‘อุ๊งอิ๊ง’ เปิดแผนบันได 4 ขั้นเพื่อไทยแลนด์สไลด์ ประกาศชัด ‘วันนี้หมดเวลาของประยุทธ์แล้ว’!
https://www.dailynews.co.th/news/1560368/
'แพทองธาร' เปิดแผนบันได 4 ขั้นเพื่อไทยแลนด์สไลด์พลิกฟื้นประเทศ เดินหน้าประชาธิปไตยเต็มรูปแบบรัฐธรรมนูญต้องมาจากประชาชนไม่มี ส.ว.เลือกนายกรัฐมนตรีประกาศชัด"วันนี้หมดเวลาของประยุทธ์แล้ว"
เมื่อวันที่ 9 ต.ค. ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) น.ส.
แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย พร้อมคณะเปิดตัวนโยบายเพื่อไทย เพื่อชัยชนะแบบแลนด์สไลด์ ในงานฟอรั่มนโยบายครั้งที่ 1
น.ส.
แพทองธาร กล่าวว่า ตนขอแสดงความเสียใจกับเหตุกราดจริงที่จังหวัดหนองบัวลำภู และส่งกำลังใจไปยังครอบครัวผู้เสียชีวิตทุกครอบครัว ทั้งนี้ เห็นได้ชัดว่าปัจจุบันปัญหายาเสพติดเป็นสิ่งกีดขวางประเทศไทยเจริญก้าวหน้า ปัญหาเศรษฐกิจที่มีอยู่มากมาย ประชาชนไม่รู้ว่าจะหันหน้าไปทางไหนเพื่อให้ตัวเองมีรายได้มากขึ้น ดังนั้นพรรค พท. จึงได้ระดมสมองกันเพื่อจัดทำนโยบายเพื่อแก้ปัญหาของประชาชนยุค ทุกวัย ทุกเพศ ทุกภาคส่วน ให้ตรงจุด ตอบโจทย์ แก้ปัญหาค้างคาในระยะเวลา 8 ปีที่ผ่านมาได้รวดเร็วแต่แน่นอนว่าจะทำได้เมื่อเป็นการจัดตั้งรัฐบาลภายใต้การนำของพรรคพท. ซึ่งแม้เป็นงานยาก แต่เราพร้อมที่จะนำนโยบายเหล่านั้นมาแก้ไขปัญหาของประชาชน เพื่อทำให้ชีวิตดีขึ้น โดยมีบันได 4 ขั้น
1.
บันไดขั้นที่ 1 เพื่อศักยภาพใหม่ เน้นฝึกทักษะเพิ่มศักยภาพประชาชน ให้เกิด 1 ครอบครัว 1 ศักยภาพ Soft Power ซึ่งมีสิ่งที่ต้องทำ 3 อย่างคือ
1.ตั้งศูนย์บ่มเพาะการพัฒนาศักยภาพของคนไทยในทุกชุมชน ทุกจังหวัด ฟรี ครอบคลุมการเพิ่มศักยภาพทุกด้าน
2. สร้างสิ่งแวดล้อมสภาพแวดล้อมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ โดยแก้กฎหมายที่เป็นอุปสรรคในการเพิ่มโอกาสของประชาชน และสร้างการร่วมมือของรัฐ และเอกชน
และ3. การออกนโยบายต่างประเทศ เปิดตลาดใหม่ๆ เพื่อให้สามารถมีสินค้าส่งออกขายต่างประเทศได้
2.
บันไดขั้นที่ 2 คือเพื่อรายได้ใหม่ โดยคือปลดหนี้จาก 8 ปี ที่มากขึ้น และสร้างรายได้ใหม่และเป็นรายได้ใหม่ที่ยั่งยืน
3.
บันไดขั้นที่ 3 คือเพื่อสังคมใหม่ ต้องเป็นพื้นที่สำหรับคน ทุกเพศ ทุกวัย ทุกชาติพันธุ์ ให้ได้รับสิทธิ์ที่ควรได้อย่างเท่าเทียมกัน ประชาชนต้องรู้สึกปลอดภัย ต้องรู้สึกได้รับการดูแลจากรัฐอย่างเท่าเทียมกัน
4.
บันไดขั้นที่ 4 เพื่อการเมืองใหม่ หลักนิติธรรมต้องมีความเข้มแข็ง รัฐธรรมนูญต้องมาจากประชาชนผ่าน สสร. และ ส.ว. ต้องไม่มีอำนาจในการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี รัฐราชการต้องเปลี่ยนเป็นรัฐของประชาชนอย่างแท้จริงโดยการกลับเข้าสู่ระบบประชาธิปไตยอย่างเต็มรูปแบบเอาประชาชนมาเป็นที่ตั้ง
“
วันนี้หมดเวลาของประยุทธ์แล้วเรามานับถอยหลังให้กับความเข้มแข็งของพี่น้องประชาชนและความมั่นคงทางเศรษฐกิจภายใต้การนำของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย เพื่อศักยภาพใหม่ เพื่อรายได้ใหม่ เพื่อสังคมใหม่ เพื่อการเมืองใหม่ คือบันได 4 ขั้นสู่แลนด์สไลด์” น.ส.
