จุดอ่อนที่น่ากลัวที่สุดของมนุษย์ ความโลภเป็นตัวทำลายศีลธรรม มโนธรรม ธรรมชาติ วัฒนธรรม และอีกหลายสิ่งหลายอย่าง ความต้องการที่จะครอบครองสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากเกินความจำเป็น ไม่เพียงแต่วัตถุหรือเงินทอง แต่รวมถึงค่านิยมทางสังคม
เช่น สถานภาพหรืออำนาจ ที่มนุษย์เชื่อว่าจะทำให้ชีวิตดีขึ้น ทำให้การตัดสินใจผิดพลาด เดินในเส้นทางไม่ถูกไม่ควร จนนำไปสู่ความเสียหาย หรือพบจุดจบที่ไม่สวย จนเข้าใจกันดีว่า “ความโลภคือต้นเหตุของความหายนะ”
วิกฤตการณ์การเงินของโลกกว่า 25 ครั้ง ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 20-21 ล้วนเกิดจาก “ความอยากได้ไม่รู้จักพอ” ของมนุษย์ทั้งสิ้น เช่น วิกฤตสินเชื่อซับไพรม ที่เกิดจากภาวะฟองสบู่แตกในตลาดที่อยู่อาศัยของสหรัฐ ในปี 2550 เนื่องจากมีการเก็งกำไรซื้อขายบ้านในราคาสูงเกิน
ความเป็นจริงยิ่งกว่านั้น เกิดการแปลงบ้านที่เป็นหลักประกันมาเป็นหลักทรัพย์ในรูปแบบที่ให้ผลตอบแทนสูง เมื่อราคาบ้านลดลง หลักทรัพย์เหล่านั้นจึงดิ่งลดลงฮวบฮาบ กลายเป็นวิกฤตทางการเงินที่ร้ายแรงที่สุดของโลกในรอบ 2 ทศวรรษ
เจ้าของบ้านในสหรัฐกว่า 8.8 ล้านคน หรือร้อยละ 10.3 ตกอยู่ในสภาพที่มีหนี้มากกว่าราคาสินทรัพย์ และผลดำเนินงานของสถาบันการเงินของโลกประสบผลขาดทุนกว่า 5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้บริษัทเลห์แมน บราเธอร์สวาณิชธนกิจอันดับต้นของโลกต้องล้มละลาย
“ความโลภ” เป็นต้นเหตุให้นักลงทุนยอมตกเป็นทาสเงินตรา ยอมแลกทุกอย่างโดยไม่ยี่หระต่อความถูกผิด
วอร์เรน บัฟเฟตต์ (Warren Buffett) นักลงทุนระดับตำนานกล่าวไว้ว่า “จงกลัวในวันที่คนอื่นโลภ และจงโลภในวันที่คนอื่นกลัว” (Be fearful when others are greedy and greedy when others are fearful)
ซึ่งเป็นต้นตอของดัชนีวัดความกลัวและความโลภ (Fear and Greed Index) ที่คิดค้นโดยสำนักข่าว CNN เพื่อติดตามพฤติกรรมการแสดงออกทางอารมณ์ของนักลงทุน
เช่น ในภาวะที่เกิดความกลัว จะเทขายสินทรัพย์ แต่ในภาวะที่เกิดความโลภ จะเข้าไปลงทุน บ่อยครั้งราคาที่ซื้อจะสูงจนขายออกไม่ทัน แบบ “ติดดอย” ตามภาษาของนักลงทุน
โดยดัชนีมีระดับจาก 1 ถึง 100 ซึ่งถ้าอยู่ระดับต่ำ หมายถึงนักลงทุนเริ่มมีความกลัว แต่ถ้าอยู่ระดับสูงหมายถึง นักลงทุนเริ่มมีความโลภ
ดัชนี Fear and Greed Index ถูกนำมาใช้ กับตลาดคริปโทเคอร์เรนซี สินทรัพย์ดิจิทัล ที่นักลงทุนกำลังหายใจเข้า หายใจออกอยู่ในเวลานี้
ปัจจุบันดัชนีอยู่ระดับ 18 จาก 100 ถือเป็นสภาวะที่นักลงทุน “กลัวขั้นสูงสุด” (extreme fear) เนื่องมาจากความโลภของนักลงทุนที่ดัชนีเคยขึ้นไปแตะระดับ 73 เมื่อเดือนที่แล้ว
