คณะก้าวหน้าชี้ ไทยต้องมีระบบเตือนภัยฉุกเฉินผ่านมือถือได้แล้ว!
https://www.matichon.co.th/politics/news_3597335
เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2565 คณะก้าวหน้าโพสต์ข้อความระบุว่า
ไทยต้องมีระบบเตือนภัยฉุกเฉินผ่านมือถือได้แล้ว!
พายุฝนที่กระหน่ำเข้าไทยลูกแล้วลูกเล่าในรอบเดือนที่ผ่านมา ได้นำมาซึ่งเหตุอุทกภัยในหลายจุดทั่วประเทศ โดยเฉพาะที่ภาคอีสานตอนล่างในเวลานี้
ความเป็นจริงแล้ว การเกิดน้ำท่วมหลังพายุฝนเป็นเรื่องที่คาดหมายได้ว่าจะเกิดขึ้นในพื้นที่เสี่ยงหลายแห่ง และเทคโนโลยีที่นำมาใช้คาดการณ์ว่าปริมาณน้ำฝนจะมาเท่าไหร่ และจะมีจุดใดบ้างที่เสี่ยงประสบเหตุอุทกภัย ก็ได้ถูกใช้ในหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องในประเทศไทยมานานแล้ว
แต่สิ่งที่ยังขาดไปในปัจจุบัน ก็คือการสื่อสารกับประชาชนให้รับทราบถึงข้อมูลเหล่านี้ หากไม่ใช่ผู้ที่ติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด ก็เป็นเรื่องยากที่จะคาดการณ์ได้ว่าบ้านตัวเองจะน้ำท่วมหรือไม่ จนหลายครั้ง กว่าที่ประชาชนจะรู้ว่าบ้านตัวเองน้ำจะท่วม ก็ตอนที่น้ำไหลเข้าบ้านแล้ว
ในประเทศที่การบริหารจัดการภัยพิบัติมีปัญหาทั้งระบบ น้ำท่วมเป็นแค่ปรากฏการณ์หนึ่ง ในรอบปีที่ผ่านมาเราได้เห็นเหตุการณ์ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งภัยธรรมชาติอย่างพายุเข้า น้ำป่าไหลหลาก และภัยที่มนุษย์ก่อ อย่างน้ำมันรั่วกลางทะเล สารเคมีระเบิด สารเคมีรั่วไหล ไฟไหม้โรงงานเก็บสารเคมี ฯลฯ ซึ่งล้วนแต่มีปัญหาร่วมกัน คือการแจ้งเตือนประชาชนที่ล่าช้าและไม่ทั่วถึง
นั่นจึงนำมาสู่ข้อเสนอและการเปิดแคมเปญของคณะก้าวหน้าผ่าน change.org โดย ไกลก้อง ไวทยการ เพื่อเรียกร้องให้หน่วยงานที่มีหน้าที่ด้านการสื่อสารโดยตรงอย่าง กสทช.จัดทำระบบ SMS เตือนภัยขึ้นมา
ในหลายประเทศที่เกิดภัยพิบัติบ่อยครั้ง ระบบเตือนภัยผ่านมือถือ แบบ Wireless Emergency Alerts (WEAs) ได้ถูกนำมาใช้ในการแจ้งเตือนภัยแก่ประชาชน ยิงตรงเข้าโทรศัพท์ของทุกคน ไม่ต้องให้ประชาชนติดตามข่าวสารกันเอง ทำให้ประชาชนเตรียมตัวรับมือได้ทันทีที่มีความเสี่ยง
เทคโนโลยีที่ใช้คาดการณ์ภัยพิบัติของหน่วยงานต่างๆ จะมีประโยชน์อะไร ถ้าสุดท้ายมันทำให้มีแต่หน่วยงานรัฐกันเองเท่านั้นรับรู้ ส่วนประชาชนก็ต้องรอการประกาศอย่างเป็นทางการตามวิทยุ โทรทัศน์ และสื่อโซเชียลมีเดียกันเอง ซึ่งหลายครั้งก็สร้างความสับสนให้ประชาชน
กสทช. ในฐานะองค์กรกำกับกิจการการสื่อสาร สามารถทำระบบ WEAs ขึ้นมาได้ทันที โดยเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยงานที่มีระบบฐานข้อมูลภัยพิบัติ และเครือข่ายผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ แจ้งเตือนประชาชนที่อยู่ในเขตเสาสัญญาณเครือข่ายในพื้นที่ที่เกิดภัยพิบัติ
