ปัจจุบันในสังคมไทย ค่านิยมการทำงานของคนรุ่นใหม่จะแตกต่างออกไปจากค่านิยมของคนรุ่นเก่า คนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ ผู้นิยมชมชอบแนวคิดการทำงานแบบ work-life balance ว่าเหมาะสมกับยุคสมัยใหม่ ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและความแรงของ 5G ในขณะเดียวกันก็ด้อยค่าความคิดการทำงานเรื่อง work hard play hard ที่คนรุ่นพ่อแม่หรือรุ่น Gen X ได้รับการปลูกฝังมา ว่าเป็นแนวคิดที่ล้าหลัง ล้าสมัย เป็นการทำงานที่ไม่ฉลาด แล้วแนวคิดหรือค่านิยมนี้ ยังใช้ได้ดีอยู่หรือไม่ในสังคมปัจจุบัน
1. หากมองย้อนกลับไปที่เจ้าของธุรกิจขนาดใหญ่ ผู้ประกอบการรายย่อย ผู้บริหารหรือพนักงานบริษัท คนที่ประสบความสำเร็จด้วยตัวเองทุกคน เกิดจากการทำงานหนักด้วยกันทั้งสิ้น และทำงานอย่างทุ่มเท เอาใจใส่ ลงลึกในรายละเอียด เพื่อให้เก่งและชำนาญในงานที่ทำ เพื่อให้มีผลงานโดดเด่นกว่าคนอื่น ส่วนคนที่เริ่มต้นทำกิจการส่วนตัว หรือที่คนยุคใหม่เรียกว่า Startup Company นั้น ทุกคนล้วนต้องทำงานแข่งกับเวลา ทำงานหนักทุกวันแทบจะไม่มีวันหยุด และไม่เคยมีเจ้าของกิจการคนไหนที่ทำงานไป เที่ยวไป เล่นไป แล้วประสบความสำเร็จแบบเลย และก่อนอายุ 40 เชื่อว่า ทุกคนพร้อมที่จะทำงานหนักเพื่อเป้าหมายในอนาคต เพื่อสร้างฐานะให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
2. คนหนุ่มสาวที่เพิ่งเรียนจบ และเริ่มเข้าสู่ตลาดแรงงานนั้น ทุกคนมีความฝัน ความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย อยากรวยเร็วที่สุด คนเหล่านี้มีแรง กำลังกาย กำลังสมอง ความทะเยอทะยาน และความอยาก ที่จะประสบความสำเร็จโดยเร็วที่สุดเช่นกัน อย่างไรก็ตาม คนเหล่านี้ก็ต้องทำงานหนักมากกว่าคนอื่น ไม่ว่าด้วยจำนวนชั่วโมงทำงานที่มากกว่า จำนวนความรู้-ทักษะที่มากกว่า จำนวนเทคโนโลยีที่สูงกว่า
3. เปลือกนอกทางวัตถุนิยม อันฉาบฉวยที่เกาะกินอยู่ในสังคมไทย ได้หล่อหลอมและผลักดันให้คนรุ่นใหม่หลงทิศหลงทาง อีกทั้งยังได้ก่อกำเนิดค่านิยมที่สวยหรูด้วยคำพูดที่ดูดี เช่น อายุน้อยร้อยล้าน ต้องประสบความสำเร็จโดยเร็วที่สุดแบบไหนก็ได้ จะผิดกฎหมายหรือศีลธรรมก็ไม่เป็นไร เพราะไม่มีใครสนใจที่มาของความรวย นับถือคนที่เงิน ไม่ใช่ความสามารถ และไม่มีใครให้ความสำคัญกับการทำงานหนัก สังคมไทยชื่นชอบการแสดงฐานะทางสังคมผ่านการใช้ชีวิตที่เลิศหรูในไอจี หรือรูปเที่ยวเมืองนอกผ่านเฟซบุ๊ก จึงทำให้คนหนุ่มสาวส่วนหนึ่งยึดติดแค่เพียงเปลือกนอก จนลืมนึกถึงแก่นแท้ ถึงสาเหตุที่แท้จริงว่า อะไรเป็นเงื่อนไขที่สำคัญในการประสบความสำเร็จที่แท้จริง
