🇹🇭💛มาลาริน💛🇹🇭 กรมวิทย์ฯยังไม่พบโอมิครอน"BQ.1.1และ XBB"ในไทย/หมอ ยง ชี้อาการโควิดเปลี่ยน 8 ข้อ/เด็ก4แสนรายลงทะเบียน

กรมวิทย์ฯ ยืนยันยังไม่พบโอมิครอน "BQ.1.1 และ XBB" ในไทย


กรมวิทย์ฯ ระบุไทยยังไม่พบโอมิครอนสายพันธุ์ BQ.1.1 และ XBB รวมทั้งไม่มีสัญญาณการกลายพันธุ์ที่ต้องกังวล

วันนี้ (9 ต.ค.2565) นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวถึงกรณีที่มีข่าวในต่างประเทศตรวจพบโอมิครอนกลายพันธุ์ตัวใหม่ "BQ.1.1" และ "XBB" สามารถแพร่เชื้อได้เร็ว และดื้อภูมิคุ้มกันมากกว่าทุกสายพันธุ์นั้น

กรมวิทย์ฯ ชี้แจงว่า ข้อมูลการเฝ้าระวังการกลายพันธุ์ของเชื้อโควิด-19 ที่ร่วมกับเครือข่ายทั่วประเทศ ยังไม่มีรายงานการตรวจพบสายพันธุ์ดังกล่าวในประเทศไทย ขณะนี้เชื้อโควิด-19 ที่แพร่ระบาดในไทย ส่วนใหญ่เป็นโอมิครอนสายพันธุ์ย่อย BA.5

จากฐานข้อมูล GISAID เมื่อวันที่ 7 ต.ค.2565 ประเทศไทยพบ BA.4 จำนวน 218 คน, ส่วน BA.2.75 และลูกหลาน BA.2.75.1, BA.2.75.2 พบ 24 คน, สายพันธุ์ BA.5 และลูกหลาน พบ 2,152 คน

สายพันธุ์ย่อยหลักที่พบมากในไทย ได้แก่ สายพันธุ์ BA.5.2 พบรายงานจำนวน 1,709 คน ซึ่งแนวโน้มสอดคล้องกับทั่วโลกคือ BA.5 ยังเป็นสายพันธุ์หลัก ส่วน BA.4, BA.2.75 และลูกหลาน เช่น BA.2.75.1, BA.2.75.2 และ BA.2.75.x พบเพิ่มขึ้นเล็กน้อย

นพ.ศุภกิจ กล่าวอีกว่า การกลายพันธุ์เป็นเรื่องธรรมชาติของไวรัส สำหรับสายพันธุ์ BQ.1.1 เป็นสายพันธุ์ย่อยของ BA.5 ที่มีการกลายพันธุ์ 3 ตำแหน่งบนส่วนหนาม ได้แก่ R346T, K444T, และ N460K ช่วยให้สามารถหลบภูมิคุ้มกันได้ดี ยังไม่พบรายงานในประเทศไทย

ส่วนสายพันธุ์ XBB ซึ่งมีต้นตระกูลมาจาก BA.2 นั้น เป็นลูกผสมระหว่างโอมิครอนสายพันธุ์ BJ.1 และ BA.2.75 ปัจจุบันทั่วโลกรายงานสายพันธุ์ XBB จำนวน 260 คน, BJ.1 จำนวน 114 คน และ BA.2.75 จำนวน 9,047 คน สำหรับประเทศไทยรายงานพบเฉพาะสายพันธุ์ BA.2.75 จำนวน 18 คน โดยยังไม่พบสายพันธุ์ BJ.1 และ XBB

ขณะนี้ประเทศไทยยังไม่มีสัญญาณการกลายพันธุ์ที่ต้องกังวล ขอให้ประชาชนใช้ชีวิตตามปกติ ไม่ควรตื่นตระหนกจากข้อมูลบางส่วนในสื่อโซเชียล ซึ่งอาจก่อให้เกิดความสับสน