นี่คือเรื่องที่ต่างประเทศทำกันมานานแล้ว และไม่ใช่เรื่องยาก ขอแค่หน่วยงานที่มีงบประมาณอย่าง กสทช.ลงมือทำ และสามารถทำได้ทันที ไม่มีเหตุผลอะไรให้ต้องรออีกแล้ว
ร่วมลงชื่อรณรงค์ให้ กสทช.ต้องทำระบบเตือนภัยผ่านมือถือ ได้ที่นี่ https://chng.it/PbgSNqZdcm
https://www.facebook.com/ThailandProgressiveMovement/posts/pfbid02vh9hzgUujGUvwBDjLTWUxfK1xFYhECHcUsyh4eAXkBgJ2ksi3tzRZAKtsLn2rLEal
"ค่าไฟ"แพงถึงปีหน้า! "กฟผ."เผยราคาเชื้อเพลิงหลักผันแปรตามราคาน้ำมัน
https://siamrath.co.th/n/387871
เมื่อวันที่ 4 ต.ค.65 นาย
ประเสริฐศักดิ์ เชิงชวโน รองผู้ว่าการยุทธศาสตร์และโฆษก การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยว่า แนวโน้มค่าไฟฟ้าปี 66 จะทรงตัวระดับสูงต่อไป เนื่องจากราคาเชื้อเพลิงหลัก โดยเฉพาะก๊าซธรรมชาติ ผันแปรตามราคาน้ำมัน ขณะที่ไทยต้องพึ่งพาก๊าซแอลเอ็นจีนำเข้าถึง 20% ที่มีราคาสูงมาก หากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ยังยืดเยื้อต่อเนื่อง จะยิ่งทำให้ราคาก๊าซแอลเอ็นจีมีแนวโน้มแพงมาก เช่น หากราคาก๊าซแอลเอ็นจีอยู่ที่ 50 เหรียญสหรัฐต่อล้านบีทียู จากปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 40 เหรียญสหรัฐต่อล้านบีทียู เมื่อเทียบเป็นหน่วยค่าไฟฟ้าจองไทย จะสูงถึงกว่า 13.30 บาทต่อหน่วย ดังนั้นหากผู้ใช้ไฟฟ้าร่วมกันประหยัด หรือใช้ไฟฟ้าให้น้อยลงมากที่สุด จะทำให้ใช้ก๊าซแอลเอ็นจีน้อยลงต้นทุนค่าไฟฟ้าก็จะต่ำลง
“การบริหารต้นทุนค่าไฟฟ้า กระทรวงพลังงาน อยู่ระหว่างดำเนินการปรับแผนเชื้อเพลิงให้เหมาะสม ทั้งใช้ดีเซลทดแทนแอลเอ็นจีที่แพงกว่า ยืดอายุโรงไฟฟ้าถ่านหินแม่เมาะ และกฟผ.ได้สั่งจ่ายจากโรงไฟฟ้าต้นทุนที่ต่ำที่สุดก่อน เช่น โรงไฟฟ้าพลังน้ำ พร้อมปรับระบบไฟฟ้ารองรับพลังงานทดแทนที่จะเข้าระบบมากขึ้นให้มั่นคง ได้จัดทำโครงข่ายระบบไฟฟ้ามีความทันสมัย ยืดหยุ่น นำพลังงานหมุนเวียนมาปรับใช้ได้อย่างเหมาะสม” นาย
ประเสริฐศักดิ์ กล่าว
ด้านนางสาว
นันธิกา ทังสุพานิช อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน(ธพ.) เปิดเผยภาพรวมการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ยในช่วง 8 เดือน(ม.ค. – ส.ค.) 2565 อยู่ที่ 150.92 ล้านลิตร/วัน เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 15.2% โดยการใช้กลุ่มดีเซลเพิ่มขึ้น 17.6% น้ำมันอากาศยานเชิงพาณิชย์ (Jet A1) เพิ่มขึ้น 80% น้ำมันเตาเพิ่มขึ้น 18.6% LPG เพิ่มขึ้น 10.8% และการใช้ NGV เพิ่มขึ้น 8.4% การใช้กลุ่มเบนซินเพิ่มขึ้น 4.5% ขณะที่น้ำมันก๊าดลดลง 8.1% ทั้งนี้ ภาพรวมความต้องการใช้น้ำมันที่เพิ่มขึ้น เป็นผลมาจากสถานการณ์โควิด-19 ที่ได้คลี่คลายและมีแนวโน้มดีขึ้น จากการดำเนินมาตรการทางสาธารณสุขจนสามารถผ่อนปรนมาตรการและข้อจำกัดต่างๆ และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวที่มีการฟื้นตัวอย่างชัดเจนจากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เริ่มกลับมาท่องเที่ยวในไทยเพิ่มขึ้น
