" สัตว์ "ตอนที่ 54 :ทิฏฐิ62..อมราวิกเขปิกทิฏฐิ ๔...สรุป 4 แบบ..

กระทู้สนทนา


https://84000.org/tipitaka/pitaka_item/item.php?book=9&item=26&items=25&preline=1
...

ทิฏฐิดิ้นได้..ทั้ง 4 แบบ..คือ..
1. ทิฏฐิดิ้นได้...เพราะกลัวว่าจะกลjาวเท็จ => https://pantip.com/topic/41638998
2. ทิฏฐิดิ้นได้...เพราะกลัวว่าจะพอใจ-ติดใจ-ขัดเคืองใจ..เพราะเกลียดกลัวแต่อุปาทาน => https://pantip.com/topic/41640476
3. ทิฏฐิดิ้นได้...เพราะว่าจะโดนคัดค้านจากผู้โต้วาทะที่ชำนาญ..แล้วตอบไม่ได้ => https://pantip.com/topic/41642569
4. ทิฏฐิดิ้นได้...เพราะเป็นคนเขลา-งมงาย => https://pantip.com/topic/41643723

     ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่านั้น มีทิฏฐิดิ้นได้ไม่ตายตัว เมื่อถูกถามปัญหา
ในข้อนั้นๆ ย่อมกล่าววาจาดิ้นได้ไม่ตายตัว ด้วยเหตุ ๔ ประการนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลาย
สมณะหรือพราหมณ์พวกใดพวกหนึ่ง มีทิฏฐิดิ้นได้ไม่ตายตัว เมื่อถูกถามปัญหาในข้อนั้นๆ
ย่อมกล่าววาจาดิ้นได้ไม่ตายตัว สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้นทั้งหมด ย่อมกล่าววาจาดิ้นได้
ไม่ตายตัวด้วยเหตุ ๔ ประการนี้เท่านั้น หรือแต่อย่างใดอย่างหนึ่ง นอกจากนี้ไม่มี.
             
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรื่องนี้ตถาคตรู้ชัดว่า ฐานะที่ตั้งแห่งทิฏฐิเหล่านี้ บุคคลถืออย่างนั้น
แล้ว ยึดอย่างนั้นแล้ว ย่อมมีคติอย่างนั้น มีภพเบื้องหน้าอย่างนั้น และตถาคตย่อมรู้เหตุนั้นชัด
ทั้งรู้ชัดยิ่งกว่านั้น ทั้งไม่ยึดมั่นความรู้ชัดนั้นด้วย เมื่อไม่ยึดมั่น ก็ทราบความเกิดขึ้น ความดับไป
คุณและโทษของเวทนาทั้งหลาย กับทั้งอุบายเป็นเครื่องออกไปจากเวทนาเหล่านั้นตามความเป็นจริง
จึงทราบความดับได้เฉพาะตน เพราะไม่ยึดมั่น ตถาคตจึงหลุดพ้น.
             
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมเหล่านี้แลที่ลึกซึ้ง เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบ ประณีต
จะคาดคะเนเอาไม่ได้ ละเอียด รู้ได้เฉพาะบัณฑิต ซึ่งตถาคตทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเอง
แล้วสอนผู้อื่นให้รู้แจ้ง ที่เป็นเหตุให้กล่าวชมตถาคตตามความเป็นจริงโดยชอบ.




สรุป...

1. กลุ่มบุคคล 4 จำพวกนี้... ล้วนไม่ได้รู้จึงเห็นจริงจากญาณทัสนะใดๆเลย..
    ทั้งหมด..ล้วนเป็นนักตรึก - นักคิด...
    
2. มีแต่ใช่หลักการที่ตนตรึกได้..คิดได้..  เพื่อตอบปัญหาให้ผ่านไป
    ผมยังสงสัยว่า..  " ก็เมื่อไม่สามารถ.. ไม่รู้ไม่เห็น..  แล้วจะไปบัญญัติ..กล่าวสอนธรรมของตน..ไปทำไม!!!  "

3. สอบถามกับผู้ที่มิทิฎฐิอย่างนี้... ผมมองว่าไม่ได้อะไรขึ้นมา...
    ผมจะยก..การตอบปัญหา..ของลัทธินี้ขึ้นมาให้ชม

    วาทะของศาสดาสญชัย เวลัฏฐบุตร 
[๙๙] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สมัยหนึ่ง ณ กรุงราชคฤห์นี้ หม่อมฉันเข้าไปหาครูสญชัย เวลัฏฐบุตร ถึงที่อยู่ ... 