แพทองธาร กล่าว
‘สุทิน’ จวก รบ.อย่าแอบอยู่หลังความเศร้า ให้เอาสมองเอาปากมาตอบในสภาฯ ด้วย
https://www.matichon.co.th/politics/news_3608359
‘สุทิน’ จวก รบ.อย่าแอบอยู่หลังความเศร้า ให้เอาสมองเอาปากมาตอบในสภาฯ ด้วย
เมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 9 ตุลาคม ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นาย
สุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม รองหัวหน้าพรรค พท. ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) ให้สัมภาษณ์กรณีมีการวิพากษ์วิจารณ์ พรรค พท. ฉวยโอกาส ไม่รู้กาลเทศะ ขอยื่นญัตติเปิดประชุมสมัยวิสามัญกรณีเหตุกราดยิงศูนย์เด็กเล็กฯ ที่จังหวัดหนองบัวลำภู ว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ทั่วโลกมองมาที่ไทย และคนในประเทศก็ให้ความสนใจเรื่องนี้มาก นอกจากเราจะต้องแสดงความเสียใจและปลอบขวัญผู้เสียหายแล้ว เราจะต้องทำอะไรให้มากกว่านั้น ไม่ใช่แค่เศร้าแล้วเศร้าเลย โดยเอาความเศร้ามาถอดบทเรียนและต้องทำอะไรต่อไป ทั้งนี้ นอกจากนักการเมือง นักวิชาการแล้ว ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองอยากให้มีการถอดบทเรียน ดังนั้น ฝ่ายการเมืองจะนิ่งดูดายไม่ได้ อย่างไรก็ตาม เราไม่ได้ฉวยโอกาสทางการเมือง เราถือว่าเราได้เตือนรัฐบาลมาตลอดโดยเฉพาะเรื่องยาเสพติดแต่รัฐบาลไม่เคยฟังและไม่ยอมรับความจริง รัฐบาลชอบพูดว่าแก้ได้ดีที่สุดแล้ว แต่พอเกิดเหตุแบบนี้ เราจึงอยากใช้โอกาสนี้ชี้ให้รัฐบาลยอมรับความจริง นี่คือเรารู้กาลเทศะ หากเราละเลยและปล่อยหายไป นั่นคือเราไม่รู้กาลเทศะ ใครที่กล่าวหาเราแบบนี้ต้องกลับไปทบทวน
นาย
สุทินกล่าวต่อว่า สำหรับการยื่นญัตติด่วนนั้น ฝ่ายค้านจะนำข้อเรียกร้องของทุกฝ่ายในสังคมมาถอดบทเรียนกันในสภาฯ โดยเราจะหารือกันและคาดว่าจะเสนอยื่นญัตติได้ภายในสัปดาห์นี้ ซึ่งก็คาดว่าจะสามารถอภิปรายได้ในสัปดาห์ถัดไป อย่างไรก็ตาม อย่าอ้างว่าเดี๋ยวก็เปิดสภาฯ แล้ว ตนว่าช่วงเวลาที่เราว่างอยู่แล้วมาทำงานเพื่อประชาชนให้ทันการณ์ ถือว่าเป็นเรื่องน่าชื่นชม อีกทั้งเมื่อเปิดสภาฯ มามีวาระการพิจารณาเยอะ กว่าจะถึงวันนั้นโอกาสที่สังคมจะได้ตระหนักสูงสุดและได้รับความร่วมมือกับทุกภาคส่วนก็จะลดลงไป ก็ตีเหล็กซะตอนร้อนนี่แหละ ถือเป็นโอกาสที่รัฐบาลจะได้รับความร่วมมือด้วย
“หากเราขอเปิดญัตติด่วนแล้ว หากคิดเราจะใช้เวทีนี้หลอกด่าหรือใช้เวทีนี้โจมตี รัฐบาลจะกลัวทำไม รัฐบาลก็มีปากมีสมองเหมือนกัน เอาเป็นว่าพกปากพกสมองมาด้วย อย่าพกแต่มือมา ผมได้คุยกับ ส.ว.หลายท่าน หรือแม้แต่ ส.ส.ของรัฐบาลหลายคนก็เห็นด้วย ถ้าใครคิดว่าจะใช้เวทีนี้เพื่อการเมืองเดี๋ยวสังคมก็เล่นงานเอง ดังนั้นรัฐบาลอย่าไปกังวล ใช้โอกาสนี้เปิดวิสามัญซะ อย่าไปรอให้ถึงสามัญ ประชาชนก็จะได้สบายใจ เชื่อว่าผู้สูญเสียนอกจากเศร้าแล้ว เขาก็คงอยากถามกลับมาว่าเขาสูญเสีย เขาตาย เขาเจ็บ แล้วจะทำอะไรต่อหรือไม่ หรือแค่แสดงความเสียใจแล้วก็จบ” นาย