นพ.ศุภกิจ ยังย้ำว่า วัคซีนเข็มกระตุ้นยังมีความจำเป็น ขอให้ฉีดกระตุ้นอย่างน้อย 4 เดือนจากเข็มล่าสุด โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง 608 ควรรับถึงเข็มที่ 4 เมื่อใดที่พบการระบาดเพิ่มขึ้น มาตรการป้องกันตนเองทั้งการใส่หน้ากาก ล้างมือ และเว้นระยะห่าง ยังใช้รับมือการแพร่ระบาดได้ทุกสายพันธุ์

https://www.thaipbs.or.th/news/content/320292

ยิ้มง' ชี้อาการโควิดเปลี่ยนไปจากเดิม 8 ข้อ
 


วันที่ 10 ต.ค.65 ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยา คลินิกภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊ก Yong Poovorawan เรื่อง "โควิด 19 อาการของโรคเปลี่ยนไปจากเดิม ว่า ....👇

ในช่วงระยะเวลา 3 ปีที่มีการระบาดของโรคโควิด 19 ลักษณะอาการของโรคได้มีการเปลี่ยนแปลง

1. ระยะฟักตัวของโรคสั้นลง จากการศึกษาในช่วงที่มีการระบาดของสายพันธุ์เดลต้ากับสายพันธุ์ โอมิครอน ระยะฟักตัวของโรคสั้นลงมาอยู่ที่ ประมาณ 3 วันในระยะหลังนี้

2. ความรุนแรงลงปอดทำให้เกิดปอดบวม จะเห็นได้ว่าตั้งแต่สมัยยุคแรกสายพันธุ์อู่ฮั่น มีอัตราการลงปอดฉายภาพรังสีปอดจะมีฝ้าพบได้บ่อย แต่ในปัจจุบันการลงปอดลดน้อยลง หรือเปล่าว่า ความรุนแรงลูกน้อยลง
 
3. แต่เดิมอาการจมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่ได้รส พบได้บ่อยมาก แต่ปัจจุบันนี้อาการดังกล่าวพบน้อยมาก

4. อาการไข้แต่เดิมเราพบได้บ่อย จะเห็นว่าเราใช้หลักการตรวจอุณหภูมิ ในการตรวจกรองในสถานที่ต่างๆ ปัจจุบันไม่สามารถใช้ได้ เพราะในปัจจุบันนี้อาการไข้จะเป็นอยู่ 1-2 วัน และมีจำนวนมากแก้เมื่อยเนื้อเมื่อยตัวไม่มีไข้

5. อาการสำคัญขณะนี้คือเจ็บคอมาก เหมือนมีอะไรบาด และมีอาการไอ เป็นอาการสำคัญของการอักเสบในลำคอ

6. การติดต่อหรือแพร่กระจาย เกิดขึ้นได้ง่าย จะเห็นว่าเมื่อมีผู้ป่วยจะเป็นการติดทั้งครอบครัว เกิดขึ้นได้ง่ายกว่าเดิม ในยุคแรกผู้ป่วยส่วนใหญ่จะเป็นผู้ใหญ่ ในระยะหลังนี้ เด็กจะมีอาการน้อยและสามารถกระจายโรคได้มาก

7. การระบาดของโรคมีแนวโน้มไปตามฤดูกาลแบบไข้หวัดใหญ่ ในซีกโลกเหนือเช่นยุโรปและอเมริกาจะมีการระบาดมากตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน จนถึงเดือนมีนาคมซึ่งเป็นฤดูหนาว และประเทศซีกโลกใต้ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ จะมีการระบาดมากในฤดูหนาว เช่นกัน ระหว่างเดือนมิถุนายนถึงกันยายน สำหรับประเทศไทยเป็นประเทศเขตร้อน ไม่มีฤดูหนาวที่แน่ชัด การระบาดพบได้ตลอดทั้งปี แต่การระบาดมากจะเกิดในหน้าฝน ในช่วงเดือนมิถุนายนถึงกันยายนเช่นเดียวกับซีกโลกใต้ และจะเกิดอีกครั้งหนึ่งซึ่งไม่มากนักในเดือนมกราคมถึงเดือนมีนาคม ซึ่งต่างกับตอนแรกของการระบาดของ covid 19 ไม่เป็นฤดูกาล