ใกล้วิกฤต! มวลน้ำทะลักเข้าใจกลางเมืองเลย ชาวบ้านผวา ท่วมหนักซ้ำ ปี 45และ54
https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_7298303
เลย สถานการณ์น้ำท่วมกำลังเข้าสู่ช่วงวิกฤต ปริมาณน้ำเอ่อไหลทะลักเข้าท่วมใจกลางเมือง สูง 40 ซม. เป็นสถิติใหม่วันนี้ ชาวบ้านผวา ท่วมหนักหวั่นซ้ำรอย ปี 45 และ ปี 54
4 ต.ค. 65 – สถานการณ์ระดับน้ำ จังหวัดเลย กำลังเข้าสู่ช่วงวิกฤต ขณะนี้มวลน้ำได้เอ่อท่วมสูงมากขึ้นกว่าทุกวัน และเป็นสถิติใหม่ และล้นหลากเข้าพื้นที่ชั้นในของเทศบาลเมืองเลย ซึ่งเป็นพื้นที่เศรษฐกิจ
พื้นที่ดังกล่าวมีทั้ง ธนาคาร ร้านค้าต่างๆ ซึ่งเริ่มได้รับความเสียหาย โดยเฉพาะที่บริเวณวงเวียนน้ำพุ ซึ่งเป็นใจกลางเมืองนั้น ระดับน้ำสูง 30-40 เซนติเมตร ส่งผลให้การสัญจรไปมาเพื่อเข้าในพื้นที่ตัวเมือง ไม่สามารถเข้าได้ขณะนี้ ชาวบ้านที่อยู่บริเวณดังกล่าวต้องเร่งขนของไปไว้พื้นที่ปลอดภัย
ชาวบ้านในพื้นที่บอกว่า เทศบาลเมืองเลยไม่ได้ท่วมแบบนี้หลายปีแล้วตั้งแต่ปี 2545 และ 2554 มาปีนี้ไม่รู้จะ ท่วมหนักเหมือนเดิมแบบ ปี54 หรือไม่ กลัวจะท่วม เพราะหากท่วมหนักทุกอย่างจะเสียหายหมดและลำบากกันไปหมด ไม่รู้จะทำยังไง กลัวจะเหมือนปี 54 กลัวจริงๆ
JJNY : ก้าวหน้าชี้มีเตือนภัยผ่านมือถือได้แล้ว!│ค่าไฟแพงถึงปีหน้า!│น้ำทะลักกลางเมืองเลย│เกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธผ่านญี่ปุ่น
https://www.matichon.co.th/politics/news_3597335
เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2565 คณะก้าวหน้าโพสต์ข้อความระบุว่า
ไทยต้องมีระบบเตือนภัยฉุกเฉินผ่านมือถือได้แล้ว!
พายุฝนที่กระหน่ำเข้าไทยลูกแล้วลูกเล่าในรอบเดือนที่ผ่านมา ได้นำมาซึ่งเหตุอุทกภัยในหลายจุดทั่วประเทศ โดยเฉพาะที่ภาคอีสานตอนล่างในเวลานี้
ความเป็นจริงแล้ว การเกิดน้ำท่วมหลังพายุฝนเป็นเรื่องที่คาดหมายได้ว่าจะเกิดขึ้นในพื้นที่เสี่ยงหลายแห่ง และเทคโนโลยีที่นำมาใช้คาดการณ์ว่าปริมาณน้ำฝนจะมาเท่าไหร่ และจะมีจุดใดบ้างที่เสี่ยงประสบเหตุอุทกภัย ก็ได้ถูกใช้ในหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องในประเทศไทยมานานแล้ว
แต่สิ่งที่ยังขาดไปในปัจจุบัน ก็คือการสื่อสารกับประชาชนให้รับทราบถึงข้อมูลเหล่านี้ หากไม่ใช่ผู้ที่ติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด ก็เป็นเรื่องยากที่จะคาดการณ์ได้ว่าบ้านตัวเองจะน้ำท่วมหรือไม่ จนหลายครั้ง กว่าที่ประชาชนจะรู้ว่าบ้านตัวเองน้ำจะท่วม ก็ตอนที่น้ำไหลเข้าบ้านแล้ว
