สันนิษฐานว่าภิกษุณีน่าจะสูญเสียมานานแล้ว ?..
หลังพุทธปรินิพพานล่วงแล้ว ๒๓๖ ปี
นางสังฆมิตตา ซึ่งเป็นพระราชธิดาของพระเจ้าอโศกมหาราช ทรงผนวชเป็นภิกษุณี
พระราชบิดาทรงส่งไปลังกาทวีป เพื่อประดิษฐานภิกษุณีสงฆ์ขึ้นที่นั่น
ซึ่งได้ให้อุปสมบทแก่หญิงชาวลังกา มีพระนางอนุฬา เป็นประธานประดิษฐานภิกษุณีสงฆ์สืบมา
ต่อมาภายหลัง ภิกษุณีสงฆ์ก็สูญสิ้นไปจากลังกา
ภายหลังมีการส่งภิกษุณีสายมหายานมาทำการบวชภิกษุณีในลังกา ซึ่งไม่ใช่สายเถรวาท
ป.ล. เรื่อง พระสังฆมิตตาเถรี มีมาในอรรถกถา
คำถามคือ..ภิกษุณีในปัจจุบันน่าจะเป็นสายมหายาน
แต่สายเถรวาท น่าจะสูญสิ้นไปนานแล้วใช่หรือไม่ ?
*รายละเอียดการบวชเป็น ภิกษุณีสงฆ์ ข้อวัตรปฏิบัติต่างๆ มีความแตกต่างจากภิกษุมาก
กล่าวโดยย่อคือ..
○ วิธีอุปสมบทเป็นภิกษุณี
๑.หญิงผู้ต้องการบวชเป็นภิกษุณี ต้องบรรพชาเป็นสามเณรีก่อน จนถึงอายุ ๑๘ ปีเต็มแล้ว
จึงขอ " สิกขมานาสมมติ ( เป็นชื่อเรียกขั้นตอนหนึ่ง ) " ต่อภิกษุณีสงฆ์
ต้องรักษาสิกขาบท ๖ ข้อ (ศีลข้อที่ ๑- ๖ )ให้ครบ ๒ ปี
เมื่อเสร็จขั้นตอนนี้จะเรียกสามเณรีนั้นว่า " สิกขมานา ( ผู้กำลังศึกษา )"
ถ้าล่วงสิกขาบท ๖ องค์ใดองค์หนึ่ง ในระหว่าง ๒ ปีนี้ ต้องกลับไปเริ่มรักษาใหม่ให้ครบ ๒ ปี
และต้องขอสิกขมานาสมมติ ต่อภิกษุณีสงฆ์ใหม่ซ้ำอีก
เมื่อรักษาสิกขาบท ๖ ข้อ (ศีลข้อที่ ๑- ๖ ) ไม่ขาดเลย ครบ ๒ ปีแล้ว
ชื่อว่า มีสิกขาได้ศึกษาแล้ว
๒. จากนั้นต้องขอ " วุฏฐานสมมติ "คือขออนุญาตเพื่ออุปสมบทต่อภิกษุณีสงฆ์อีกขั้นตอนหนึ่ง
ป.ล. การที่ให้รักษาสิกขาบท ๖ ให้ครบ ๒ ปีก่อนอุปสมบทนั้น
ก็เพื่อเป็นการป้องกันหญิงมีครรภ์ ลูกยังดื่มนม มิให้เข้ามาอุปสมบท
จะได้ไม่ต้องคบอดและเลี้ยงลูกเมื่อเป็นภิกษุณี
ในภิกขุนีปาติโมกข์ กล่าวไว้ว่า..
