แต่ตอนนั้นที่มาน่ะเขาไม่ได้ไว้ผมยาวอย่างนี้"
"อืม งั้นพาฉันไปดูห้องที่แม่นายเก็บของลัดดาเอาไว้หน่อย "
แล้วแตงก็พาผมย้อนกลับไปที่หอพักอีกครั้ง ยังห้องเก็บของชั้นล่างของหอพัก
"ไม่แน่ใจว่าแม่เก็บของ ของเธอเอาไว้ที่ไหน นายลองหาดูอาจจะอยู่ตรงมุมนั้นก็ได้"
ผมมองหาตามที่แตงบอก จนมาสะดุดอยู่ที่ตู้ไม้เก่าๆใบหนึ่ง มันมีรูปนักศึกษาแปะเอาไว้อยู่ และผู้หญิงในรูปก็คือเธอคนนั้นนั้นเอง
"ใช่ๆ ตู้นั้นแหละ"
ของทุกอย่างถูกวางอยู่ในตู้อย่างระเกะระกะเหมือนมีคนมาค้นดูก่อนหน้านี้แล้ว ทั้งชุดนักศึกษาและหนังสือเรียนต่างๆ ผมรื้อดูจนทั่วแล้วก็พบอัลบั้มรูปเล่มหนึ่งซ่อนอยู่ในซอกของตู้ ผมจึงรีบเปิดมันดูทันที
"คนในรูปนี่ใคร ?"
"นั่นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย"
"นายเรียนห้องเดียวกับเธอหรือเปล่า"
"เปล่า เราเรียนคนละคณะกัน"
"แล้วสนิทกับเธอเปล่า"
"สนิทไหมน่ะเหรอ เธอไม่เคยชายตามองฉันเสียด้วยซ้ำ"
"เห็นพี่สาวเธอบอกว่านายไปหาเธอที่บ้านบ่อยๆ"
"พี่สาวไหน เธอมีพี่สาวด้วยเหรอ แล้วฉันก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าบ้านเธออยู่ไหน"
"ช่างมันเถอะ แล้วพอจะรู้ไหมว่าเธอเป็นคนอย่างไร"
"เธอก็เป็นพวกหัวสูง รักอุดมการณ์ เรียกว่าไงดีล่ะ พวกปัญญาชนล่ะมั้ง เธอไปร่วมประท้วงกับพวกที่กรุงเทพอยู่บ่อยๆ"
แล้วแตงก็ต้องชะงักเมื่อเห็นรูปใบหนึ่งในอัลบั้มที่ผมกำลังเปิดดูอยู่
"เดี้ยวๆ ย้อนกลับไปรูปเมื่อกี้หน่อย นั่นๆรูปนั้นแหละผู้ชายคนนั้นฉันรู้จัก มันชื่อว่าเบิ้ม เป็นพวกขายยาในมหาวิทยาลัย"
"นายรู้ได้ยังไง"
"ก็ฉันเคยเป็นลูกค้าของมัน ลูกค้าชั้นดีซะด้วย ช่วงนั้นมันยังเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัย แต่ตอนนี้มันออกไปแล้ว แต่ก็ยังคอยวนเวียนส่งยาให้กับพวกนักศึกษา"
"แล้วฉันจะหาตัวมันได้ยังไง"
"มันอยู่อีกอำเภอหนึ่ง ห่างออกจากนี่ไปราวสิบกิโลเห็นจะได้"
"ฉันเอารูปพวกนี้ไปได้ใช่ไหม"
"ก็เอาไปสิ มันไม่ได้จำเป็นอะไรกับฉันนี่ ว่าแต่นายจะสืบเนื่องของหล่อนไปทำไมกัน"
"ฉันก็แค่เป็นเพื่อนเก่าที่อยากจะรู้เรื่องของเธอเท่านั้นแหละ"
" เพื่อนเก่า เหมือนกับนายคนนั่นอย่างนั้นเหรอ "
"ใช่ แล้วนี่เขาจะกลับมาเอาของพวกนี้หรือเปล่าเนี่ย"
"มันตั้งนานมาแล้ว ป่านนี้เขาคงลืมเรื่องนี้ไปแล้วล่ะมั้ง"
หลังจากขอบอกขอบใจ และจ่ายค่าเสียเวลาให้มันนิดหน่อย ผมก็เดินออกมาที่หน้ามหาวิทยาลัยอีกครั้งเพื่อใช้โทรศัพท์
"ฮัลโหล พิมเหรอ? นี่ฉันเองนะ ใช่ อยากจะให้เธอช่วยตามหาคนให้หน่อย เป็นผู้ชายน่ะ เอาปากกามาจดชื่อไว้เลย อมรชัย แสมสร ใช่ๆ รู้เท่านี้แหละ แต่คิดว่าคงจะตามได้ไม่ยาก ไม่ๆ อีกสองสามวันเดี้ยวฉันจะติดต่อกลับไปเอง ตกลงตามนี้นะ ขอบคุณมาก"
หลังจากวางสายจากเลขาของผม ผมก็มีความจำเป็นจะต้องโทรหาใครอีกคนหนึ่ง เขาเป็นญาติห่างๆของผมเอง พวกเราสนิทกันมาก และผมก็ยังเคยไปพักอยู่ที่บ้านของเขา เมื่อตอนออกจากบ้านใหม่ๆ
อดีตหลอน ซ่อนอำมหิต (บทที่4)
บทที่ 4 ชายลึกลับ ผู้นำหน้าไปหนึ่งก้าว
ชิตชัย "ฝันถึงเรื่องเดิมงั้นเหรอ ?"