8. ไวรัสโควิค 19 มีการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์เช่นเดียวกับไข้หวัดใหญ่ แนวโน้มในอนาคตจึงทำให้เมื่อติดเชื้อและสามารถติดเชื้อซ้ำได้อีก แต่อาการของโรคมีแนวโน้มลดลง ความสำคัญจึงอยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูง เช่น 608

วัคซีนที่ใช้จะต้องใช้ให้ตรงสายพันธุ์ที่คาดว่าจะเกิดมีการระบาด เช่นเดียวกับไข้หวัดใหญ่ และจะต้องให้ก่อนที่จะมีการระบาด เช่นในเดือนเมษายนถึงพฤษภาคม และกลุ่มที่ควรรับวัคซีนอย่างยิ่งคือกลุ่ม 608 รวมทั้งเด็กเล็ก

https://siamrath.co.th/n/389623

4 แสนรายแล้ว!! ลงทะเบียนฉีดวัคซีนเด็ก 6เดือน - 4 ขวบ



นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ถึงการคิกออฟฉีดวัคซีนโควิด 19 สำหรับเด็กอายุ 6 เดือนถึง 4 ปี วันที่ 12 ตุลาคม 2565 ว่าการดำเนินการฉีดวัคซีนโควิด 19 ในเด็กกลุ่มดังกล่าว เป็นไปตามหลักวิชาการ ซึ่งการนำวัคซีน ยา หรือเวชภัณฑ์ใดก็ตามมารักษาโรคหรือเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ต้องผ่านการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) คณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกัน และคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ จึงขอให้ความมั่นใจ

“ขณะนี้คนส่วนใหญ่ฉีดวัคซีนมากกว่า 75% แล้ว ที่ยังตกค้างคือเด็ก เพราะตอนนั้นวัคซีนยังไม่ครอบคลุม แต่ตอนนี้ขยายอายุลงไปถึง 6 เดือนแล้ว ซึ่งเด็กมีโอกาสติดเชื้อสูงมาก จากการไปโรงเรียนและเดินทาง ที่เรากลัวคือ แม้เด็กติดเชื้อเขาจะมีสุขภาพแข็งแรง แต่หากในบ้านมีผู้สูงอายุที่ยังไม่รับวัคซีนด้วย เด็กจะเป็นคนกระจายเชื้อได้ แนวทางที่ดีที่สุด คือ ทำให้เด็กอายุ 6 เดือนขึ้นไปได้ฉีดวัคซีน ซึ่งทราบว่าผู้ปกครองลงทะเบียนสมัครใจให้เด็กกลุ่มนี้ฉีดประมาณ 4 แสนรายแล้ว โดยวัคซีนเด็กล็อตแรกมี 5 แสนโดส และหากผู้ปกครองแจ้งความประสงค์เพิ่มขึ้นก็จะสั่งเข้ามามากขึ้น ทั้งนี้ สิ่งสำคัญไม่ใช่แค่เด็กเท่านั้น แต่กลุ่มผู้สูงอายุก็ต้องขอให้มารับวัคซีนทุกคน เพราะจะช่วยลดความรุนแรงของโรค ลดการเสียชีวิตได้ ยิ่งหากได้รับเข็ม 3 หรือ 4 แล้วยิ่งปลอดภัย แทบจะไม่มีการเสียชีวิต”

https://siamrath.co.th/n/389527

ติดตามข่าวโควิดต่อไปนะคะ.....
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 13

รายงานสถานการณ์ผู้ป่วย Covid-19 ในประเทศ #กรมควบคุมโรค
ข้อมูล ณ วันที่ 9 ตุลาคม 2565 เวลา 7:28 น.
https://web.facebook.com/PMOCNEWS/posts/pfbid034C2gg4EUthin2F7GXbUgaCWZEJrQQUQLRopVgu7DAFiXZeAAUZbxMA94wFgDKprGl


เกาะติดยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายสัปดาห์
ระหว่างวันที่ 2 - 8 ตุลาคม 2565

ผู้ป่วยรักษาตัวในโรงพยาบาล (รายสัปดาห์)
จำนวน 2,915 ราย : เฉลี่ยรายวัน จำนวน 416 ราย/วัน
ผู้เสียชีวิต (รายสัปดาห์)
จำนวน 58 ราย : เฉลี่ยรายวัน จำนวน 8 ราย/วัน