ได้กล่าวว่า ท่านสญชัย ศิลปศาสตร์เป็นอันมากเหล่านี้ คือ พลช้าง ... 
คนเหล่านั้น ย่อมอาศัยผลแห่งศิลปศาสตร์ที่เห็นประจักษ์เลี้ยงชีพในปัจจุบัน ด้วยผลแห่งศิลป ศาสตร์นั้น 
เขาย่อมบำรุงตน มารดาบิดา บุตรภริยา มิตร อำมาตย์ ให้เป็นสุขอิ่มหนำสำราญ บำเพ็ญทักษิณาทานอันมีผลอย่างสูง 
เป็นไปเพื่อให้ได้อารมณ์ดี มีสุขเป็นผล ให้เกิดในสวรรค์ ในสมณพราหมณ์ทั้งหลาย ฉันใด 

ท่านอาจบัญญัติสามัญผลที่เห็นประจักษ์ในปัจจุบันเหมือน อย่างนั้นได้หรือไม่ 

เมื่อหม่อมฉันกล่าวอย่างนี้ ครูสญชัย เวลัฏฐบุตร ได้กล่าวคำนี้กะหม่อมฉัน ว่า 
- ถ้ามหาบพิตรตรัสถามอาตมภาพว่า โลกหน้ามีอยู่หรือ
   ถ้าอาตมภาพมีความเห็นว่า...มี ก็จะพึง ทูลตอบว่า...มี
   ความเห็นอาตมภาพว่า...อย่างนี้...ก็มิใช่
                                      อย่างนั้น...ก็มิใช่
                                      อย่างอื่น...ก็มิใช่
                                      ไม่ใช่...ก็มิใช่
                                      มิใช่ไม่ใช่...ก็มิใช่

- ถ้ามหาบพิตรตรัสถามอาตมภาพว่า โลกหน้าไม่มีหรือ
   ถ้าอาตมภาพมีความเห็น ว่าไม่มี ก็จะพึงทูลตอบว่าไม่มี ...

- ถ้ามหาบพิตรตรัสถามว่า โลกหน้ามีด้วยไม่มีด้วยหรือ
   ถ้า อาตมภาพมีความเห็นว่า มีด้วยไม่มีด้วย ก็จะพึงทูลตอบว่ามีด้วยไม่มีด้วย ...

- ถ้ามหาบพิตรตรัส ถามว่า โลกหน้ามีก็มิใช่ไม่มีก็มิใช่หรือ
   ถ้าอาตมภาพมีความเห็นว่ามีก็มิใช่ไม่มีก็มิใช่ ก็จะพึง ทูลตอบว่ามีก็มิใช่ไม่มีก็มิใช่ ...

- ถ้ามหาบพิตรตรัสถามว่า สัตว์ผู้เกิดผุดขึ้นมีหรือ
  ถ้าอาตมภาพ มีความเห็นว่ามี ก็จะพึงทูลตอบว่ามี ...

- ถ้ามหาบพิตรตรัสถามว่าสัตว์ผู้เกิดผุดขึ้นไม่มีหรือ
  ถ้าอาตมภาพมีความเห็นว่าไม่มี ก็จะพึงทูลตอบว่าไม่มี ...

- ถ้ามหาบพิตรตรัสถามว่า สัตว์ผู้เกิด ผุดขึ้นมีด้วยไม่มีด้วยหรือ ...
  ถ้าอาตมภาพมีความเห็นว่ามีด้วยไม่มีด้วย ก็จะพึงทูลตอบว่า มีด้วยไม่มีด้วย ...

- ถ้ามหาบพิตรตรัสถามว่า สัตว์ผู้เกิดผุดขึ้นมีก็มิใช่ไม่มีก็มิใช่หรือ
  ถ้าอาตมภาพ มีความเห็นว่ามีก็มิใช่ไม่มีก็มิใช่ ก็จะพึงทูลตอบว่ามีก็มิใช่ไม่มีก็มิใช่ ...
 
- ถ้ามหาบพิตรตรัสถามว่า ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีทำชั่วมีอยู่หรือ
  ถ้าอาตมภาพมีความเห็นว่ามี ก็จะพึงทูลตอบว่ามี...