สุทินกล่าว
เมื่อถามว่า หากรัฐบาลไม่ยอมให้มีการเปิดสมัยวิสามัญฯ นาย
สุทินกล่าวว่า เสียดายแทนรัฐบาล โดยเราจะเดินหน้าจัดเวทีอื่น และฝ่ายค้านอาจจะเปิดเวทีเสวนาถอดบทเรียนเพื่อหาทางออกให้กับประเทศ หากไม่ได้ทำในสภาก็ทำนอกสภา
เมื่อถามว่า มองว่ารัฐบาลไม่ค่อยเอาจริงเอาจังกับการแก้ไขปัญหายาเสพติดหรือไม่ นาย
สุทินกล่าวว่า ขอฝากไปถึงรัฐบาลว่าวันนี้อย่าฉวยโอกาสเอาความโศกเศร้ามาเป็นข้ออ้างกลบเกลื่อน และปิดปากพวกเราไม่ให้พูดถึงความล้มเหลวของคุณ คุณอย่าแอบอยู่หลังความเศร้า
ถามต่อว่า นอกจากปัญหาเรื่องยาเสพติดแล้ว จะมีการหยิบยกประเด็นเรื่องการยุ่งเหยิงพยานหลักฐาน ซึ่งกำลังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อยู่ในขณะนี้มาพูดคุยด้วยหรือไม่ นาย
สุทินกล่าวว่า จะมีการพิจารณาเรื่องยาเสพติด อาวุธปืน องค์กรที่อยู่ใกล้อำนาจและอาวุธว่าจะต้องปฏิรูปหรือไม่ ตนขอฝากประเด็นเพิ่มเติมว่าอย่าไปด่วนสรุปว่าการตรวจเลือดของผู้ก่อเหตุแล้วไม่พบสารเสพติดนั้น อย่าไปพยายามโน้มน้าวให้คนเชื่อว่าเหตุการณ์นี้ไม่ได้มาจากยาเสพติด ตนว่าคิดผิด คนติดยาถ้าไม่ได้เสพยาจะคลุ้มคลั่ง ถึงแม้จะเคยเสพแล้วไม่ได้เสพหรือมีคนห้าม หรือมีสถานการณ์ที่ทำให้เขาเสพไม่ได้ตรงนั้นจะทำให้เขาคลุ้มคลั่ง เสพมากเกินไปหรือไม่ได้เสพก็คลุ้มคลั่ง ขอให้ดูดีๆ อย่าเพิ่งไปด่วนสรุป
จี้คลอดกฎหมาย ‘กัญชา-กัญชง’ เอกชนครวญ กระทบเศรษฐกิจ-ท่องเที่ยว
https://www.thansettakij.com/business/marketing/543252
ชี้สุญญากาศ “กัญชา-กัญชง” กระทบหนักผู้ประกอบการรายย่อย-ชาวบ้าน “ลุงดำ” ผนึกเครือข่ายกัญชาภาคประชาชน ยื่นหนังสือจี้กรรมาธิการเร่งคลอดพ.ร.บ. ยันผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว หลังนักธุรกิจเดินหน้าลงทุนแล้ว
หลังจากที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีมติให้นำร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) กัญชา กัญชง ที่คณะกรรมาธิการพิจารณาแล้ว กลับไปทบทวนใหม่ รวมทั้งศูนย์ศึกษาปัญหาการเสพติดของคณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เรียกร้องให้ทบทวนกฎหมายฉบับนี้ และนำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติด ทำให้การประกาศใช้ พ.ร.บ.ฯ ดังกล่าวต้องเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด และกลายเป็นสุญญากาศในการเดินหน้าทั้งกัญชาทางการแพทย์และกัญชาเพื่อสันทนาการ และยังสร้างความสับสนให้กับผู้ประกอบการด้วย
นาย
อร่าม ลิ้มสกุล หรือ