หายป่วยสะสม 2,461,612 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565)
เสียชีวิตสะสม 11,131 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565)
https://web.facebook.com/informationcovid19/posts/pfbid0rjGZ1e4VLYtRAow8PGVis5Ynu1vRuuQr4kagof2N4gZPmAAyNFLUiG8d82s3pGK1l


สบส. ชู 4 แนวทาง ป้องกันโรคโควิด
“ปรับตัว - ปรับวิถีชีวิตใหม่ - ป้องกันโรค - ปลอดภัย” เสริมทัพ อสม. หมอคนที่ 1

นพ.สุระ วิเศษศักดิ์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กล่าวว่า ตามที่ กระทรวงสาธารณสุข ดำเนินการออกประกาศปรับเปลี่ยนให้โรคโควิด 19 เป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2565 และเพื่อให้ประเทศเดินหน้าทั้งในด้านเศรษฐกิจ และสังคม ประชาชนสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างปกติ โดยอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ซึ่งนอกจากพลังของภาครัฐ และเอกชนแล้ว พลังของภาคประชาชนอย่างอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน หรือ อสม. ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้ประชาชนเกิดการปรับตัวและอยู่ร่วมกับโรคโควิด 19 ได้อย่างปลอดภัย ด้วย อสม.เป็นแกนนำสุขภาพที่ได้รับการยอมรับจากบุคคลในพื้นที่ อีกทั้ง ยังมีบทบาทหน้าที่ในฐานะหมอคนที่ 1 หรือหมอประจำบ้าน ตามนโยบาย 3 หมอ ซึ่ง อสม. เป็นหมอที่มีความใกล้ชิดกับชุมชนมากที่สุด รู้ลึก รู้จริงถึงบริบทของชุมชน การเสริมสร้างองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับโรคโควิด 19 ให้แก่พี่น้อง อสม. ย่อมเป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพในการเข้าถึงพี่น้องประชาชนมากที่สุด โดยกรม สบส. ได้มอบหมายให้กองสนับสนุนสุขภาพภาคประชาชน ส่งเสริมองค์ความรู้ใน 4 แนวทาง ประกอบด้วย 1.ปรับตัว 2.ปรับวิถีชีวิตใหม่ 3.ป้องกันโรค และ 4.ปลอดภัย ผ่านช่องทางการสื่อสารของกรมฯ อาทิ กลุ่มไลน์ประธานชมรม อสม. เว็บไซต์ เฟซบุ๊ก ไปยังเครือข่าย อสม. ที่มีจำนวนกว่า 1.05 ล้านคนทั่วประเทศ ทำหน้าที่ของหมอคนที่ 1 เพื่อให้พี่น้อง อสม.นำองค์ความรู้ที่ได้ไปปรับใช้ บอกต่อแก่บุคคลใกล้ชิด และประชาชนในพื้นที่ จนชุมชนเกิดการปรับตัวอยู่ร่วมกับโรคโควิด 19 อย่างปลอดภัย

ที่มา : กระทรวงสาธารณสุข
https://web.facebook.com/informationcovid19/posts/pfbid0qQ4HNMTpyyVqrkcuNfnKEQtZ4C48czdGm2XD7UgFjL4n2j6tdGcDFUvvqp32ocThl