• ห้ามไม่ให้อุปสมบทกุมารีที่มีอายุหย่อน ๒๐ ปี
• ห้ามผู้มีอายุครบแล้ว ได้รับสิกขมานาสมมติแล้ว แต่ยังศึกษาไม่ครบกำหนด ๒ ปี
หรือครบ ๒ ปีแล้ว แต่ยังไม่ได้รับ วุฏฐานสมมติ
๓. เมื่อได้รับ วุฏฐานสมมติแล้ว ต้องถือภิกษุณีรูปหนึ่งเป็น " ปวัตตินี ( ผู้ประพฤติ , ผู้เป็นไป )"
( คล้ายกับพระอุปัชฌาย์ในการบวชภิกษุ )
จะเรียกผู้อุปสมบทว่า " สหชีวินี ( ผู้เป็นอยู่ด้วยกัน )"
ป.ล. ¤ ปวัตตินี ต้องมีพรรษาครบ ๑๒ และได้รับ วุฏฐาปนสมมติจากภิกษุณีสงฆ์แล้ว
( คือได้รับอนุญาตจากหมู่ภิกษุณีสงฆ์แล้ว )
¤ ปวัตตินีนั้น จะให้อุปสมบทได้เพียงปีละ ๑ รูป และปีเว้นปีเท่านั้น
( คือ ๒ ปีบวชให้ได้เพียง ๑ รูป )
๔. เมื่ออุปสมบทในฝ่ายภิกษุณีสงฆ์เสร็จแล้ว
ต้องไปขออุปสมบทในฝ่ายภิกษุสงฆ์ด้วยอีกครั้งหนึ่ง
ป.ล. ¤ สหชีวินี ต้องติดตามปวัตตินี ๒ ปี
¤ ภิกษุณีสงฆ์ต้องอยู่จำพรรษาในอาวาสที่มีภิกษุ
¤ ภิกษุณีสงฆ์ต้องถามอุโบสถ และไปฟังโอวาทจากภิกษุสงฆ์ทุกกึ่งเดือน
¤ ภิกษุณีสวฆ์ต้องศึกษาพระธรรมวินัยจากภิกษุสงฆ์
○ การลาสิกขา
ไม่ปรากฏว่ามีธรรมเนียมการลาสิกขาเหมือนของภิกษุ
พอละเพศภิกษุณีแล้ว ถือเพศเป็นหญิงครองเรือน ก็ขาดจากความเป็นภิกษุณี
__________________________________________________________________
เท่าที่ทราบมา ..ในประเทศไทยปัจจุบันมีชุมชนของภิกษุณีอยู่หลายแห่ง
ซึ่งมักรับรองตนเองว่า บวชถูกต้องตามหลักพระธรรมวินัยของฝ่ายเถรวาททุกประการ
ปัญหาคือ..
ยังคงมีการถกเถียงกันเป็นสองฝ่ายว่าถูกต้องหรือไม่ถูกต้องตามหลักของเถรวาท
สิ่งที่ส่งผลกระทบต่อสังคมคือ ..
ยังมีสตรีเพศที่มีศรัทธาในพระพุทธศาสนา
และต้องการอุปสมบทเป็นภิกษุณีสงฆ์อยู่อีกเป็นจำนวนมาก
แต่ต้องสับสนงุนงนกับข้อมูลต่างๆ ว่าเป็นอย่างไรกันแน่
จะถูกต้องหรือไม่ถูกต้องอย่างไร ก็ขอแบบชัดๆ เอาให้แน่
ถ้าถูกต้อง..สำนักไหนที่สามารถบวชได้ เป็นต้น
ซึ่งคงต้องเป็นวิจารณญาณของผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้อง ที่จะทำความชัดเจนให้เกิดขึ้นต่อไป..
แค่สงสัย...ภิกษุณีสายเถรวาทยังมีอยู่ในปัจจุบันอีกหรือไม่?
หลังพุทธปรินิพพานล่วงแล้ว ๒๓๖ ปี
นางสังฆมิตตา ซึ่งเป็นพระราชธิดาของพระเจ้าอโศกมหาราช ทรงผนวชเป็นภิกษุณี
พระราชบิดาทรงส่งไปลังกาทวีป เพื่อประดิษฐานภิกษุณีสงฆ์ขึ้นที่นั่น
ซึ่งได้ให้อุปสมบทแก่หญิงชาวลังกา มีพระนางอนุฬา เป็นประธานประดิษฐานภิกษุณีสงฆ์สืบมา
ต่อมาภายหลัง ภิกษุณีสงฆ์ก็สูญสิ้นไปจากลังกา
ภายหลังมีการส่งภิกษุณีสายมหายานมาทำการบวชภิกษุณีในลังกา ซึ่งไม่ใช่สายเถรวาท
ป.ล. เรื่อง พระสังฆมิตตาเถรี มีมาในอรรถกถา
คำถามคือ..ภิกษุณีในปัจจุบันน่าจะเป็นสายมหายาน
แต่สายเถรวาท น่าจะสูญสิ้นไปนานแล้วใช่หรือไม่ ?
*รายละเอียดการบวชเป็น ภิกษุณีสงฆ์ ข้อวัตรปฏิบัติต่างๆ มีความแตกต่างจากภิกษุมาก
กล่าวโดยย่อคือ..