ลุงดำ ประธานวิสาหกิจชุมชนสมุนไพรเกาะเต่า จังหวัดสุราษฎร์ธานี เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า การตีกลับกฏหมายกัญชา รวมถึงการนำเสนอให้กลับไปเป็นยาเสพติดเช่นเดิมนั้น จะส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการอย่างมาก เพราะปัจจุบันมีผู้เข้ามาลงทุนทำเพื่อให้เป็นพืชเศรษฐกิจจำนวนมาก หลายราย หากให้ย้อนกลับไปเป็นยาเสพติดจะส่งผลและทำให้เกิดปัญหาแน่นอน ซึ่งวันนี้พบว่ากัญชา กัญชงเริ่มเป็นที่ยอมรับให้เป็นพืชเศรษฐกิจ มีนักลงทุนต่างชาติ ตลอดจนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาเพื่อท่องเที่ยวและลงทุนจำนวนมาก
“หากย้อนกลับไปเป็นยาเสพติดสิ่งที่ลงทุนไปเป็น 1,000 ล้านบาทก็จะสูญไปด้วย ผู้ประกอบการรายย่อย ชาวบ้านตาดำๆ ก็จะเสียโอกาส แทนที่จะได้ปลูก 15 ต้น เพื่อนำไปใช้เป็นยารักษาตัวเองก็จะเสียโอกาสไปด้วย วันนี้อยากให้มองถึงผลประโยชน์ที่จะเกิดมากกว่าการขัดขา เป็นเกมการเมืองกัน”
ในแง่ของพ.ร.บ. กัญชาฯ อยากให้มีการกำกับดูแลเด็ก เยาวชน และสตรี ซึ่งก็มีอยู่แล้ว ส่วนผลกระทบจากกัญชา กัญชง ก็น้อยกว่าเหล้า บุหรี่ ซึ่งเมื่อถูกตีกลับ ก็จะเกิดสุญญากาศ ทำให้ไม่สามารถเดินหน้าได้ทั้งกัญชาทางการแพทย์และกัญชาเพื่อสันทนาการ ซึ่งที่ผ่านมายังมีความไม่ชัดเจนอีกมาก ทั้งเรื่องของการจำหน่าย การแปรรูป รวมถึงการใช้งาน
“ควรมีการกำหนดโซนนิ่งที่ชัดเจน โดยเฉพาะในเมืองท่องเที่ยว เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาเพื่อใช้บริการกัญชาในเมืองไทย ขณะเดียวกันก็ควรมีข้อกำหนด ข้อห้ามเด็ก เยาวชน และสตรีที่ชัดเจนด้วย”
อย่างไรก็ดี ในวันที่ 18 กันยายนที่ผ่านมา เครือข่ายกัญชาภาคประชาชน ได้ทำหนังสือถึงประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ. กัญชา-กัญชง เพื่อขอให้เร่งรัดให้มีกฎหมายกัญชา-กัญชง โดยยืนยันสิทธิการใช้กัญชาภาคประชาชน ในมิติด้านสุขภาพและด้านเศรษฐกิจเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนอย่างยั่งยืน โดยนำเสนอ 2 ข้อได้แก่
1. ควรจะต้องเร่งผลักดันให้ร่าง พ.ร.บ. กัญชา-กัญชง กม. ออกมาอย่างเร็วที่สุด เพื่อไม่ให้เกิดสุญญากาศ ในการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกัญชา กัญชง
2. ขอยืนยันเจตนารมณ์การใช้กัญชาเพื่อสุขภาพและเศรษฐกิจของประชาชนอย่างยั่งยืน โดยประชาชนมีสิทธิในการปลูกและการใช้ประโยชน์จากกัญชา กัญชงได้
ด้านนาย
ยิ่งยศ จารุบุษปายน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ( Chief Executive Officer ) บริษัท ไทย ลีฟ ไบโอเทคโนโลยี จำกัด กล่าวแสดงความคิดเห็นว่า ในภาพรวมหากกัญชากลับไปเป็นยาเสพติดคงมีผลกระทบกับผู้ประกอบการหลายส่วน ส่วนแรกคือการเตรียมตัวทำกัญชาสันทนาการ ซึ่งจะกระทบเป็นวงกว้างเพราะตอนนี้มีผู้ประกอบการหน้าใหม่หลายคนเข้ามาปลูกช่อดอกกัญชาเพื่อสันทนาการค่อนข้างเยอะ นั่นแน่นอนว่ากระทบ
แต่ในส่วนของผู้ประกอบการรายใหญ่ที่ทำกัญชาอยู่แล้ว จะมุ่งไปที่การพัฒนากัญชาเป็นยามากกว่าเพราะฉะนั้นในส่วนของผู้ประกอบการรายใหญ่จะไม่ค่อยกระทบเท่าไร แต่ตอนนี้ผลกระทบที่เกิดขึ้นจริงๆคือช่องว่างในการนำกัญชามาทำสันทนาการที่เปิดเสรีเกินไป
