

https://www.bangkokbiznews.com/health/public-health/1027976
มีผล 1 ต.ค. 2565 นี้ ราชกิจจานุเบกษาประกาศยกเลิก "โรคโควิด-19" จากการเป็น "โรคติดต่ออันตราย" ลดระดับสู่ "โรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง" แล้วรู้หรือไม่? โรคติดต่อทั้งสองระดับดังกล่าวต่างกันอย่างไร? ทั้งในแง่ของกฎหมาย การรายงานสถานการณ์ การเตือนภัย และการป้องกัน
ก่อนหน้านี้เมื่อ 8 ส.ค. 2565 ที่ผ่านมา คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ (คกก.) ได้มีการประชุมหารือ และพิจารณาเห็นชอบให้ปรับระดับ “โรคโควิด-19” จาก “โรคติดต่ออันตราย” ให้เป็น “โรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง” เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ของโรคในปัจจุบัน โดยล่าสุดเมื่อวานนี้ 20 ก.ย. 65 หลักเกณฑ์ดังกล่าวก็ได้ถูกประกาศในราชกิจจานุเบกษาเรียบร้อยแล้ว โดยจะมีผลในวันที่ 1 ต.ค. 65 ที่จะถึงนี้
เมื่อโรคระบาดโควิดลดระดับเป็นเพียงโรคติดต่อเฝ้าระวัง หลังจากนี้ไปหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายก็ต้องปรับการทำงานให้เหมาะสมตามประกาศนี้ด้วย แต่ก่อนอื่น กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ ชวนไปทำความเข้าใจเบื้องต้นว่า ระหว่างโรคติดต่ออันตรายกับโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวังนั้น มีความแตกต่างที่ประชาชนควรรู้ในหลายมิติ ดังนี้
1. “โรคติดต่ออันตราย” vs “โรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง” มีความหมายแตกต่างกัน
💊โรคติดต่ออันตราย หมายถึง
โรคติดต่อที่มีความรุนแรงสูง และสามารถแพร่ไปสู่ผู้อื่นได้อย่างรวดเร็ว ได้แก่ กาฬโรค, ไข้ทรพิษ, ไข้เลือดออกไครเมียนคองโก, ไข้เวสต์ไนล์, ไข้เหลือง, โรคไข้ลาสซา, โรคติดเชื้อไวรัสนิปาห์, โรคติดเชื้อไวรัสมาร์บวร์ก, โรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา, โรคติดเชื้อไวรัสเฮนดรา, โรคซาร์ส, โรคเมอร์ส, วัณโรคดื้อยาหลายขนานชนิดรุนแรงมาก (ส่วนโควิด-19 เพิ่งมีประกาศให้ถอดออกจากการเป็นโรคติดต่ออันตราย มีผล 1 ต.ค. 65)
💊โรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง หมายถึง
โรคติดต่อที่ต้องมีการติดตาม ตรวจสอบ การวิเคราะห์ข้อมูล จัดเก็บข้อมูล ตลอดจนการรายงาน และการติดตามผลของการแพร่ของโรคอย่างต่อเนื่อง ด้วยกระบวนการที่เป็นระบบเพื่อประโยชน์ในการควบคุมโรค ปัจจุบันมีทั้งหมดจำนวน 55 โรค อ่านรายชื่อโรคเพิ่มเติมได้ที่ >> พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558
2. ระยะเวลาที่กำหนดให้รายงานสถานการณ์/ผู้ป่วยต้องสงสัย เปลี่ยนจากทุก 3 ชม. เป็นรายวัน หรือไม่เกิน 7 วัน
💊โรคติดต่ออันตราย :
ต้องรายงานให้ กรมควบคุมโรคทราบทันที (ผู้ป่วยสงสัยหรือมีเหตุอันควรให้สงสัย) อย่างช้าไม่เกิน 3 ชม. ผู้สัมผัส (closed contact) ต้องโดนกักกัน หรือคุมไว้สังเกตอาการตามระยะการฟักตัวของเชื้อโรค และจะมีการประกาศ “เขตติดโรค” นอกราชอาณาจักร โดย รมต.กระทรวงสาธารณสุข ทั้งนี้ หากพบผู้ป่วยต้องสงสัยแล้วไม่รายงานโรค หรือ ผู้สัมผัสไม่ให้ความร่วมมือ หรือ มีผู้ขัดขวางการปฏิบัติงาน จะมีความผิดทั้งจำและปรับ (โทษปรับไม่เกิน 20,000 บาท)
💊โรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง :
ต้องรายงานให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทราบ โดยรายงานสัปดาห์ละ 1 ครั้ง บังคับให้ ทุกโรงพยาบาล และห้อง Lab ทั้งรัฐและเอกชนมีหน้าที่รายงานสถานการณ์/ผู้ป่วยสงสัยติดเชื้อ ไม่มีมาตรการกักกันหรือคุมไว้สังเกตของผู้สัมผัส หากไม่รายงานตามหน้าที่ก็จะมีความผิด โทษปรับ 20,000 บาท