ในประเทศที่การบริหารจัดการภัยพิบัติมีปัญหาทั้งระบบ น้ำท่วมเป็นแค่ปรากฏการณ์หนึ่ง ในรอบปีที่ผ่านมาเราได้เห็นเหตุการณ์ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งภัยธรรมชาติอย่างพายุเข้า น้ำป่าไหลหลาก และภัยที่มนุษย์ก่อ อย่างน้ำมันรั่วกลางทะเล สารเคมีระเบิด สารเคมีรั่วไหล ไฟไหม้โรงงานเก็บสารเคมี ฯลฯ ซึ่งล้วนแต่มีปัญหาร่วมกัน คือการแจ้งเตือนประชาชนที่ล่าช้าและไม่ทั่วถึง
นั่นจึงนำมาสู่ข้อเสนอและการเปิดแคมเปญของคณะก้าวหน้าผ่าน change.org โดย ไกลก้อง ไวทยการ เพื่อเรียกร้องให้หน่วยงานที่มีหน้าที่ด้านการสื่อสารโดยตรงอย่าง กสทช.จัดทำระบบ SMS เตือนภัยขึ้นมา
ในหลายประเทศที่เกิดภัยพิบัติบ่อยครั้ง ระบบเตือนภัยผ่านมือถือ แบบ Wireless Emergency Alerts (WEAs) ได้ถูกนำมาใช้ในการแจ้งเตือนภัยแก่ประชาชน ยิงตรงเข้าโทรศัพท์ของทุกคน ไม่ต้องให้ประชาชนติดตามข่าวสารกันเอง ทำให้ประชาชนเตรียมตัวรับมือได้ทันทีที่มีความเสี่ยง
เทคโนโลยีที่ใช้คาดการณ์ภัยพิบัติของหน่วยงานต่างๆ จะมีประโยชน์อะไร ถ้าสุดท้ายมันทำให้มีแต่หน่วยงานรัฐกันเองเท่านั้นรับรู้ ส่วนประชาชนก็ต้องรอการประกาศอย่างเป็นทางการตามวิทยุ โทรทัศน์ และสื่อโซเชียลมีเดียกันเอง ซึ่งหลายครั้งก็สร้างความสับสนให้ประชาชน
กสทช. ในฐานะองค์กรกำกับกิจการการสื่อสาร สามารถทำระบบ WEAs ขึ้นมาได้ทันที โดยเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยงานที่มีระบบฐานข้อมูลภัยพิบัติ และเครือข่ายผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ แจ้งเตือนประชาชนที่อยู่ในเขตเสาสัญญาณเครือข่ายในพื้นที่ที่เกิดภัยพิบัติ
นี่คือเรื่องที่ต่างประเทศทำกันมานานแล้ว และไม่ใช่เรื่องยาก ขอแค่หน่วยงานที่มีงบประมาณอย่าง กสทช.ลงมือทำ และสามารถทำได้ทันที ไม่มีเหตุผลอะไรให้ต้องรออีกแล้ว
ร่วมลงชื่อรณรงค์ให้ กสทช.ต้องทำระบบเตือนภัยผ่านมือถือ ได้ที่นี่ https://chng.it/PbgSNqZdcm
https://www.facebook.com/ThailandProgressiveMovement/posts/pfbid02vh9hzgUujGUvwBDjLTWUxfK1xFYhECHcUsyh4eAXkBgJ2ksi3tzRZAKtsLn2rLEal
"ค่าไฟ"แพงถึงปีหน้า! "กฟผ."เผยราคาเชื้อเพลิงหลักผันแปรตามราคาน้ำมัน
https://siamrath.co.th/n/387871
เมื่อวันที่ 4 ต.ค.65 นายประเสริฐศักดิ์ เชิงชวโน รองผู้ว่าการยุทธศาสตร์และโฆษก การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยว่า แนวโน้มค่าไฟฟ้าปี 66 จะทรงตัวระดับสูงต่อไป เนื่องจากราคาเชื้อเพลิงหลัก โดยเฉพาะก๊าซธรรมชาติ ผันแปรตามราคาน้ำมัน ขณะที่ไทยต้องพึ่งพาก๊าซแอลเอ็นจีนำเข้าถึง 20% ที่มีราคาสูงมาก หากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ยังยืดเยื้อต่อเนื่อง จะยิ่งทำให้ราคาก๊าซแอลเอ็นจีมีแนวโน้มแพงมาก เช่น หากราคาก๊าซแอลเอ็นจีอยู่ที่ 50 เหรียญสหรัฐต่อล้านบีทียู จากปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 40 เหรียญสหรัฐต่อล้านบีทียู เมื่อเทียบเป็นหน่วยค่าไฟฟ้าจองไทย จะสูงถึงกว่า 13.30 บาทต่อหน่วย ดังนั้นหากผู้ใช้ไฟฟ้าร่วมกันประหยัด หรือใช้ไฟฟ้าให้น้อยลงมากที่สุด จะทำให้ใช้ก๊าซแอลเอ็นจีน้อยลงต้นทุนค่าไฟฟ้าก็จะต่ำลง