JJNY : ‘อุ๊งอิ๊ง’ประกาศชัด│‘สุทิน’จวก รบ.อย่าแอบอยู่หลังความเศร้า│จี้คลอดกฎหมาย ‘กัญชา-กัญชง’│มหาสารคามวิกฤต
https://www.dailynews.co.th/news/1560368/
'แพทองธาร' เปิดแผนบันได 4 ขั้นเพื่อไทยแลนด์สไลด์พลิกฟื้นประเทศ เดินหน้าประชาธิปไตยเต็มรูปแบบรัฐธรรมนูญต้องมาจากประชาชนไม่มี ส.ว.เลือกนายกรัฐมนตรีประกาศชัด"วันนี้หมดเวลาของประยุทธ์แล้ว"
เมื่อวันที่ 9 ต.ค. ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย พร้อมคณะเปิดตัวนโยบายเพื่อไทย เพื่อชัยชนะแบบแลนด์สไลด์ ในงานฟอรั่มนโยบายครั้งที่ 1
น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า ตนขอแสดงความเสียใจกับเหตุกราดจริงที่จังหวัดหนองบัวลำภู และส่งกำลังใจไปยังครอบครัวผู้เสียชีวิตทุกครอบครัว ทั้งนี้ เห็นได้ชัดว่าปัจจุบันปัญหายาเสพติดเป็นสิ่งกีดขวางประเทศไทยเจริญก้าวหน้า ปัญหาเศรษฐกิจที่มีอยู่มากมาย ประชาชนไม่รู้ว่าจะหันหน้าไปทางไหนเพื่อให้ตัวเองมีรายได้มากขึ้น ดังนั้นพรรค พท. จึงได้ระดมสมองกันเพื่อจัดทำนโยบายเพื่อแก้ปัญหาของประชาชนยุค ทุกวัย ทุกเพศ ทุกภาคส่วน ให้ตรงจุด ตอบโจทย์ แก้ปัญหาค้างคาในระยะเวลา 8 ปีที่ผ่านมาได้รวดเร็วแต่แน่นอนว่าจะทำได้เมื่อเป็นการจัดตั้งรัฐบาลภายใต้การนำของพรรคพท. ซึ่งแม้เป็นงานยาก แต่เราพร้อมที่จะนำนโยบายเหล่านั้นมาแก้ไขปัญหาของประชาชน เพื่อทำให้ชีวิตดีขึ้น โดยมีบันได 4 ขั้น
1. บันไดขั้นที่ 1 เพื่อศักยภาพใหม่ เน้นฝึกทักษะเพิ่มศักยภาพประชาชน ให้เกิด 1 ครอบครัว 1 ศักยภาพ Soft Power ซึ่งมีสิ่งที่ต้องทำ 3 อย่างคือ
1.ตั้งศูนย์บ่มเพาะการพัฒนาศักยภาพของคนไทยในทุกชุมชน ทุกจังหวัด ฟรี ครอบคลุมการเพิ่มศักยภาพทุกด้าน
2. สร้างสิ่งแวดล้อมสภาพแวดล้อมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ โดยแก้กฎหมายที่เป็นอุปสรรคในการเพิ่มโอกาสของประชาชน และสร้างการร่วมมือของรัฐ และเอกชน
และ3. การออกนโยบายต่างประเทศ เปิดตลาดใหม่ๆ เพื่อให้สามารถมีสินค้าส่งออกขายต่างประเทศได้
2. บันไดขั้นที่ 2 คือเพื่อรายได้ใหม่ โดยคือปลดหนี้จาก 8 ปี ที่มากขึ้น และสร้างรายได้ใหม่และเป็นรายได้ใหม่ที่ยั่งยืน
3. บันไดขั้นที่ 3 คือเพื่อสังคมใหม่ ต้องเป็นพื้นที่สำหรับคน ทุกเพศ ทุกวัย ทุกชาติพันธุ์ ให้ได้รับสิทธิ์ที่ควรได้อย่างเท่าเทียมกัน ประชาชนต้องรู้สึกปลอดภัย ต้องรู้สึกได้รับการดูแลจากรัฐอย่างเท่าเทียมกัน
4. บันไดขั้นที่ 4 เพื่อการเมืองใหม่ หลักนิติธรรมต้องมีความเข้มแข็ง รัฐธรรมนูญต้องมาจากประชาชนผ่าน สสร. และ ส.ว. ต้องไม่มีอำนาจในการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี รัฐราชการต้องเปลี่ยนเป็นรัฐของประชาชนอย่างแท้จริงโดยการกลับเข้าสู่ระบบประชาธิปไตยอย่างเต็มรูปแบบเอาประชาชนมาเป็นที่ตั้ง
“วันนี้หมดเวลาของประยุทธ์แล้วเรามานับถอยหลังให้กับความเข้มแข็งของพี่น้องประชาชนและความมั่นคงทางเศรษฐกิจภายใต้การนำของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย เพื่อศักยภาพใหม่ เพื่อรายได้ใหม่ เพื่อสังคมใหม่ เพื่อการเมืองใหม่ คือบันได 4 ขั้นสู่แลนด์สไลด์” น.ส.แพทองธาร กล่าว
