ถ้าประเทศเราใช้รถไฟฟ้าเกิน 60% จำลดการขาดดุลจากการนำเข้าน้ำมันได้เยอะใหมครับ

เคยเจอข่าวเก่าต้นปี 65 ราคาน้ำมันพอๆกับวันนี้ นำเข้าเดือนละ 6 หมื่นกว่าล้าน
ปีนึงก็ประมาณ 720,000 ล้านบาท
ถ้าประเทศเราใช้รถไฟฟ้าเกิน 60% จะลดการขาดดุลจากการนำเข้าน้ำมันได้เยอะใหมครับ
และถ้าลดได้เยอะ จะเป็นผลดีกับประเทศเราใหมครับ
ถ้าลดได้สัก 4 แสนล้านเงินในส่วนนี้จะกลับมาเป็นเงินที่จ้างงานในส่วนของโรงไฟฟ้าของบริษัทที่ผลิตไฟฟ้าในประเทศเราใหมครับ
(ถ้าไม่ได้ไปซื้อไฟฟ้าจากต่างประเทศ)
ขอบคุณครับ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 7
งงนะ

หลายคนข้างบน ก็ตอบแบบมีความรู้ มีข้อมูลอยู่ในหัวอยู่แล้ว แต่ทำไม .. คิดเรื่องข้างล่างที่ผมจะเขียนนี้ไม่ได้ ???

1. ใช่ ปริมาณน้ำมันดิบนำเข้ามากลั่น หลักๆ อิงจาก "ความต้องการใช้น้ำมันดีเซล" ในประเทศเป็นหลัก ส่วนน้ำมันอื่นๆ ที่กลั่นได้ เป็นรอง ตอบสนองความต้องการใช้ของคนในประเทศ ส่วนที่เหลือเกินกว่านั้น ส่งออกทั้งหมด
2. ฉนั้น ถ้าคนใช้รถยนต์เครื่องเบนซิน เปลี่ยนมาใช้รถเก๋งไฟฟ้า 60% แล้วมีผลให้ ปริมาณความต้องการน้ำมันเบนซินในประเทศลดลง 60% จากปัจจุบันนี้ (สมมติตัวเลขง่ายๆ ให้สอดคล้องละกัน) ... ก็เอาน้ำมันเบนซินที่เหลือมากขึ้นเหล่านั้น ---> " ไปส่งออกต่างประเทศสิครับ "
3. โดยปกติ ราคาเบนซินตลาดโลก (ฝั่งเอเซีย อิงตลาดสิงคโปร์) จะแพงกว่า ราคาน้ำมันดิบที่ตะวันออกกลาง (ดูไบ) ราวๆ 10-15% อยู่แล้ว  ฉนั้น การที่กลั่นได้เบนซินเหลือมากขึ้น แล้วส่งออกในราคาที่แพงกว่าราคาน้ำมันดิบต้นทุน  มันได้กำไรมากขึ้น มันได้ส่วนชดเชยการขาดดุลการค้ามากขึ้นครับ

ผมคิดถูกมั้ย ???