“การบริหารต้นทุนค่าไฟฟ้า กระทรวงพลังงาน อยู่ระหว่างดำเนินการปรับแผนเชื้อเพลิงให้เหมาะสม ทั้งใช้ดีเซลทดแทนแอลเอ็นจีที่แพงกว่า ยืดอายุโรงไฟฟ้าถ่านหินแม่เมาะ และกฟผ.ได้สั่งจ่ายจากโรงไฟฟ้าต้นทุนที่ต่ำที่สุดก่อน เช่น โรงไฟฟ้าพลังน้ำ พร้อมปรับระบบไฟฟ้ารองรับพลังงานทดแทนที่จะเข้าระบบมากขึ้นให้มั่นคง ได้จัดทำโครงข่ายระบบไฟฟ้ามีความทันสมัย ยืดหยุ่น นำพลังงานหมุนเวียนมาปรับใช้ได้อย่างเหมาะสม” นายประเสริฐศักดิ์ กล่าว
ด้านนางสาวนันธิกา ทังสุพานิช อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน(ธพ.) เปิดเผยภาพรวมการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ยในช่วง 8 เดือน(ม.ค. – ส.ค.) 2565 อยู่ที่ 150.92 ล้านลิตร/วัน เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 15.2% โดยการใช้กลุ่มดีเซลเพิ่มขึ้น 17.6% น้ำมันอากาศยานเชิงพาณิชย์ (Jet A1) เพิ่มขึ้น 80% น้ำมันเตาเพิ่มขึ้น 18.6% LPG เพิ่มขึ้น 10.8% และการใช้ NGV เพิ่มขึ้น 8.4% การใช้กลุ่มเบนซินเพิ่มขึ้น 4.5% ขณะที่น้ำมันก๊าดลดลง 8.1% ทั้งนี้ ภาพรวมความต้องการใช้น้ำมันที่เพิ่มขึ้น เป็นผลมาจากสถานการณ์โควิด-19 ที่ได้คลี่คลายและมีแนวโน้มดีขึ้น จากการดำเนินมาตรการทางสาธารณสุขจนสามารถผ่อนปรนมาตรการและข้อจำกัดต่างๆ และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวที่มีการฟื้นตัวอย่างชัดเจนจากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เริ่มกลับมาท่องเที่ยวในไทยเพิ่มขึ้น
ใกล้วิกฤต! มวลน้ำทะลักเข้าใจกลางเมืองเลย ชาวบ้านผวา ท่วมหนักซ้ำ ปี 45และ54
https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_7298303
เลย สถานการณ์น้ำท่วมกำลังเข้าสู่ช่วงวิกฤต ปริมาณน้ำเอ่อไหลทะลักเข้าท่วมใจกลางเมือง สูง 40 ซม. เป็นสถิติใหม่วันนี้ ชาวบ้านผวา ท่วมหนักหวั่นซ้ำรอย ปี 45 และ ปี 54
4 ต.ค. 65 – สถานการณ์ระดับน้ำ จังหวัดเลย กำลังเข้าสู่ช่วงวิกฤต ขณะนี้มวลน้ำได้เอ่อท่วมสูงมากขึ้นกว่าทุกวัน และเป็นสถิติใหม่ และล้นหลากเข้าพื้นที่ชั้นในของเทศบาลเมืองเลย ซึ่งเป็นพื้นที่เศรษฐกิจ
พื้นที่ดังกล่าวมีทั้ง ธนาคาร ร้านค้าต่างๆ ซึ่งเริ่มได้รับความเสียหาย โดยเฉพาะที่บริเวณวงเวียนน้ำพุ ซึ่งเป็นใจกลางเมืองนั้น ระดับน้ำสูง 30-40 เซนติเมตร ส่งผลให้การสัญจรไปมาเพื่อเข้าในพื้นที่ตัวเมือง ไม่สามารถเข้าได้ขณะนี้ ชาวบ้านที่อยู่บริเวณดังกล่าวต้องเร่งขนของไปไว้พื้นที่ปลอดภัย
ชาวบ้านในพื้นที่บอกว่า เทศบาลเมืองเลยไม่ได้ท่วมแบบนี้หลายปีแล้วตั้งแต่ปี 2545 และ 2554 มาปีนี้ไม่รู้จะ ท่วมหนักเหมือนเดิมแบบ ปี54 หรือไม่ กลัวจะท่วม เพราะหากท่วมหนักทุกอย่างจะเสียหายหมดและลำบากกันไปหมด ไม่รู้จะทำยังไง กลัวจะเหมือนปี 54 กลัวจริงๆ