‘สุทิน’ จวก รบ.อย่าแอบอยู่หลังความเศร้า ให้เอาสมองเอาปากมาตอบในสภาฯ ด้วย
https://www.matichon.co.th/politics/news_3608359
‘สุทิน’ จวก รบ.อย่าแอบอยู่หลังความเศร้า ให้เอาสมองเอาปากมาตอบในสภาฯ ด้วย
เมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 9 ตุลาคม ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม รองหัวหน้าพรรค พท. ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) ให้สัมภาษณ์กรณีมีการวิพากษ์วิจารณ์ พรรค พท. ฉวยโอกาส ไม่รู้กาลเทศะ ขอยื่นญัตติเปิดประชุมสมัยวิสามัญกรณีเหตุกราดยิงศูนย์เด็กเล็กฯ ที่จังหวัดหนองบัวลำภู ว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ทั่วโลกมองมาที่ไทย และคนในประเทศก็ให้ความสนใจเรื่องนี้มาก นอกจากเราจะต้องแสดงความเสียใจและปลอบขวัญผู้เสียหายแล้ว เราจะต้องทำอะไรให้มากกว่านั้น ไม่ใช่แค่เศร้าแล้วเศร้าเลย โดยเอาความเศร้ามาถอดบทเรียนและต้องทำอะไรต่อไป ทั้งนี้ นอกจากนักการเมือง นักวิชาการแล้ว ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองอยากให้มีการถอดบทเรียน ดังนั้น ฝ่ายการเมืองจะนิ่งดูดายไม่ได้ อย่างไรก็ตาม เราไม่ได้ฉวยโอกาสทางการเมือง เราถือว่าเราได้เตือนรัฐบาลมาตลอดโดยเฉพาะเรื่องยาเสพติดแต่รัฐบาลไม่เคยฟังและไม่ยอมรับความจริง รัฐบาลชอบพูดว่าแก้ได้ดีที่สุดแล้ว แต่พอเกิดเหตุแบบนี้ เราจึงอยากใช้โอกาสนี้ชี้ให้รัฐบาลยอมรับความจริง นี่คือเรารู้กาลเทศะ หากเราละเลยและปล่อยหายไป นั่นคือเราไม่รู้กาลเทศะ ใครที่กล่าวหาเราแบบนี้ต้องกลับไปทบทวน
นายสุทินกล่าวต่อว่า สำหรับการยื่นญัตติด่วนนั้น ฝ่ายค้านจะนำข้อเรียกร้องของทุกฝ่ายในสังคมมาถอดบทเรียนกันในสภาฯ โดยเราจะหารือกันและคาดว่าจะเสนอยื่นญัตติได้ภายในสัปดาห์นี้ ซึ่งก็คาดว่าจะสามารถอภิปรายได้ในสัปดาห์ถัดไป อย่างไรก็ตาม อย่าอ้างว่าเดี๋ยวก็เปิดสภาฯ แล้ว ตนว่าช่วงเวลาที่เราว่างอยู่แล้วมาทำงานเพื่อประชาชนให้ทันการณ์ ถือว่าเป็นเรื่องน่าชื่นชม อีกทั้งเมื่อเปิดสภาฯ มามีวาระการพิจารณาเยอะ กว่าจะถึงวันนั้นโอกาสที่สังคมจะได้ตระหนักสูงสุดและได้รับความร่วมมือกับทุกภาคส่วนก็จะลดลงไป ก็ตีเหล็กซะตอนร้อนนี่แหละ ถือเป็นโอกาสที่รัฐบาลจะได้รับความร่วมมือด้วย
“หากเราขอเปิดญัตติด่วนแล้ว หากคิดเราจะใช้เวทีนี้หลอกด่าหรือใช้เวทีนี้โจมตี รัฐบาลจะกลัวทำไม รัฐบาลก็มีปากมีสมองเหมือนกัน เอาเป็นว่าพกปากพกสมองมาด้วย อย่าพกแต่มือมา ผมได้คุยกับ ส.ว.หลายท่าน หรือแม้แต่ ส.ส.ของรัฐบาลหลายคนก็เห็นด้วย ถ้าใครคิดว่าจะใช้เวทีนี้เพื่อการเมืองเดี๋ยวสังคมก็เล่นงานเอง ดังนั้นรัฐบาลอย่าไปกังวล ใช้โอกาสนี้เปิดวิสามัญซะ อย่าไปรอให้ถึงสามัญ ประชาชนก็จะได้สบายใจ เชื่อว่าผู้สูญเสียนอกจากเศร้าแล้ว เขาก็คงอยากถามกลับมาว่าเขาสูญเสีย เขาตาย เขาเจ็บ แล้วจะทำอะไรต่อหรือไม่ หรือแค่แสดงความเสียใจแล้วก็จบ” นายสุทินกล่าว
