เกิดจากการถูกเมิน ไม่ได้รับความสนใจปัญหาของตัวเอง หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่การก่อเหตุกราดยิงหมู่ก็เพื่อเรียกร้องให้สังคมหันมองตัวเอง ให้สปอตไลน์ส่องมาที่ตัวเอง แม้ตายไปแล้ว
ท่านรองนายกฯ ท่านถามว่า แล้วจะแก้ยังไง ป้องกันยังไง บอกมาหน่อย บอกมาเลยโถ๋
ผมว่าถ้าถอดบทเรียนตั้งแต่ครั้งแรก ป่านนี้เราคงได้มี Action ประมาณนี้แล้วเมื่อเกิดเหตุซ้ำครั้งนี้
1. สื่อไม่กล้าตีข่าวใกล้ชิด เจาะลึก เผยแพร่ใบหน้าผู้ต้องหา สัมภาษณ์คนในครอบครัว เอาเรื่องเขามาเล่า ทำกราฟฟิคประกอบเป็นเรื่องเป็นราว ฯลฯ
เพราะกลัวถูกลงโทษ ยึดใบอนุญาต ปิดสถานี มีคดีทางอาญา เนื่องจากออกกฎหมายมาตั้งแต่ครั้งแต่แล้วว่าเคสแบบนี้ เพื่อไม่ให้สปอตไลส่องไปยังผู้ก่อเหตุตามที่เขาต้องการ อันจะเป็นตัวอย่างให้ผู้ก่อเหตุรายต่อไปเกิดขึ้นได้อีก
2. แก้ปัญหาทั้งหมดโดยเงียบ และ สรุปแถลงการณ์ออกมาอย่างรัดกุมตามจำเป็นครั้งเดียว ผ่านการกลั่นกรองมาอย่างดี ให้ลงเหมือนกันทุกเสื่อ
3.จัดฌาปนกิจ ผู้ก่อเหตุ ส่งแต่เถ้ากระดูกไปที่บ้าน พอ ไม่มีพิธีรีตองอะไรให้ทั้งนั้น เน้นเงียบ ไว ไร้การจดจำ
4.เราไม่สามารถทำให้ข่าวกราดยิงเงียบได้ เพราะยังไงก็ดังทั่วโลก แต่สิ่งที่ทำได้คือให้คนร้ายเป็นแค่ ชายคนหนึ่ง อย่าบอกว่าเราควบคุมปิดกั้นข่าวสารไม่ได้ ประเทศเรานี้แหละถนัดเรื่องนี้นัก ลองคิดดูดีๆว่ามีกี่เรื่องที่สื่อจะไม่กล้าลงเด็ดขาด เราทำได้เชื่อเถอะ
5.เทพื้นที่ข่าวไปที่เรื่องของการช่วยเหลือ เยียวยา การบริจาคเลือด ฯลฯ และสร้างประชาคมร่วมในหมู่คนไทยว่าเคสแบบนี้เราจะไม่พูดถึงคนร้าย ให้มันถูกเลือนไป ให้เหมือนพูดถึงคนที่คุณก็รู้ว่าใครในแฮรี่พอตเตอร์พอ
6. ถ้าปัญหามาจากยาเสพย์ติด ก็อย่ากลัวที่จะประกาศสงครามกับยาเสพย์ติด นักสิทธิมนุษยชนกลัวการฆ่าตัดตอนเหรอ งั้นประกาศล่วงหน้าซัก 2 ปีเป็นไรไป ให้ผู้บริสุทธิ์และผู้เกี่ยวข้องถอนตัวออกมา 2 ปีก่อน หลังจากนั้นจะปราบปรามเด็ดขาดแล้วนะ ถ้าตัดตอนกันตอนนั้นแสดงว่าคุณไม่อยากออกจากวงการเองแล้วล่ะ แล้วมันก็เหมือนพวกแชร์ลูกโซ่แหละ พอวงแตก พ่อข่าย แม่ข่าย ใครๆก็กลายเป็นเหยื่อ กลายเป็นผู้บริสุทธิ์ทั้งนั้นแหละ ใครจะยอมรับว่าตัวเองเป็นพ่อค้ายา