○ วิธีอุปสมบทเป็นภิกษุณี
๑.หญิงผู้ต้องการบวชเป็นภิกษุณี ต้องบรรพชาเป็นสามเณรีก่อน จนถึงอายุ ๑๘ ปีเต็มแล้ว
จึงขอ " สิกขมานาสมมติ ( เป็นชื่อเรียกขั้นตอนหนึ่ง ) " ต่อภิกษุณีสงฆ์
ต้องรักษาสิกขาบท ๖ ข้อ (ศีลข้อที่ ๑- ๖ )ให้ครบ ๒ ปี
เมื่อเสร็จขั้นตอนนี้จะเรียกสามเณรีนั้นว่า " สิกขมานา ( ผู้กำลังศึกษา )"
ถ้าล่วงสิกขาบท ๖ องค์ใดองค์หนึ่ง ในระหว่าง ๒ ปีนี้ ต้องกลับไปเริ่มรักษาใหม่ให้ครบ ๒ ปี
และต้องขอสิกขมานาสมมติ ต่อภิกษุณีสงฆ์ใหม่ซ้ำอีก
เมื่อรักษาสิกขาบท ๖ ข้อ (ศีลข้อที่ ๑- ๖ ) ไม่ขาดเลย ครบ ๒ ปีแล้ว
ชื่อว่า มีสิกขาได้ศึกษาแล้ว
๒. จากนั้นต้องขอ " วุฏฐานสมมติ "คือขออนุญาตเพื่ออุปสมบทต่อภิกษุณีสงฆ์อีกขั้นตอนหนึ่ง
ป.ล. การที่ให้รักษาสิกขาบท ๖ ให้ครบ ๒ ปีก่อนอุปสมบทนั้น
ก็เพื่อเป็นการป้องกันหญิงมีครรภ์ ลูกยังดื่มนม มิให้เข้ามาอุปสมบท
จะได้ไม่ต้องคบอดและเลี้ยงลูกเมื่อเป็นภิกษุณี
ในภิกขุนีปาติโมกข์ กล่าวไว้ว่า..
• ห้ามไม่ให้อุปสมบทกุมารีที่มีอายุหย่อน ๒๐ ปี
• ห้ามผู้มีอายุครบแล้ว ได้รับสิกขมานาสมมติแล้ว แต่ยังศึกษาไม่ครบกำหนด ๒ ปี
หรือครบ ๒ ปีแล้ว แต่ยังไม่ได้รับ วุฏฐานสมมติ
๓. เมื่อได้รับ วุฏฐานสมมติแล้ว ต้องถือภิกษุณีรูปหนึ่งเป็น " ปวัตตินี ( ผู้ประพฤติ , ผู้เป็นไป )"
( คล้ายกับพระอุปัชฌาย์ในการบวชภิกษุ )
จะเรียกผู้อุปสมบทว่า " สหชีวินี ( ผู้เป็นอยู่ด้วยกัน )"
ป.ล. ¤ ปวัตตินี ต้องมีพรรษาครบ ๑๒ และได้รับ วุฏฐาปนสมมติจากภิกษุณีสงฆ์แล้ว
( คือได้รับอนุญาตจากหมู่ภิกษุณีสงฆ์แล้ว )
¤ ปวัตตินีนั้น จะให้อุปสมบทได้เพียงปีละ ๑ รูป และปีเว้นปีเท่านั้น
( คือ ๒ ปีบวชให้ได้เพียง ๑ รูป )
๔. เมื่ออุปสมบทในฝ่ายภิกษุณีสงฆ์เสร็จแล้ว
ต้องไปขออุปสมบทในฝ่ายภิกษุสงฆ์ด้วยอีกครั้งหนึ่ง
ป.ล. ¤ สหชีวินี ต้องติดตามปวัตตินี ๒ ปี
¤ ภิกษุณีสงฆ์ต้องอยู่จำพรรษาในอาวาสที่มีภิกษุ
¤ ภิกษุณีสงฆ์ต้องถามอุโบสถ และไปฟังโอวาทจากภิกษุสงฆ์ทุกกึ่งเดือน
¤ ภิกษุณีสวฆ์ต้องศึกษาพระธรรมวินัยจากภิกษุสงฆ์
○ การลาสิกขา
ไม่ปรากฏว่ามีธรรมเนียมการลาสิกขาเหมือนของภิกษุ
พอละเพศภิกษุณีแล้ว ถือเพศเป็นหญิงครองเรือน ก็ขาดจากความเป็นภิกษุณี
__________________________________________________________________
เท่าที่ทราบมา ..ในประเทศไทยปัจจุบันมีชุมชนของภิกษุณีอยู่หลายแห่ง
ซึ่งมักรับรองตนเองว่า บวชถูกต้องตามหลักพระธรรมวินัยของฝ่ายเถรวาททุกประการ
ปัญหาคือ..
ยังคงมีการถกเถียงกันเป็นสองฝ่ายว่าถูกต้องหรือไม่ถูกต้องตามหลักของเถรวาท
สิ่งที่ส่งผลกระทบต่อสังคมคือ ..
ยังมีสตรีเพศที่มีศรัทธาในพระพุทธศาสนา
และต้องการอุปสมบทเป็นภิกษุณีสงฆ์อยู่อีกเป็นจำนวนมาก
แต่ต้องสับสนงุนงนกับข้อมูลต่างๆ ว่าเป็นอย่างไรกันแน่
จะถูกต้องหรือไม่ถูกต้องอย่างไร ก็ขอแบบชัดๆ เอาให้แน่
ถ้าถูกต้อง..สำนักไหนที่สามารถบวชได้ เป็นต้น
ซึ่งคงต้องเป็นวิจารณญาณของผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้อง ที่จะทำความชัดเจนให้เกิดขึ้นต่อไป..