ชลนที "ใช่ แต่คราวนี้ต่างออกไปหน่อย"
หลังจากที่ได้แผนที่จากนิษา ผมก็ออกเดินไปเรื่อยๆ จนถึงป่าทึบที่ผมพบกับน้าเอ้เมื่อคราวที่แล้ว แต่ครั้งนี้ไม่เจอ ผมหยุดยืนอยู่ตรงที่น้าเอ้ขุดหลุม ตรงนั้นยังมีรอยดินกลบอยู่เลย ผมเริ่มมองไปรอบๆพลันสายตาก็ไปสะดุดเข้ากับสิ่งๆหนึ่ง มันคือนาฬิกาข้อมือของผู้ชาย แต่ในขณะที่ผมกำลังจะเอื้อมมือไปหยิบนาฬิกานั่นขึ้นมาดู ก็รู้เหมือนมีมือที่เย็นเฉียบมาจับที่ข้อเท้าทั้งสองข้างของผมแล้วดึงให้จมลงไปข้างล่าง ผมพยายามตะกุยตะกาย แต่ก็ไม่สามารถต้านทานแรงมือนั้นได้เลย ผมเริ่มหายใจไม่ออก มันดึงผมลงไปเรื่อยๆจนเกือบจะจมดินอยู่แล้ว แล้วทันใดเสียง ก็อก! ๆๆๆ ก็ทำให้ผมสะดุ้งตื่น แม่นั่นเองที่มาเคาะประตู ผมนอนลืมตาโดยที่มีเหงื่อชุ่มโชกไปทั้งตัวเหมือนกับคนที่เพิ่งอาบน้ำมาใหม่ๆ
"นที นที ตื่นหรือยังลูก ไหนบอกว่าจะออกไปข้างนอกแต่เช้าไง นี่มันสายมากแล้วนะลูก"
"ครับ ผมจะออกไปเดี้ยวนี้แหละ"
ผมรีบลุกขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวกินข้าวแล้วรีบไปที่รถทันที
"แน่ใจนะว่าไอ้นี่มันยังขับได้อยู่"
"ได้สิ แม่เคยขับไปส่งลูกที่โรงเรียนตลอดลูกจำไม่ได้หรือไง"
"นั่นมันนานมากแล้วนะแม่"
"555 ไม่ต้องห่วงหรอกน่าน้าเอ้เค้าดูแลอยู่ตลอดแหละ ว่าแต่แกจะออกไปไหนเหรอ ถึงให้แม่ปลุกแต่เช้า"
"จะออกไปทำธุระในเมืองน่ะ และก็แวะหาเพื่อนเก่าๆด้วย"
"อืมๆ ยังไงก็อย่ากลับค่ำนะลูก กลางคืนที่นี่น่ากลัวจะตาย"
ผมโดดขึ้นรถแล้วรีบขับออกจากบ้านทันที จริงอย่างที่แม่บอก รถคันนี้ถึงแม้ภายนอกจะดูเก่าแต่สภาพเครื่องภายในยังดูดีอยู่มาก มันพาผมขับขึ้นภูเขาที่ลาดชันได้อย่างสบาย
ผ่านไปประมาณสองชั่วโมง ผมก็มาจอดที่หน้ามหาวิทยาลัยที่ลัดดาเคยเรียน ผมใช้สายตาคอยสอดส่ายหาหอพักที่ชื่อว่า อุดมพร ตามที่นิษาบอก แต่แล้วผมก็พบว่ามันอยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับมหาวิทยาลัยนั่นเอง ผมลงจากรถแล้วเดินข้ามถนน ตรงไปที่หอพัก ที่แม้ชั้นบนจะเป็นห้องพัก แต่ชั้นล่างก็ยังเปิดเป็นร้านเกมส์ด้วย มันจึงเป็นแหล่งรวมตัวชั้นดีของเหล่านักศึกษาในยามว่าง
"คนที่ชื่อว่า แตง อยู่ไหมครับ ?"