ท่านรองนายกฯท่านถามมา ผมชาวบ้านธรรมดาก็คิดให้ท่านได้แค่นี้แหละ
เหตุกราดยิงในไทยทั้งสองเคส เป็นการอยากตายอยู่แล้ว บนพื้นฐานก่อนตายว่า "คราวนี้พวกเมริงคงเห็นหัวกรูแล้วซินะ"
ท่านรองนายกฯ ท่านถามว่า แล้วจะแก้ยังไง ป้องกันยังไง บอกมาหน่อย บอกมาเลยโถ๋
ผมว่าถ้าถอดบทเรียนตั้งแต่ครั้งแรก ป่านนี้เราคงได้มี Action ประมาณนี้แล้วเมื่อเกิดเหตุซ้ำครั้งนี้
1. สื่อไม่กล้าตีข่าวใกล้ชิด เจาะลึก เผยแพร่ใบหน้าผู้ต้องหา สัมภาษณ์คนในครอบครัว เอาเรื่องเขามาเล่า ทำกราฟฟิคประกอบเป็นเรื่องเป็นราว ฯลฯ
เพราะกลัวถูกลงโทษ ยึดใบอนุญาต ปิดสถานี มีคดีทางอาญา เนื่องจากออกกฎหมายมาตั้งแต่ครั้งแต่แล้วว่าเคสแบบนี้ เพื่อไม่ให้สปอตไลส่องไปยังผู้ก่อเหตุตามที่เขาต้องการ อันจะเป็นตัวอย่างให้ผู้ก่อเหตุรายต่อไปเกิดขึ้นได้อีก
2. แก้ปัญหาทั้งหมดโดยเงียบ และ สรุปแถลงการณ์ออกมาอย่างรัดกุมตามจำเป็นครั้งเดียว ผ่านการกลั่นกรองมาอย่างดี ให้ลงเหมือนกันทุกเสื่อ
3.จัดฌาปนกิจ ผู้ก่อเหตุ ส่งแต่เถ้ากระดูกไปที่บ้าน พอ ไม่มีพิธีรีตองอะไรให้ทั้งนั้น เน้นเงียบ ไว ไร้การจดจำ
4.เราไม่สามารถทำให้ข่าวกราดยิงเงียบได้ เพราะยังไงก็ดังทั่วโลก แต่สิ่งที่ทำได้คือให้คนร้ายเป็นแค่ ชายคนหนึ่ง อย่าบอกว่าเราควบคุมปิดกั้นข่าวสารไม่ได้ ประเทศเรานี้แหละถนัดเรื่องนี้นัก ลองคิดดูดีๆว่ามีกี่เรื่องที่สื่อจะไม่กล้าลงเด็ดขาด เราทำได้เชื่อเถอะ
5.เทพื้นที่ข่าวไปที่เรื่องของการช่วยเหลือ เยียวยา การบริจาคเลือด ฯลฯ และสร้างประชาคมร่วมในหมู่คนไทยว่าเคสแบบนี้เราจะไม่พูดถึงคนร้าย ให้มันถูกเลือนไป ให้เหมือนพูดถึงคนที่คุณก็รู้ว่าใครในแฮรี่พอตเตอร์พอ
6. ถ้าปัญหามาจากยาเสพย์ติด ก็อย่ากลัวที่จะประกาศสงครามกับยาเสพย์ติด นักสิทธิมนุษยชนกลัวการฆ่าตัดตอนเหรอ งั้นประกาศล่วงหน้าซัก 2 ปีเป็นไรไป ให้ผู้บริสุทธิ์และผู้เกี่ยวข้องถอนตัวออกมา 2 ปีก่อน หลังจากนั้นจะปราบปรามเด็ดขาดแล้วนะ ถ้าตัดตอนกันตอนนั้นแสดงว่าคุณไม่อยากออกจากวงการเองแล้วล่ะ แล้วมันก็เหมือนพวกแชร์ลูกโซ่แหละ พอวงแตก พ่อข่าย แม่ข่าย ใครๆก็กลายเป็นเหยื่อ กลายเป็นผู้บริสุทธิ์ทั้งนั้นแหละ ใครจะยอมรับว่าตัวเองเป็นพ่อค้ายา
ท่านรองนายกฯท่านถามมา ผมชาวบ้านธรรมดาก็คิดให้ท่านได้แค่นี้แหละ