นอกจากนี้นะ
- ถึงจะต้องขาดดุลเพิ่มจากการนำเข้าวัตถุดิบไปผลิตไฟฟ้า แต่โดยสุทธิแล้ว " ต้นทุนวัตถุดิบพลังงาน " มันถูกกว่าครับ คิดง่ายๆ เลยนะครับ
1. รถเก๋งไฟฟ้า ค่าใช้จ่ายต่อ กม.ที่รถวิ่ง ตก 0.4-0.7 บาท/กม.  เทียบกับตอนเป็นเบนซิน ตก 2 บาท/กม. (นี่คิดราคาน้ำมันเบนซินสิงคโปร์ 22-25 บาท/ลิตร ไม่รวมภาษีและเงินกองทุนอะไรเลย แม้แต่สลึงเดียว)
2. คุณคิดว่า ที่ราคาค่าไฟให้รถเก๋งไปชาร์จจนวิ่งได้ถูกๆ แบบนี้ เค้าขายไฟให้คุณถูกๆ จนขาดทุนทุกปีเหรอครับ ???
3. รู้มั้ยว่า บริษัทผลิตไฟฟ้าจากวัตถุดิบพลังงานทั้งหลาย กำไรปีๆ นึง กี่ %
ให้เปิด link ข้างล่างนี้ดู แล้วก็เลื่อนลงไปดูที่บรรทัดล่างสุด  " อัตรากำไรสุทธิ (หน่วยเป็น %) "
https://classic.settrade.com/C04_03_stock_companyhighlight_p1.jsp?txtSymbol=BANPU&ssoPageId=12&selectPage=3
https://classic.settrade.com/C04_03_stock_companyhighlight_p1.jsp?txtSymbol=EGCO&ssoPageId=12&selectPage=3
https://classic.settrade.com/C04_03_stock_companyhighlight_p1.jsp?txtSymbol=GULF&ssoPageId=12&selectPage=3
https://classic.settrade.com/C04_03_stock_companyhighlight_p1.jsp?txtSymbol=PTTEP&ssoPageId=12&selectPage=3
https://classic.settrade.com/C04_03_stock_companyhighlight_p1.jsp?txtSymbol=RATCH&ssoPageId=12&selectPage=3
ผมรู้จักแค่ 5 รายนี้นะ ถ้ามีรายอื่นมากกว่านี้ ผมก็ไม่รู้ละ

แล้วเอามาเทียบกับ ผลประกอบการ / กำไรของโรงกลั่นน้ำมันในไทยทั้ง 6 โรงนะ
https://classic.settrade.com/C04_03_stock_companyhighlight_p1.jsp?txtSymbol=BCP&ssoPageId=12&selectPage=3
https://classic.settrade.com/C04_03_stock_companyhighlight_p1.jsp?txtSymbol=ESSO&ssoPageId=12&selectPage=3
https://classic.settrade.com/C04_03_stock_companyhighlight_p1.jsp?txtSymbol=IRPC&ssoPageId=12&selectPage=3
https://classic.settrade.com/C04_03_stock_companyhighlight_p1.jsp?txtSymbol=PTTGC&ssoPageId=12&selectPage=3  
** --> บ.นี้ ทั้งกลั่นน้ำมัน + ธุรกิจปิโตรเคมี รวมกันด้วยนะ ฉนั้น % กำไรไม่ใช่มาจากน้ำมันอย่างเดียว **
https://classic.settrade.com/C04_03_stock_companyhighlight_p1.jsp?txtSymbol=SPRC&ssoPageId=12&selectPage=3
https://classic.settrade.com/C04_03_stock_companyhighlight_p1.jsp?txtSymbol=TOP&ssoPageId=12&selectPage=3

ส่วน OR นี้ ทำธุรกิจค้าปลีกน้ำมันล้วนๆ + ธุรกิจเสริมในปั๊ม ปตท.ทั่วประเทศ
https://classic.settrade.com/C04_03_stock_companyhighlight_p1.jsp?txtSymbol=OR&ssoPageId=12&selectPage=3

สรุป ... ในความคิดผม ให้รถเก๋งเบนซินส่วนใหญ่ในไทย เปลี่ยนไปเป็น รถเก๋งไฟฟ้า ---> ให้ผลรวมต่อประเทศ ดีกว่า ทุกแง่ทุกมุม
- ต้นทุนทางพลังงานถูกกว่า เจ้าของรถ happy ยาวนาน 5-8 ปี
- มลภาวะไอเสียจากรถ ลดลงเห็นๆ แบบไม่ต้องคิดนาน
- มีการส่งออกน้ำมันเบนซินที่ราคาตลาดโลก แพงกว่าราคาน้ำมันดิบ ช่วยลดการขาดดุลทางการค้า

อ้อ ถ้าจะมาค้านว่า " แล้วตอนจะเอารถเก๋งไฟฟ้ามาใช้ ต้องนำเข้าทั้งคัน เสียเงินขาดดุลชัดเจน คันละ 5 แสน++ ไม่คิดบ้างหรือไง ?? "

ก็มันเงินของประชาชน คนที่จะซื้อรถเป็นรายคนไปนี่ครับ ใครอยากซื้อก็ซื้อ ใครจะไม่ซื้อก็ไม่ต้องซื้อ ...
คิดยังกับว่า การซื้อรถเก๋งเครื่องยนต์เบนซิน แล้วประเทศไทยจะไม่ขาดดุลการค้าให้ประเทศญี่ปุ่นในแต่ละคันที่รถขายได้ซะงั้น