ถึงแม้จะไม่ได้พูดเสีบงดังมากนัก แต่คนทั้งร้านก็หันมามองผมเป็นตาเดียว คงเป็นเพราะผมเป็นแปลกหน้าที่นั้นล่ะมั้ง
"มีธุระอะไร ?"
หญิงแก่ที่นั่งอยู่ที่โต๊ะตัวสุดท้ายของห้องติดกับประตู เงยหน้ามองลอดแว่นออกมาแล้วถามด้วยน้ำเสียงห้วนๆ ไม่ต้องบอกก็พอจะเดาได้ว่าเธอคือเจ้าของที่นี่ และน่าจะเป็นแม่ของแตง
"เป็นเพื่อนเก่าน่ะครับ แค่แวะมาเยื่ยม"
ผมสังเกตได้ว่าสายตาของหญิงแก่คนนั้นไม่ค่อยจะไว้ใจผมเท่าใดนัก แต่ผมก็ไม่ได้สนใจ ยังคงยืนมองอะไรไปเรื่อยเปื่อยในระหว่างที่รอ แล้วไม่นานประตูหลังร้านก็ถูกเปิดออกมา มองเห็นเด็กหนุ่มผิวขาวรูปร่างค่อนข้างท้วม ยืนทำหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ที่หน้าประตู
"ใครอะแม่"
ชายคนนั้นถามด้วยน้ำเสียงห้วนๆ แต่ก็ต้องทำหน้าตกใจสุดขีดเมื่อเขาหันมาสบตากับผม
"แล้ว !"
สิ้นคำสบถ มันก็วิ่งโกยอ้าวออกไปที่หลังร้านทันที ผมรออยู่ตรงนั้นสักครู่จึงเดินขึ้นไปชั้นบนคาดฟ้าอย่างไม่เร่งรีบนัก โดยไม่สนใจหญิงแก่เจ้าของร้านที่มองตามด้วยสายตาไม่กระพริบ เมื่อขึ้นไปถึงคาดฟ้าผมก็มองลงมาข้างล่างเพื่อดูว่าไอ้หมอนี่มันจะวิ่งไปทางไหน จากข้างบนนี้ผมสามารถมองเห็นไอ้ตัวแสบวิ่งไปตามตรอกเล็กๆ หลังหอพักได้อย่างชัดเจน และผมก็สังเกตเห็นว่าในแต่ละช่วงตึกมันไม่ได้มีระยะห่างกันมากนัก และผมพอที่จะกระโดดข้ามไปได้
โดยที่มันไม่รู้ตัวผมกระโดดข้ามไปเรื่อยๆจนกระทั่งไปหยุดอยู่ที่ตึกร้างแห่งหนึ่ง ห่างจากหอพักไปประมาณเจ็ดช่วงตึก ผมลงไปที่ชั้นล่างอย่างเงียบๆ ค่อยๆย่องไปหานายแตงที่นั่งหอบแฮ่กๆอยู่ตรงข้างบันได ผมกระชากผมของมันขึ้นมาแล้วกระแทกหน้าของมันเข้าไปที่กำแพงอย่างจัง ก่อนจะจับมันหันกลับมาแล้วชกไปที่หน้าอีกสองสามครั้งจนเลือดอาบ โทษฐานที่มันทำให้ผมต้องเหนี่อย
"ยอมแล้วๆ อย่าทำอะไรผมเลย ผมแค่เสพเองนะ เลิกขายมานานแล้ว"
"อั้วไม่ใช่ตำรวจ แค่อยากจะถามลื้อแค่สองสามคำไม่เห็นจะต้องทำให้มันเป็นเรื่องยากอย่างนี้นี่หว่า"
"ฉันจะไปรู้ได้ไง แต่งตัวอย่างนี้ใครๆก็ต้องคิดว่าเป็นพวกนอกเครื่องแบบทั้งนั้น"
"ฟังให้ดีนะ อั้วไม่สนใจหรอกว่าลื้อจะไปทำห่าอะไรมา แค่อยากถามลื้อด้วยคำถามง่ายๆ รู้จักผู้หญิงคนนี้ไหม"
เจ้าแตงรับรูปจากผมไปดูแล้วนึกอยู่สักครู่
"ใช่ผมรู้จัก เธอตายไปนานแล้ว"
"รู้ได้ไงว่าเธอตาย ?"