4. คนรุ่นใหม่ที่เพิ่งเริ่มทำงาน ต้องการทำงานแบบ work-life balance นั้น หากวิเคราะห์ให้ดีว่าเป็นใคร เป็นคนกลุ่มไหนกันแน่ จะพบว่า ส่วนใหญ่คนเหล่านี้จะเป็นรุ่นที่ 3,4 ที่คนรุ่นที่ 1,2 ได้ก่อร่างสร้างตัว สร้างฐานะ สร้างกิจการอย่างมั่นคงแข็งแรงไว้ให้ลูกหลานแล้ว จึงมีเงิน มีเวลา มีความพร้อมทุกอย่าง สามารถใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบาย และไม่ต้องเดือดร้อน ไม่ต้องดิ้นรนทำมาหากินอะไรมากมายนักก็ได้ คนเหล่านี้ยังมีต้นทุนชีวิตที่สูงกว่า มีทุนที่มากกว่า สามารถทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ มีเงินไว้ใช้ลงทุนตั้งแต่วัยรุ่นไม่ว่าจะเป็นบิทคอยน์ คริปโตเคอเรนซี่ หรือสินทรัพย์ดิจิทัลอื่นๆ ตื่นเช้ามาก็นั่งดูกระดานเทรดเหรียญ ออกไปนั่งดริปกาแฟตอนสาย ตกบ่ายไปนั่งกินข้าวเที่ยงอย่างชิลๆ ในคาเฟ่ชิคๆ แนวโมเดิร์นหรือวินเทจ และตบท้ายของวันด้วยดินเนอร์หรูยามเย็นบน rooftop bar ที่ไหนสักแห่งบนโรงแรมหรูย่านสุขุมวิท ทองหล่อ เอกมัย เป็นต้น
5. แล้วเมื่อไหร่ถึงจะได้ใช้ชีวิตแบบ work-life balance กัน ซึ่งสำหรับคนที่มีต้นทุนต่ำหรือเพิ่งเริ่มทำงานนั้น นี่เป็นความฝัน และเป็นคำถามที่น่าสนใจเช่นกัน คำตอบนี้จะขึ้นอยู่กับเงื่อนไขและปัจจัยของแต่ละคน ไม่มีอะไรที่ถูก ไม่มีอะไรที่ผิด ทุกคนมีแนวทางของตัวเองโดยที่ไม่ต้องเดินตามใคร จะช้าจะเร็วก็ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจและความสามารถของแต่ละคน แต่เชื่อเถอะว่า เมื่อคนรุ่นใหม่หรือคนรุ่นเก่าที่ประสบความสำเร็จแล้วในระดับหนึ่ง ไม่มีใครหรอกที่จะผ่อนแรงลง ยังคงใส่เกียร์เดินหน้าต่อไป เพื่อที่จะหลีกหนีคู่แข่งไปให้ไกล เพราะหากหยุดเมื่อไหร่ คู่แข่งจะตามทัน และเมื่อตามทันแล้วก็จะแซงไปไกลเกินกว่าที่เราจะตามทันอีกเช่นกัน
6. การใช้ชีวิตอย่างสมดุลระหว่างการทำงานและชีวิตส่วนตัว โดยที่ไม่ต้องใช้คำสวยหรูอย่าง work-life balance วิธีคิดนี้มีมานานแล้ว ไม่ใช่เพิ่งมีในยุคนี้ การแบ่งเวลาระหว่างทำงานและเวลาส่วนตัว เช่น เวลาของครอบครัว การทำงานหนักกับสุขภาพหรือการออกกำลังกาย การกินอาหารที่ดีมีประโยชน์ การนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ การสันทนาการและการหย่อนใจตามกำลังเงิน กำลังทรัพย์ และเวลา เป็นวิธีคิดที่มีมานานแล้ว เพียงแต่สมัยก่อน ไม่ได้มีสื่อออนไลน์ให้โอ้อวดวิถีชีวิตดี๊ดีกัน ซึ่งคนรุ่นใหม่บางคนให้คุณค่า ค่านิยมแค่เปลือกนอก ฉาบฉวยไปด้วยวัตถุนิยม จนลืมวิธีคิดที่เรียบง่ายที่ไม่ต้องโพสต์อวดกันในโลกเสมือนจริง