- ถ้ามหาบพิตรตรัสถามว่า ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีทำชั่วไม่มีหรือ
   ถ้าอาตมภาพมีความเห็นว่าไม่มี ก็จะพึงทูลตอบว่าไม่มี ...

- ถ้ามหาบพิตรตรัสถามว่า ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีทำชั่วมีด้วยไม่มีด้วย หรือ
  ถ้าอาตมภาพมีความเห็นว่ามีด้วยไม่มีด้วย ก็จะพึงทูลตอบว่ามีด้วยไม่มีด้วย ...

- ถ้ามหาบพิตร ตรัสถามว่า ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีทำชั่วก็มิใช่ไม่มีก็มิใช่หรือ
  ถ้าอาตมภาพมีความเห็นว่ามี ก็มิใช่ไม่มีก็มิใช่ ก็จะพึงทูลตอบว่ามีก็มิใช่ไม่มีก็มิใช่ ...

- ถ้ามหาบพิตรตรัสถามว่า..สัตว์...ตถาคต..เบื้องหน้า แต่ตายเกิดอีกหรือ
  ถ้าอาตมภาพมีความเห็นว่าเกิดอีก ก็จะพึงทูลตอบว่าเกิดอีก ...

- ถ้ามหาบพิตร ตรัสถามว่า ..สัตว์...ตถาคต..เบื้องหน้าแต่ตายไม่เกิดหรือ
  ถ้าอาตมภาพมีความเห็นว่าไม่เกิด ก็จะพึงทูลตอบว่า ไม่เกิด ...

- ถ้ามหาบพิตรตรัสถามว่า ..สัตว์...ตถาคต..เบื้องหน้าแต่ตายเกิดด้วยไม่เกิดด้วยหรือ
  ถ้าอาตมภาพ มีความเห็นว่าเกิดด้วยไม่เกิดด้วย ก็จะพึงทูลตอบว่าเกิดด้วยไม่เกิดด้วย ...

- ถ้ามหาบพิตรตรัสถาม ว่า ..สัตว์...ตถาคต..เบื้องหน้าแต่ตายเกิดก็มิใช่ไม่เกิดก็มิใช่หรือ
  ถ้าอาตมภาพมีความเห็นว่าเกิดก็มิใช่ไม่เกิด ก็มิใช่ ก็จะพึงทูลตอบว่าเกิดก็มิใช่ไม่เกิดก็มิใช่ ...

อาตมภาพมีความเห็นว่า อย่างนี้ก็มิใช่ อย่างนั้น ก็มิใช่ อย่างอื่นก็มิใช่ ไม่ใช่ก็มิใช่ มิใช่ไม่ใช่ก็มิใช่ ดังนี้

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อหม่อมฉัน ถามถึงสามัญผลที่เห็นประจักษ์ ครูสญชัย เวลัฏฐบุตร กลับตอบส่ายไป ฉะนี้
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันถามถึงสามัญผลที่เห็นประจักษ์ ครูสญชัย เวลัฏฐบุตร กลับตอบส่ายไป 

        เปรียบเหมือนเขาถามถึงมะม่วง ตอบขนุนสำมะลอ 
หรือ..เขาถามถึงขนุนสำมะลอ ตอบมะม่วง ฉะนั้น

หม่อมฉันมีความดำริว่า บรรดาสมณพราหมณ์เหล่านี้ ครูสญชัย เวลัฏฐบุตร นี้โง่กว่า เขาทั้งหมด
งมงายกว่าเขาทั้งหมด เพราะเมื่อหม่อมฉันถามถึงสามัญผลที่เห็นประจักษ์ อย่างไร จึงกลับตอบส่ายไป

หม่อมฉันมีความดำริว่า ไฉน คนอย่างเรา จะพึงมุ่งรุกรานสมณะหรือพราหมณ์ ผู้อยู่ในราชอาณาเขต
ดังนี้ แล้วไม่ยินดี ไม่คัดค้านภาษิตของครูสญชัย เวลัฏฐบุตร ไม่พอใจ แต่ก็มิได้เปล่งวาจา แสดงความไม่พอใจ
ไม่เชื่อถือ ไม่ใส่ใจถึงวาจานั้น ลุกจากที่นั่งหลีกไป.
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่