ฉีดวัคซีนโควิด เด็ก 6 เดือน - 4 ปี เป็นไปตามหลักวิชาการ
ลงทะเบียนแล้ว 4 แสนราย

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า การฉีดวัคซีนโควิด 19 สำหรับเด็กอายุ 6 เดือน ถึง 4 ปี ในวันที่ 12 ต.ค. 65 นี้ เป็นไปตามหลักวิชาการ ซึ่งการนำวัคซีน ยา หรือเวชภัณฑ์ใดก็ตามมารักษาโรคหรือเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ต้องผ่านการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) คณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกัน และคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ จึงขอให้ความมั่นใจ โดยขณะนี้คนส่วนใหญ่ฉีดวัคซีนมากกว่า 75% แล้ว ที่ยังตกค้างคือเด็ก เพราะตอนนั้นวัคซีนยังไม่ครอบคลุม แต่ตอนนี้ขยายอายุลงไปถึง 6 เดือนแล้ว ซึ่งเด็กมีโอกาสติดเชื้อสูงมาก จากการไปโรงเรียนและเดินทาง ที่เรากลัวคือ แม้เด็กติดเชื้อเขาจะมีสุขภาพแข็งแรง แต่หากในบ้านมีผู้สูงอายุที่ยังไม่รับวัคซีนด้วย เด็กจะเป็นคนกระจายเชื้อได้ แนวทางที่ดีที่สุด คือ ทำให้เด็กอายุ 6 เดือนขึ้นไปได้ฉีดวัคซีน ซึ่งทราบว่าผู้ปกครองลงทะเบียนสมัครใจให้เด็กกลุ่มนี้ฉีดประมาณ 4 แสนรายแล้ว โดยวัคซีนเด็กล็อตแรกมี 5 แสนโดส และหากผู้ปกครองแจ้งความประสงค์เพิ่มขึ้นก็จะสั่งเข้ามามากขึ้น ทั้งนี้ สิ่งสำคัญไม่ใช่แค่เด็กเท่านั้น แต่กลุ่มผู้สูงอายุก็ต้องขอให้มารับวัคซีนทุกคน เพราะจะช่วยลดความรุนแรงของโรค ลดการเสียชีวิตได้ ยิ่งหากได้รับเข็ม 3 หรือ 4 แล้วยิ่งปลอดภัย แทบจะไม่มีการเสียชีวิต

ที่มา : กระทรวงสาธารณสุข
https://web.facebook.com/informationcovid19/posts/pfbid0N2grsLkXHrz7LcTRQKw6NhkZvkL5U3inSdcFprXprtTX5Nwvg3fWUJf1a9ZrD1Xql


กรมวิทย์ฯ เผย ไทยยังไม่พบ COVID “สายพันธุ์ BQ.1.1 และ XBB” ไม่มีสัญญาณการกลายพันธุ์ที่ต้องกังวล ขอประชาชนอย่าตื่นตระหนก ใช้ชีวิตโดยการป้องกันตนเองตามปกติ

นายแพทย์ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า จากกรณีที่มีข่าวในต่างประเทศ ตรวจพบโอมิครอนกลายพันธุ์ตัวใหม่ ไม่ว่าจะเป็น "BQ.1.1" และ “XBB” สามารถแพร่เชื้อได้เร็ว และดื้อภูมิคุ้มกันมากกว่าทุกสายพันธุ์ นั้น ขอชี้แจงว่า จากข้อมูลการเฝ้าระวังการกลายพันธุ์ของเชื้อโควิด 19 กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ร่วมกับเครือข่ายทั่วประเทศ ยังไม่มีรายงานการตรวจพบสายพันธุ์ดังกล่าวในประเทศไทย ซึ่งขณะนี้เชื้อโควิด 19 ที่แพร่ระบาดในประเทศไทย ส่วนใหญ่เป็น "โอมิครอน" สายพันธุ์ย่อย BA.5 จากฐานข้อมูล GISAID ณ วันที่ 7 ตุลาคม 2565 ประเทศไทยพบ BA.4 จำนวน 218 ราย ในส่วน BA.2.75 และลูกหลาน BA.2.75.1, BA.2.75.2 พบ 24 ราย สายพันธุ์ BA.5 และลูกหลาน พบ 2,152 ราย โดยสายพันธุ์ย่อยหลักที่พบมากในประเทศไทย ได้แก่ สายพันธุ์ BA.5.2 พบรายงานจำนวน 1,709 ราย ซึ่งแนวโน้มสอดคล้องกับทั่วโลก คือ BA.5 ยังเป็นสายพันธุ์หลัก ส่วน BA.4, BA.2.75 และลูกหลาน เช่น BA.2.75.1, BA.2.75.2 และ BA.2.75.x พบเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย อีกทั้งการกลายพันธุ์เป็นเรื่องธรรมชาติของไวรัส สำหรับสายพันธุ์ BQ.1.1 เป็นสายพันธุ์ย่อยของ BA.5 ที่มีการกลายพันธุ์ 3 ตำแหน่งบนส่วนหนาม ได้แก่ R346T, K444T, และ N460K ช่วยให้สามารถหลบภูมิคุ้มกันได้ดี ยังไม่พบรายงานในประเทศไทย ส่วนสายพันธุ์ XBB ซึ่งมีต้นตระกูลมาจาก BA.2 นั้น เป็นลูกผสมระหว่างโอมิครอนสายพันธุ์ BJ.1 และ BA.2.75 ปัจจุบันทั่วโลกรายงานสายพันธุ์ XBB จำนวน 260 ราย BJ.1 จำนวน 114 ราย และ BA.2.75 จำนวน 9,047 ราย สำหรับประเทศไทยรายงานพบเฉพาะสายพันธุ์ BA.2.75 จำนวน 18 ราย โดยยังไม่พบสายพันธุ์ BJ.1 และ XBB

โดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้ร่วมมือกับเครือข่ายเฝ้าระวังติดตามการกลายพันธุ์ของเชื้อโควิด 19 อย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งเผยแพร่บนฐานข้อมูลสากล GISAID อย่างสม่ำเสมอ และติดตามดูสายพันธุ์ที่อาจมีปัญหาอย่างใกล้ชิด หากพบสัญญาณว่าตัวใดมีปัญหาจะจับตาเป็นพิเศษ ซึ่งขณะนี้ประเทศไทยยังไม่มีสัญญาณการกลายพันธุ์ที่ต้องกังวล ขอให้ประชาชนใช้ชีวิตตามปกติ ไม่ควรตื่นตระหนกจากข้อมูลบางส่วนในสื่อโซเชียล ซึ่งอาจก่อให้เกิดความสับสน เน้นย้ำว่าวัคซีนเข็มกระตุ้นยังมีความจำเป็น ขอให้ฉีดกระตุ้นอย่างน้อย 4 เดือน จากเข็มล่าสุด โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง 608 ควรรับถึงเข็มที่ 4 เมื่อใดที่พบการระบาดเพิ่มขึ้น มาตรการป้องกันตนเองทั้งการใส่หน้ากาก ล้างมือ และเว้นระยะห่าง ยังใช้รับมือการแพร่ระบาดได้ทุกสายพันธุ์

ที่มา : กระทรวงสาธารณสุข
https://web.facebook.com/informationcovid19/posts/pfbid02CK44k9fWYWSBYPyieqRXqk4knqhn9K4tfSvoEKcCD9fbJjmURYcGWpRQhcbvtUSPl


ศูนย์ฉีดวัคซีน อาคารกีฬาเวสน์ 1 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย-ญี่ปุ่น) เขตดินแดง
ขอเชิญฉีดวัคซีนโควิด 19 เข็มกระตุ้น สำหรับเด็กอายุ 5-11 ปี
เปิดรับจองคิว ผ่านแอปฯ QueQ และ Walk In ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00 - 16.00 น.

● กรณีน้องยังไม่เคยติดเชื้อโควิด19
- ได้รับวัคซีนครบมาแล้ว 2 เข็ม ให้ ‘กระตุ้น’ หลังจากฉีดเข็มที่ 2 => 3 เดือนขึ้นไป

● กรณีน้องที่เคยติดเชื้อโควิด 19
- ยังไม่เคยได้รับวัคซีน หรือ ได้รับมาแล้ว 1 เข็ม ให้ ‘กระตุ้น’ หลังจากการติดเชื้อ => 3 เดือนขึ้นไป
- ได้รับวัคซีนมาแล้ว 2 เข็ม => ยังไม่แนะนำให้มารับวัคซีน

เน้นย้ำว่า ขอให้เตรียมบัตรประชาชน/Passport ปากกาส่วนตัว พร้อมหลักฐานการฉีดวัคซีนโควิด19 มาด้วย

ที่มา : สำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร
https://web.facebook.com/informationcovid19/posts/pfbid0AoaSb32CMS1dNSEug2eDuv2M3qU4J5ZiQoMyJ1czb4oKjrwUuoSUbxb1rUSxX63Cl


ศูนย์ฉีดวัคซีนกระทรวงสาธารณสุขเปิด walk in ฉีดวัคซีนโควิด 19 ทุกเข็ม
ไฟเซอร์ และ โมเดอร์​นา
ทุกวันอังคาร สัปดาห์ที่ 2 และ 4 ของเดือน