ศาสตราจารย์ไมเคิล ออสติน (Michael Austin) ด้านจิตวิทยา จากมหาวิทยาลัย Eastern Kentucky สหรัฐอเมริกา ได้เขียนบทความเรื่อง The Grip of Greed ในเว็บไซต์ Psychology Today ว่า
ความโลภไม่ใช่เรื่องผิด เพราะมนุษย์ต้องการหาความมั่นคงให้กับตนเอง แต่หากเป็นความโลภที่เกินขีดจำกัด จะมีผลต่ออารมณ์ของเรา เกิดความวิตกกังวลและความกระวนกระวายใจเมื่ออยากได้ครอบครอง และเกิดความเข้าใจผิดว่าได้มาแล้วจะรู้สึกสบายใจและพึงพอใจ
ทำให้เราวนเวียนอยู่ในวงจรอุบาทว์ที่ไม่มีทางออก ดังนั้น การระวังไม่ให้เกิดความหายนะเพราะความโลภ จะต้องทำในสิ่งตรงกันข้าม ด้วย “การรู้จักให้” ซึ่งเราจะได้ความสุขอีกแบบหนึ่ง
ตามที่อริสโตเติล นักปรัชญาชาวกรีก ได้พูดไว้ว่า “ความมั่งคั่งจะดีได้อย่างไร ถ้าหากไม่เปิดโอกาสให้ผู้มั่งคั่งได้ทำความดี ?” (For what good would their prosperity do them if it did not provide them with the opportunity for good works ?)
พระเมธีวชิโรดม (ท่าน ว. วชิรเมธี) ได้พูดเตือนใจไว้อย่างน่าฟังว่า “ตัณหาคือ ความโลภและความอยากที่เกินพอดี เหมือนทะเลไม่เคยอิ่มด้วยน้ำ ไฟไม่เคยอิ่มด้วยเชื้อ เราต้องถามตัวเองว่า ‘เกิดมาทำไม’ คุณค่าที่แท้จริงของการเกิดมาเป็นมนุษย์อยู่ตรงไหน
ต้องตามหา ‘แก่น’ ของชีวิตให้พบ คำว่า ‘พอดี’ คือถ้า ‘พอ’ แล้วจะ ‘ดี’ ชีวิตจะมีความสุข”
ทุกวันนี้พวกเราหาความพอดีให้กับชีวิตได้แล้วหรือยังครับ ?
https://www.prachachat.net/columns/news-818332
คุณกำลังโลภหรือเปล่า เข้ามาอ่านสิ (การไม่โลภ พูดน่ะง่าย แต่ทำยากนะครับ อิอิอิ)
เช่น สถานภาพหรืออำนาจ ที่มนุษย์เชื่อว่าจะทำให้ชีวิตดีขึ้น ทำให้การตัดสินใจผิดพลาด เดินในเส้นทางไม่ถูกไม่ควร จนนำไปสู่ความเสียหาย หรือพบจุดจบที่ไม่สวย จนเข้าใจกันดีว่า “ความโลภคือต้นเหตุของความหายนะ”
วิกฤตการณ์การเงินของโลกกว่า 25 ครั้ง ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 20-21 ล้วนเกิดจาก “ความอยากได้ไม่รู้จักพอ” ของมนุษย์ทั้งสิ้น เช่น วิกฤตสินเชื่อซับไพรม ที่เกิดจากภาวะฟองสบู่แตกในตลาดที่อยู่อาศัยของสหรัฐ ในปี 2550 เนื่องจากมีการเก็งกำไรซื้อขายบ้านในราคาสูงเกิน
ความเป็นจริงยิ่งกว่านั้น เกิดการแปลงบ้านที่เป็นหลักประกันมาเป็นหลักทรัพย์ในรูปแบบที่ให้ผลตอบแทนสูง เมื่อราคาบ้านลดลง หลักทรัพย์เหล่านั้นจึงดิ่งลดลงฮวบฮาบ กลายเป็นวิกฤตทางการเงินที่ร้ายแรงที่สุดของโลกในรอบ 2 ทศวรรษ
เจ้าของบ้านในสหรัฐกว่า 8.8 ล้านคน หรือร้อยละ 10.3 ตกอยู่ในสภาพที่มีหนี้มากกว่าราคาสินทรัพย์ และผลดำเนินงานของสถาบันการเงินของโลกประสบผลขาดทุนกว่า 5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้บริษัทเลห์แมน บราเธอร์สวาณิชธนกิจอันดับต้นของโลกต้องล้มละลาย