ปล. แล้วถ้าจะมาบอกว่า แล้วโรงงานผลิตรถเก๋งเครื่องเบนซินของบ.ญี่ปุ่นในไทย กำลังผลิตรถเค้าเหลืออื้อซ่า สร้างปัญหาให้เค้าอีก ??
-->  ก็ส่งออกไปขายต่างประเทศ ประเทศโลกที่ 3 (ด้อยพัฒนา) ที่ยังล้าหลังกว่าประเทศไทย ซึ่งมีอีกเยอะแยะเป็นร้อยประเทศบนโลก

ครับ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 4
ลดการนำเข้าน้ำมันดิบได้ราวๆ2%-5%ครับ เพราะรถไฟฟ้ามาแทนรถเครื่องยนต์เบนซินเกือบทั้งหมด
แต่การนำเข้าน้ำมันดิบมาใช้เป็นพลังงานในบ้านเรา ยึดกับปริมาณการใช้น้ำมันดีเซล
หลักๆเราเอาน้ำมันดิบมากลั่นเป็นดีเซล ถ้าเราลดการใช้ดีเซลในภาคขนส่งและอุตสาหกรรมไม่ได้
ก็แทบไม่มีผลกับการนำเข้าน้ำมันดิบ

น้ำมันเบนซิน ทกวันนี้เรากลั่นเกินความต้องการจนต้องส่งออกเบนซิน บางคนถามอีกว่าทำไมลดการกลั่น
เบนซินไม่ได้ ก็ขอตอบแบบสมมุติให้เข้าใจง่ายๆว่าเวลาเรากลั่นน้ำมันครั้งดิบนึง มันได้น้ำมันสำเร็จรูปออกมา
จากหอกลั่นหลายประเภท เช่น ดีเซล เบนซิน น้ำมันอากาศยาน น้ำมันเตา ยางมะตอย แก๊สหุงต้ม
เวลาเรากลั่นเราจะกำหนดน้ำมันที่เราใช้เยอะที่สุดเป็นหลัก นั่นคือ ดีเซล

ถ้าวันนี้สมมุติเราต้องการใช้ดีเซล10,000ลิตร เราต้องยึดตัวนี้ไว้ก่อน แต่การจะกลั่นดีเซล
จำนวนนี้เราต้องซื้อน้ำมันดิบ(สมมุติ)X,000บาร์เรลมากลั่น เวลาเรากลั่นออกมาเราอาจจะได้
ดีเซล10,000ลิตร เบนซิน8,000ลิตร ETC.xxxxลิตร
แต่ตอนนั้นเราต้องการเบนซินแค่6,000ลิตร แปลว่าเหลือเบนซินไม่ได้ใช้2,000ลิตร
ถ้าวันนึงเราใช้รถไฟฟ้าเกิน80% ความต้องการเบนซินอาจจะเหลือแค่1,000ลิตรต่อวัน

แต่พอมองกลับไปภาคดีเซลความต้องการกลับยังสูงอาจจะเกือบหมื่นลิตรเท่าเดิม
เพราะงั้นเราก็ต้องนำเข้าน้ำมันดิบในปริมาณเกือบเท่าเดิมเพื่อกลั่นดีเซลให้พอกับความต้องการครับ
นี่ยังไม่พูดถึงผลิตภัณฑ์อื่นๆที่เราต้องใช้จากการกลั่นน้ำมันดิบอีก เช่น LPG , น้ำมันอากาศยาน
ซึ่งพวกนี้อนาคตก็ยังต้องใช้เยอะไม่ต่างจากดีเซลครับ
ก็เลยเป็นเหตุผลว่าถึงเราจะใช้รถยนต์ไฟฟ้ากันเยอะๆ ทำไมจึงลดการนำเข้าน้ำมันดิบได้น้อยมากๆๆๆ
และต้องไม่ลืมว่าโรงไฟฟ้าส่วนนึงก็ต้องใช้น้ำมันมาผลิตกระแสไฟฟ้าด้วยครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่