"ไม่รู้ได้ไง มีใครบ้างที่ไม่รู้จักเธอ เธอน่ะมั่วจะตาย เปลี่ยนผู้ชายไปเรื่อย"
"เธอพักอยู่ที่หอนายใช่ไหม ?"
"ใช่ นานมากแล้ว"
"แล้วพวกข้าวของ ของเธอล่ะ"
"ฉันจะไปรู้ได้ไง เธอค้างค่าเช่าไว้ตั้งสามเดือนก่อนจะหายหัวไปเลย ตอนนี้เปลื่ยนคนเช่าไปไม่รู้ตั้งกี่คนแล้ว"
ผมจุดบุหรี่สูบแล้วยื่นให้มันหนึ่งมวน พร้อมบอกให้ใจเย็นๆ
"ค่อยๆนึกดูนะ หลังจากเธอตายน่ะ มันต้องมีบ้างสิคนที่มาขนของออกไป อาจจะเป็นพวกญาติๆหรือเพื่อนของเธอ"
ผ่านไปราว 15 นาที มันก็ทำท่าทางเหมือนนึกอะไรได้บางอย่าง
"เดี้ยวๆ นะ หลังจากเธอตายงั้นเหรอ มีสิ มีผู้ชายคนหนึ่งเข้ามาที่นี่ เพื่อจายค่าห้องที่เธอค้างเอาไว้หรืออะไรสักอย่าง"
"แล้วพวกข้าวของ ของเธอล่ะ"
เขาเอาแต่พวกเอกสารไป แล้วบอกให้แม่เก็บของที่เหลือเอาไว้ แล้วเขาจะกลับมาเอาทีหลัง แต่หมอนั้นก็ไม่เคยกลับมาอีกเลยจนแม่จะเผาทิ้งอยู่แล้ว นี่ฉันลืมเรื่องนี้ไปแล้วนะเนี่ย"
"จำได้ไหมว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร"
ผมกระชากคอเสื้อมันอีกครั้ง
ไม่รู้จักชื่อ เพราะเค้าคุยกับแม่ไม่ได้คุยกับฉันโดยตรง ฉันแค่ยืนฟังห่างๆได้ยินว่าเป็นเพื่อนเก่าของเธอ ถ้าได้เห็นหน้าก็คงจะพอนึกได้"
"เอาล่ะ งั้นดูรูปนี้อีกครั้ง ค่อยๆนึกดูว่าชายที่มาวันนั้นกับชายในรูปคือคนเดียวกันหรือเปล่า"
เจ้าแตงขมวดคิ้วย่นเหมือนคนกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก
"ใช่ๆ คนนี้แหละ โครงหน้าอย่างนี้น่ะใช่เลย แต่ตอนนั้นที่มาน่ะเขาไม่ได้ไว้ผมยาวอย่างนี้"
"อืม งั้นพาฉันไปดูห้องที่แม่นายเก็บของลัดดาเอาไว้หน่อย "
แล้วแตงก็พาผมย้อนกลับไปที่หอพักอีกครั้ง ยังห้องเก็บของชั้นล่างของหอพัก
"ไม่แน่ใจว่าแม่เก็บของ ของเธอเอาไว้ที่ไหน นายลองหาดูอาจจะอยู่ตรงมุมนั้นก็ได้"
ผมมองหาตามที่แตงบอก จนมาสะดุดอยู่ที่ตู้ไม้เก่าๆใบหนึ่ง มันมีรูปนักศึกษาแปะเอาไว้อยู่ และผู้หญิงในรูปก็คือเธอคนนั้นนั้นเอง
"ใช่ๆ ตู้นั้นแหละ"
ของทุกอย่างถูกวางอยู่ในตู้อย่างระเกะระกะเหมือนมีคนมาค้นดูก่อนหน้านี้แล้ว ทั้งชุดนักศึกษาและหนังสือเรียนต่างๆ ผมรื้อดูจนทั่วแล้วก็พบอัลบั้มรูปเล่มหนึ่งซ่อนอยู่ในซอกของตู้ ผมจึงรีบเปิดมันดูทันที
"คนในรูปนี่ใคร ?"