7. ก่อนจะ work-life balance ต้อง work hard play hard ก่อน ส่วนการสร้างสมดุลชีวิตในเรื่องต่างๆ ก็ขึ้นอยู่กับแนวคิดและการใช้ชีวิตของแต่ละคน ไม่มีสูตรสำเร็จ และไม่มีรูปแบบตายตัว
แบบไหนดี ระหว่าง Work Hard Play Hard กับ Work-Life Balance
1. หากมองย้อนกลับไปที่เจ้าของธุรกิจขนาดใหญ่ ผู้ประกอบการรายย่อย ผู้บริหารหรือพนักงานบริษัท คนที่ประสบความสำเร็จด้วยตัวเองทุกคน เกิดจากการทำงานหนักด้วยกันทั้งสิ้น และทำงานอย่างทุ่มเท เอาใจใส่ ลงลึกในรายละเอียด เพื่อให้เก่งและชำนาญในงานที่ทำ เพื่อให้มีผลงานโดดเด่นกว่าคนอื่น ส่วนคนที่เริ่มต้นทำกิจการส่วนตัว หรือที่คนยุคใหม่เรียกว่า Startup Company นั้น ทุกคนล้วนต้องทำงานแข่งกับเวลา ทำงานหนักทุกวันแทบจะไม่มีวันหยุด และไม่เคยมีเจ้าของกิจการคนไหนที่ทำงานไป เที่ยวไป เล่นไป แล้วประสบความสำเร็จแบบเลย และก่อนอายุ 40 เชื่อว่า ทุกคนพร้อมที่จะทำงานหนักเพื่อเป้าหมายในอนาคต เพื่อสร้างฐานะให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
2. คนหนุ่มสาวที่เพิ่งเรียนจบ และเริ่มเข้าสู่ตลาดแรงงานนั้น ทุกคนมีความฝัน ความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย อยากรวยเร็วที่สุด คนเหล่านี้มีแรง กำลังกาย กำลังสมอง ความทะเยอทะยาน และความอยาก ที่จะประสบความสำเร็จโดยเร็วที่สุดเช่นกัน อย่างไรก็ตาม คนเหล่านี้ก็ต้องทำงานหนักมากกว่าคนอื่น ไม่ว่าด้วยจำนวนชั่วโมงทำงานที่มากกว่า จำนวนความรู้-ทักษะที่มากกว่า จำนวนเทคโนโลยีที่สูงกว่า
3. เปลือกนอกทางวัตถุนิยม อันฉาบฉวยที่เกาะกินอยู่ในสังคมไทย ได้หล่อหลอมและผลักดันให้คนรุ่นใหม่หลงทิศหลงทาง อีกทั้งยังได้ก่อกำเนิดค่านิยมที่สวยหรูด้วยคำพูดที่ดูดี เช่น อายุน้อยร้อยล้าน ต้องประสบความสำเร็จโดยเร็วที่สุดแบบไหนก็ได้ จะผิดกฎหมายหรือศีลธรรมก็ไม่เป็นไร เพราะไม่มีใครสนใจที่มาของความรวย นับถือคนที่เงิน ไม่ใช่ความสามารถ และไม่มีใครให้ความสำคัญกับการทำงานหนัก สังคมไทยชื่นชอบการแสดงฐานะทางสังคมผ่านการใช้ชีวิตที่เลิศหรูในไอจี หรือรูปเที่ยวเมืองนอกผ่านเฟซบุ๊ก จึงทำให้คนหนุ่มสาวส่วนหนึ่งยึดติดแค่เพียงเปลือกนอก จนลืมนึกถึงแก่นแท้ ถึงสาเหตุที่แท้จริงว่า อะไรเป็นเงื่อนไขที่สำคัญในการประสบความสำเร็จที่แท้จริง