“ความโลภ” เป็นต้นเหตุให้นักลงทุนยอมตกเป็นทาสเงินตรา ยอมแลกทุกอย่างโดยไม่ยี่หระต่อความถูกผิด
วอร์เรน บัฟเฟตต์ (Warren Buffett) นักลงทุนระดับตำนานกล่าวไว้ว่า “จงกลัวในวันที่คนอื่นโลภ และจงโลภในวันที่คนอื่นกลัว” (Be fearful when others are greedy and greedy when others are fearful)
ซึ่งเป็นต้นตอของดัชนีวัดความกลัวและความโลภ (Fear and Greed Index) ที่คิดค้นโดยสำนักข่าว CNN เพื่อติดตามพฤติกรรมการแสดงออกทางอารมณ์ของนักลงทุน
เช่น ในภาวะที่เกิดความกลัว จะเทขายสินทรัพย์ แต่ในภาวะที่เกิดความโลภ จะเข้าไปลงทุน บ่อยครั้งราคาที่ซื้อจะสูงจนขายออกไม่ทัน แบบ “ติดดอย” ตามภาษาของนักลงทุน
โดยดัชนีมีระดับจาก 1 ถึง 100 ซึ่งถ้าอยู่ระดับต่ำ หมายถึงนักลงทุนเริ่มมีความกลัว แต่ถ้าอยู่ระดับสูงหมายถึง นักลงทุนเริ่มมีความโลภ
ดัชนี Fear and Greed Index ถูกนำมาใช้ กับตลาดคริปโทเคอร์เรนซี สินทรัพย์ดิจิทัล ที่นักลงทุนกำลังหายใจเข้า หายใจออกอยู่ในเวลานี้
ปัจจุบันดัชนีอยู่ระดับ 18 จาก 100 ถือเป็นสภาวะที่นักลงทุน “กลัวขั้นสูงสุด” (extreme fear) เนื่องมาจากความโลภของนักลงทุนที่ดัชนีเคยขึ้นไปแตะระดับ 73 เมื่อเดือนที่แล้ว
ศาสตราจารย์ไมเคิล ออสติน (Michael Austin) ด้านจิตวิทยา จากมหาวิทยาลัย Eastern Kentucky สหรัฐอเมริกา ได้เขียนบทความเรื่อง The Grip of Greed ในเว็บไซต์ Psychology Today ว่า
ความโลภไม่ใช่เรื่องผิด เพราะมนุษย์ต้องการหาความมั่นคงให้กับตนเอง แต่หากเป็นความโลภที่เกินขีดจำกัด จะมีผลต่ออารมณ์ของเรา เกิดความวิตกกังวลและความกระวนกระวายใจเมื่ออยากได้ครอบครอง และเกิดความเข้าใจผิดว่าได้มาแล้วจะรู้สึกสบายใจและพึงพอใจ
ทำให้เราวนเวียนอยู่ในวงจรอุบาทว์ที่ไม่มีทางออก ดังนั้น การระวังไม่ให้เกิดความหายนะเพราะความโลภ จะต้องทำในสิ่งตรงกันข้าม ด้วย “การรู้จักให้” ซึ่งเราจะได้ความสุขอีกแบบหนึ่ง
ตามที่อริสโตเติล นักปรัชญาชาวกรีก ได้พูดไว้ว่า “ความมั่งคั่งจะดีได้อย่างไร ถ้าหากไม่เปิดโอกาสให้ผู้มั่งคั่งได้ทำความดี ?” (For what good would their prosperity do them if it did not provide them with the opportunity for good works ?)
พระเมธีวชิโรดม (ท่าน ว. วชิรเมธี) ได้พูดเตือนใจไว้อย่างน่าฟังว่า “ตัณหาคือ ความโลภและความอยากที่เกินพอดี เหมือนทะเลไม่เคยอิ่มด้วยน้ำ ไฟไม่เคยอิ่มด้วยเชื้อ เราต้องถามตัวเองว่า ‘เกิดมาทำไม’ คุณค่าที่แท้จริงของการเกิดมาเป็นมนุษย์อยู่ตรงไหน
ต้องตามหา ‘แก่น’ ของชีวิตให้พบ คำว่า ‘พอดี’ คือถ้า ‘พอ’ แล้วจะ ‘ดี’ ชีวิตจะมีความสุข”
ทุกวันนี้พวกเราหาความพอดีให้กับชีวิตได้แล้วหรือยังครับ ?
https://www.prachachat.net/columns/news-818332