เวลา 9.00 น. ถึง 14.00 น

ณ โถง ชั้น 1 อาคาร 3 สำนักงานปลัดกระทรวง​สาธารณสุข ถนนติวานนท์ ตำบลตลาดขวัญ อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี
https://web.facebook.com/fanmoph/posts/pfbid02ArR555kB4L7JgKCWX86nsrC1PYDTBmUBDD5jsD7VG4ZDgBP53KqD4huQxmuR29kxl


สธ. เตรียมความพร้อม “คน – ทรัพยากร – ยุทธศาสตร์”
ตั้งเป้าพัฒนาให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพโลก

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า จากสถานการณ์โควิด 19 ที่ผ่านมา ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับว่ามีความมั่นคงทางสาธารณสุขเป็นอันดับที่ 5 จาก 195 ประเทศทั่วโลก และมีการจัดตั้งสำนักงานเลขาธิการศูนย์อาเซียนด้านการรับมือกับภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขและโรคอุบัติใหม่ (ACPHEED) เป็นการเตรียมพร้อมสำหรับวิกฤตครั้งต่อไปที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ถือเป็นความท้าทายของระบบสาธารณสุข จึงต้องเตรียมพร้อมทั้งคน ของ และยุทธศาสตร์

ด้าน “คน” คือ บุคลากรทุกภาคส่วนที่มีความเชื่อมโยงกับการทำงานของกระทรวงสาธารณสุข ทั้งภายในและภายนอกองค์กร เช่น นโยบาย 3 หมอที่มี อสม. เป็นหมอประจำบ้าน ทำงานร่วมกับหมอสาธารณสุข และหมอเวชปฏิบัติครอบครัว สื่อมวลชน ภาคเอกชน นักวิชาการ นักธุรกิจต่างๆ เป็นการขยายขอบเขตการให้บริการ ช่วยลดความแออัดของโรงพยาบาล ลดอัตราการป่วยหนัก การครองเตียง และงบประมาณ

ด้าน “ทรัพยากร” คือการเพิ่มขีดความสามารถของทรัพยากร เช่น สถานที่ที่ใช้สำหรับรักษา, ฐานข้อมูลดิจิทัลทางสุขภาพของประชาชนแบบไร้รอยต่อ, เทคโนโลยี Telemedicine หรือแพทย์ทางไกล ช่วยลดภาระและค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาโรงพยาบาล ซึ่งวิกฤตโควิด 19 ที่ผ่านมา นำมาสู่โอกาสทางสาธารณสุข มีการพัฒนาระบบสาธารณสุขของชาติ บริหารงบประมาณได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างการหมุนเวียนที่เป็นประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจด้วย

ส่วนด้าน “ยุทธศาสตร์” มองว่าบทบาทของสาธารณสุขเป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ภายใต้แนวคิด “Health for Wealth” นำ “ความเข้มแข็งทางสาธารณสุข” มาสร้าง “ความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ” โดยตั้งเป้าอนาคตอันใกล้ให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางสุขภาพของโลก ทั้งการรักษา การผลิตและส่งออกผลิตภัณฑ์ Medical Tourism รวมถึงการเป็นศูนย์กลางทางการศึกษาด้านการแพทย์ด้วย

หลังโควิด19 มั่นใจว่า ประเทศไทยจะมีรายได้เข้ามาอีกมาก ด้วยระบบสาธารณสุขของไทยที่ชาวต่างชาติให้ความเชื่อถือ จากการรักษาพยาบาลด้วยอุปกรณ์เครื่องมือการแพทย์ที่ทันสมัย มีมาตรฐานสูง ต้นทุนการใช้จ่ายคุ้มค่า ซึ่งต้องร่วมมือกันพัฒนาระบบสาธารณสุขไทยให้ยั่งยืน เพราะระบบสาธารณสุขที่ดี จะทำให้เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ชาวต่างชาติจะเข้ามาประเทศไทย

ที่มา : กระทรวงสาธารณสุข
https://web.facebook.com/informationcovid19/posts/pfbid02c97Da9UWu5EdtQudYGq3Cz6sEAb5CqPj36GPRnKWw2jH1eBfSnLowrtrohyvRbQdl
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่