เมื่อถามว่า หากรัฐบาลไม่ยอมให้มีการเปิดสมัยวิสามัญฯ นายสุทินกล่าวว่า เสียดายแทนรัฐบาล โดยเราจะเดินหน้าจัดเวทีอื่น และฝ่ายค้านอาจจะเปิดเวทีเสวนาถอดบทเรียนเพื่อหาทางออกให้กับประเทศ หากไม่ได้ทำในสภาก็ทำนอกสภา
เมื่อถามว่า มองว่ารัฐบาลไม่ค่อยเอาจริงเอาจังกับการแก้ไขปัญหายาเสพติดหรือไม่ นายสุทินกล่าวว่า ขอฝากไปถึงรัฐบาลว่าวันนี้อย่าฉวยโอกาสเอาความโศกเศร้ามาเป็นข้ออ้างกลบเกลื่อน และปิดปากพวกเราไม่ให้พูดถึงความล้มเหลวของคุณ คุณอย่าแอบอยู่หลังความเศร้า
ถามต่อว่า นอกจากปัญหาเรื่องยาเสพติดแล้ว จะมีการหยิบยกประเด็นเรื่องการยุ่งเหยิงพยานหลักฐาน ซึ่งกำลังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อยู่ในขณะนี้มาพูดคุยด้วยหรือไม่ นายสุทินกล่าวว่า จะมีการพิจารณาเรื่องยาเสพติด อาวุธปืน องค์กรที่อยู่ใกล้อำนาจและอาวุธว่าจะต้องปฏิรูปหรือไม่ ตนขอฝากประเด็นเพิ่มเติมว่าอย่าไปด่วนสรุปว่าการตรวจเลือดของผู้ก่อเหตุแล้วไม่พบสารเสพติดนั้น อย่าไปพยายามโน้มน้าวให้คนเชื่อว่าเหตุการณ์นี้ไม่ได้มาจากยาเสพติด ตนว่าคิดผิด คนติดยาถ้าไม่ได้เสพยาจะคลุ้มคลั่ง ถึงแม้จะเคยเสพแล้วไม่ได้เสพหรือมีคนห้าม หรือมีสถานการณ์ที่ทำให้เขาเสพไม่ได้ตรงนั้นจะทำให้เขาคลุ้มคลั่ง เสพมากเกินไปหรือไม่ได้เสพก็คลุ้มคลั่ง ขอให้ดูดีๆ อย่าเพิ่งไปด่วนสรุป
จี้คลอดกฎหมาย ‘กัญชา-กัญชง’ เอกชนครวญ กระทบเศรษฐกิจ-ท่องเที่ยว
https://www.thansettakij.com/business/marketing/543252
ชี้สุญญากาศ “กัญชา-กัญชง” กระทบหนักผู้ประกอบการรายย่อย-ชาวบ้าน “ลุงดำ” ผนึกเครือข่ายกัญชาภาคประชาชน ยื่นหนังสือจี้กรรมาธิการเร่งคลอดพ.ร.บ. ยันผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว หลังนักธุรกิจเดินหน้าลงทุนแล้ว
หลังจากที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีมติให้นำร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) กัญชา กัญชง ที่คณะกรรมาธิการพิจารณาแล้ว กลับไปทบทวนใหม่ รวมทั้งศูนย์ศึกษาปัญหาการเสพติดของคณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เรียกร้องให้ทบทวนกฎหมายฉบับนี้ และนำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติด ทำให้การประกาศใช้ พ.ร.บ.ฯ ดังกล่าวต้องเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด และกลายเป็นสุญญากาศในการเดินหน้าทั้งกัญชาทางการแพทย์และกัญชาเพื่อสันทนาการ และยังสร้างความสับสนให้กับผู้ประกอบการด้วย