4. คนรุ่นใหม่ที่เพิ่งเริ่มทำงาน ต้องการทำงานแบบ work-life balance นั้น หากวิเคราะห์ให้ดีว่าเป็นใคร เป็นคนกลุ่มไหนกันแน่ จะพบว่า ส่วนใหญ่คนเหล่านี้จะเป็นรุ่นที่ 3,4 ที่คนรุ่นที่ 1,2 ได้ก่อร่างสร้างตัว สร้างฐานะ สร้างกิจการอย่างมั่นคงแข็งแรงไว้ให้ลูกหลานแล้ว จึงมีเงิน มีเวลา มีความพร้อมทุกอย่าง สามารถใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบาย และไม่ต้องเดือดร้อน ไม่ต้องดิ้นรนทำมาหากินอะไรมากมายนักก็ได้ คนเหล่านี้ยังมีต้นทุนชีวิตที่สูงกว่า มีทุนที่มากกว่า สามารถทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ มีเงินไว้ใช้ลงทุนตั้งแต่วัยรุ่นไม่ว่าจะเป็นบิทคอยน์ คริปโตเคอเรนซี่ หรือสินทรัพย์ดิจิทัลอื่นๆ ตื่นเช้ามาก็นั่งดูกระดานเทรดเหรียญ ออกไปนั่งดริปกาแฟตอนสาย ตกบ่ายไปนั่งกินข้าวเที่ยงอย่างชิลๆ ในคาเฟ่ชิคๆ แนวโมเดิร์นหรือวินเทจ และตบท้ายของวันด้วยดินเนอร์หรูยามเย็นบน rooftop bar ที่ไหนสักแห่งบนโรงแรมหรูย่านสุขุมวิท ทองหล่อ เอกมัย เป็นต้น
5. แล้วเมื่อไหร่ถึงจะได้ใช้ชีวิตแบบ work-life balance กัน ซึ่งสำหรับคนที่มีต้นทุนต่ำหรือเพิ่งเริ่มทำงานนั้น นี่เป็นความฝัน และเป็นคำถามที่น่าสนใจเช่นกัน คำตอบนี้จะขึ้นอยู่กับเงื่อนไขและปัจจัยของแต่ละคน ไม่มีอะไรที่ถูก ไม่มีอะไรที่ผิด ทุกคนมีแนวทางของตัวเองโดยที่ไม่ต้องเดินตามใคร จะช้าจะเร็วก็ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจและความสามารถของแต่ละคน แต่เชื่อเถอะว่า เมื่อคนรุ่นใหม่หรือคนรุ่นเก่าที่ประสบความสำเร็จแล้วในระดับหนึ่ง ไม่มีใครหรอกที่จะผ่อนแรงลง ยังคงใส่เกียร์เดินหน้าต่อไป เพื่อที่จะหลีกหนีคู่แข่งไปให้ไกล เพราะหากหยุดเมื่อไหร่ คู่แข่งจะตามทัน และเมื่อตามทันแล้วก็จะแซงไปไกลเกินกว่าที่เราจะตามทันอีกเช่นกัน
6. การใช้ชีวิตอย่างสมดุลระหว่างการทำงานและชีวิตส่วนตัว โดยที่ไม่ต้องใช้คำสวยหรูอย่าง work-life balance วิธีคิดนี้มีมานานแล้ว ไม่ใช่เพิ่งมีในยุคนี้ การแบ่งเวลาระหว่างทำงานและเวลาส่วนตัว เช่น เวลาของครอบครัว การทำงานหนักกับสุขภาพหรือการออกกำลังกาย การกินอาหารที่ดีมีประโยชน์ การนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ การสันทนาการและการหย่อนใจตามกำลังเงิน กำลังทรัพย์ และเวลา เป็นวิธีคิดที่มีมานานแล้ว เพียงแต่สมัยก่อน ไม่ได้มีสื่อออนไลน์ให้โอ้อวดวิถีชีวิตดี๊ดีกัน ซึ่งคนรุ่นใหม่บางคนให้คุณค่า ค่านิยมแค่เปลือกนอก ฉาบฉวยไปด้วยวัตถุนิยม จนลืมวิธีคิดที่เรียบง่ายที่ไม่ต้องโพสต์อวดกันในโลกเสมือนจริง
7. ก่อนจะ work-life balance ต้อง work hard play hard ก่อน ส่วนการสร้างสมดุลชีวิตในเรื่องต่างๆ ก็ขึ้นอยู่กับแนวคิดและการใช้ชีวิตของแต่ละคน ไม่มีสูตรสำเร็จ และไม่มีรูปแบบตายตัว