"นั่นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย"
"นายเรียนห้องเดียวกับเธอหรือเปล่า"
"เปล่า เราเรียนคนละคณะกัน"
"แล้วสนิทกับเธอเปล่า"
"สนิทไหมน่ะเหรอ เธอไม่เคยชายตามองฉันเสียด้วยซ้ำ"
"เห็นพี่สาวเธอบอกว่านายไปหาเธอที่บ้านบ่อยๆ"
"พี่สาวไหน เธอมีพี่สาวด้วยเหรอ แล้วฉันก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าบ้านเธออยู่ไหน"
"ช่างมันเถอะ แล้วพอจะรู้ไหมว่าเธอเป็นคนอย่างไร"
"เธอก็เป็นพวกหัวสูง รักอุดมการณ์ เรียกว่าไงดีล่ะ พวกปัญญาชนล่ะมั้ง เธอไปร่วมประท้วงกับพวกที่กรุงเทพอยู่บ่อยๆ"
แล้วแตงก็ต้องชะงักเมื่อเห็นรูปใบหนึ่งในอัลบั้มที่ผมกำลังเปิดดูอยู่
"เดี้ยวๆ ย้อนกลับไปรูปเมื่อกี้หน่อย นั่นๆรูปนั้นแหละผู้ชายคนนั้นฉันรู้จัก มันชื่อว่าเบิ้ม เป็นพวกขายยาในมหาวิทยาลัย"
"นายรู้ได้ยังไง"
"ก็ฉันเคยเป็นลูกค้าของมัน ลูกค้าชั้นดีซะด้วย ช่วงนั้นมันยังเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัย แต่ตอนนี้มันออกไปแล้ว แต่ก็ยังคอยวนเวียนส่งยาให้กับพวกนักศึกษา"
"แล้วฉันจะหาตัวมันได้ยังไง"
"มันอยู่อีกอำเภอหนึ่ง ห่างออกจากนี่ไปราวสิบกิโลเห็นจะได้"
"ฉันเอารูปพวกนี้ไปได้ใช่ไหม"
"ก็เอาไปสิ มันไม่ได้จำเป็นอะไรกับฉันนี่ ว่าแต่นายจะสืบเนื่องของหล่อนไปทำไมกัน"
"ฉันก็แค่เป็นเพื่อนเก่าที่อยากจะรู้เรื่องของเธอเท่านั้นแหละ"
" เพื่อนเก่า เหมือนกับนายคนนั่นอย่างนั้นเหรอ "
"ใช่ แล้วนี่เขาจะกลับมาเอาของพวกนี้หรือเปล่าเนี่ย"
"มันตั้งนานมาแล้ว ป่านนี้เขาคงลืมเรื่องนี้ไปแล้วล่ะมั้ง"
หลังจากขอบอกขอบใจ และจ่ายค่าเสียเวลาให้มันนิดหน่อย ผมก็เดินออกมาที่หน้ามหาวิทยาลัยอีกครั้งเพื่อใช้โทรศัพท์
"ฮัลโหล พิมเหรอ? นี่ฉันเองนะ ใช่ อยากจะให้เธอช่วยตามหาคนให้หน่อย เป็นผู้ชายน่ะ เอาปากกามาจดชื่อไว้เลย อมรชัย แสมสร ใช่ๆ รู้เท่านี้แหละ แต่คิดว่าคงจะตามได้ไม่ยาก ไม่ๆ อีกสองสามวันเดี้ยวฉันจะติดต่อกลับไปเอง ตกลงตามนี้นะ ขอบคุณมาก"
หลังจากวางสายจากเลขาของผม ผมก็มีความจำเป็นจะต้องโทรหาใครอีกคนหนึ่ง เขาเป็นญาติห่างๆของผมเอง พวกเราสนิทกันมาก และผมก็ยังเคยไปพักอยู่ที่บ้านของเขา เมื่อตอนออกจากบ้านใหม่ๆ