นายอร่าม ลิ้มสกุล หรือลุงดำ ประธานวิสาหกิจชุมชนสมุนไพรเกาะเต่า จังหวัดสุราษฎร์ธานี เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า การตีกลับกฏหมายกัญชา รวมถึงการนำเสนอให้กลับไปเป็นยาเสพติดเช่นเดิมนั้น จะส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการอย่างมาก เพราะปัจจุบันมีผู้เข้ามาลงทุนทำเพื่อให้เป็นพืชเศรษฐกิจจำนวนมาก หลายราย หากให้ย้อนกลับไปเป็นยาเสพติดจะส่งผลและทำให้เกิดปัญหาแน่นอน ซึ่งวันนี้พบว่ากัญชา กัญชงเริ่มเป็นที่ยอมรับให้เป็นพืชเศรษฐกิจ มีนักลงทุนต่างชาติ ตลอดจนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาเพื่อท่องเที่ยวและลงทุนจำนวนมาก
“หากย้อนกลับไปเป็นยาเสพติดสิ่งที่ลงทุนไปเป็น 1,000 ล้านบาทก็จะสูญไปด้วย ผู้ประกอบการรายย่อย ชาวบ้านตาดำๆ ก็จะเสียโอกาส แทนที่จะได้ปลูก 15 ต้น เพื่อนำไปใช้เป็นยารักษาตัวเองก็จะเสียโอกาสไปด้วย วันนี้อยากให้มองถึงผลประโยชน์ที่จะเกิดมากกว่าการขัดขา เป็นเกมการเมืองกัน”
ในแง่ของพ.ร.บ. กัญชาฯ อยากให้มีการกำกับดูแลเด็ก เยาวชน และสตรี ซึ่งก็มีอยู่แล้ว ส่วนผลกระทบจากกัญชา กัญชง ก็น้อยกว่าเหล้า บุหรี่ ซึ่งเมื่อถูกตีกลับ ก็จะเกิดสุญญากาศ ทำให้ไม่สามารถเดินหน้าได้ทั้งกัญชาทางการแพทย์และกัญชาเพื่อสันทนาการ ซึ่งที่ผ่านมายังมีความไม่ชัดเจนอีกมาก ทั้งเรื่องของการจำหน่าย การแปรรูป รวมถึงการใช้งาน
“ควรมีการกำหนดโซนนิ่งที่ชัดเจน โดยเฉพาะในเมืองท่องเที่ยว เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาเพื่อใช้บริการกัญชาในเมืองไทย ขณะเดียวกันก็ควรมีข้อกำหนด ข้อห้ามเด็ก เยาวชน และสตรีที่ชัดเจนด้วย”
อย่างไรก็ดี ในวันที่ 18 กันยายนที่ผ่านมา เครือข่ายกัญชาภาคประชาชน ได้ทำหนังสือถึงประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ. กัญชา-กัญชง เพื่อขอให้เร่งรัดให้มีกฎหมายกัญชา-กัญชง โดยยืนยันสิทธิการใช้กัญชาภาคประชาชน ในมิติด้านสุขภาพและด้านเศรษฐกิจเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนอย่างยั่งยืน โดยนำเสนอ 2 ข้อได้แก่
1. ควรจะต้องเร่งผลักดันให้ร่าง พ.ร.บ. กัญชา-กัญชง กม. ออกมาอย่างเร็วที่สุด เพื่อไม่ให้เกิดสุญญากาศ ในการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกัญชา กัญชง
2. ขอยืนยันเจตนารมณ์การใช้กัญชาเพื่อสุขภาพและเศรษฐกิจของประชาชนอย่างยั่งยืน โดยประชาชนมีสิทธิในการปลูกและการใช้ประโยชน์จากกัญชา กัญชงได้
ด้านนายยิ่งยศ จารุบุษปายน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ( Chief Executive Officer ) บริษัท ไทย ลีฟ ไบโอเทคโนโลยี จำกัด กล่าวแสดงความคิดเห็นว่า ในภาพรวมหากกัญชากลับไปเป็นยาเสพติดคงมีผลกระทบกับผู้ประกอบการหลายส่วน ส่วนแรกคือการเตรียมตัวทำกัญชาสันทนาการ ซึ่งจะกระทบเป็นวงกว้างเพราะตอนนี้มีผู้ประกอบการหน้าใหม่หลายคนเข้ามาปลูกช่อดอกกัญชาเพื่อสันทนาการค่อนข้างเยอะ นั่นแน่นอนว่ากระทบ
แต่ในส่วนของผู้ประกอบการรายใหญ่ที่ทำกัญชาอยู่แล้ว จะมุ่งไปที่การพัฒนากัญชาเป็นยามากกว่าเพราะฉะนั้นในส่วนของผู้ประกอบการรายใหญ่จะไม่ค่อยกระทบเท่าไร แต่ตอนนี้ผลกระทบที่เกิดขึ้นจริงๆคือช่องว่างในการนำกัญชามาทำสันทนาการที่เปิดเสรีเกินไป