3. ขั้นตอนการแจ้งเหตุกรณี “โรคติดต่ออันตราย” แตกต่างจากกรณี “โรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง”
💊โรคติดต่ออันตราย :
เจ้าบ้าน/ ผู้ดูแลบ้าน/ แพทย์ผู้ทำการรักษาพยาบาล/ เจ้าของหรือผู้ควบคุมสถานประกอบการ/ บุคลากรในสถานพยาบาล/ ผู้ทำการชันสูตร หากพบผู้ป่วยต้องสงสัย มีหน้าที่ต้องแจ้งต่อเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ สังกัดกรมควบคุมโรคในส่วนกลาง หรือเจ้าหน้าที่ควบคุมโรคในพื้นที่นั้นๆ โดยต้องแจ้งด้วยวิธีที่เร็วที่สุดภายใน 3 ชั่วโมง นับแต่พบผู้ที่เป็นโรคโควิด-19 หรือมีเหตุอันควรสงสัยว่าเป็น
ส่วนในกรณีที่ประชาชนแจ้งกับเจ้าหน้าที่ควบคุมโรคในพื้นที่ (ไม่ได้แจ้งกับส่วนกลางโดยตรง) เจ้าหน้าที่ผู้รับแจ้งเหตุ ต้องแจ้งข้อมูลทางโทรศัพท์ต่อให้แก่เจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ สังกัดกรมควบคุมโรคในส่วนกลาง ภายใน 24 ชั่วโมง
💊โรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง :
บุคลากรในสถานพยาบาล/ ผู้ทำการชันสูตร หากพบผู้ป่วยต้องสงสัย มีหน้าที่ต้องแจ้งต่อเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ ในสังกัด สสจ. หรือแจ้งต่อเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ สังกัดสำนักอนามัย กทม. ภายใน 7 วัน นับแต่พบผู้ที่เป็นโรคโควิด-19 หรือมีเหตุอันควรสงสัยว่าเป็น โดยสามารถแจ้งได้หลากหลายช่องทาง ได้แก่
แจ้งโดยตรงต่อเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ
แจ้งทางโทรศัพท์
แจ้งทางโทรสาร
แจ้งเป็นหนังสือ
แจ้งทางอีเมล
แจ้งโดยวิธีการอื่นที่อธิบดีกรมควบคุมโรคกำหนดเพิ่มเติม
4. การเฝ้าระวัง เตือนภัย และการป้องกัน เมื่อโควิด-19 เป็น “โรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง”
นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค ได้ให้ข้อมูลไว้ว่า เมื่อโควิด-19 ลดระดับเป็น “โรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง” ในการเฝ้าระวังและเตือนภัยก็จะใช้วิธีการเหมือนโรคไข้หวัดใหญ่หรือไข้เลือดออก โดยจะรายงานสถานการณ์เป็นรายสัปดาห์ก็น่าจะเพียงพอ
ทั้งนี้ จะมีการประมวลว่าตัวเลขผู้ป่วยที่ควรจะมีในพื้นที่นั้น ช่วงเวลานั้น ภายใน 1 สัปดาห์ควรมีจำนวนเท่าไร เมื่อไรที่เกินกว่าค่าที่คำนวณไว้ก็จะทราบได้ว่าสถานการณ์ผิดปกติไป ก็จะเข้าสู่ขั้นตอนแจ้งเตือนประชาชนให้ทราบทันที และประกาศใช้มาตรการเพิ่มเติมเพื่อจัดการกับสถานการณ์ผิดปกตดังกล่าว
ส่วนการป้องกันโรค ก็จะเน้นใช้วิธีฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 โดยต่อไปวัคซีนนี้จะกลายเป็นวัคซีนประจำปี เหมือนไข้หวัดใหญ่ โดยอาจจะพิจารณาจัดสรรให้ฟรีกับกลุ่มเสี่ยง (กลุ่ม 608) ที่จะมีอาการรุนแรง หรือกลุ่มที่พิจารณาว่ามีความจำเป็นเฉพาะ
5. ข้อแนะนำสำหรับประชาชน เมื่อโควิด-19 เป็น “โรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง”
สำหรับข้อปฏิบัติของประชาชน นพ.โสภณ แนะนำว่า ขอให้ประชาชนปฏิบัติตัวเหมือนการป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ หากรู้ว่าตรงไหนมีความเสี่ยงก็ต้องหลีกเลี่ยงสถานที่นั้น หรือหากกำลังป่วยโควิดอยู่ก็ต้องดูแลตนเองเพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อไปยังคนอื่น
รวมทั้งควรประเมินความเสี่ยงของตนเองอยู่เสมอ เช่น หากป่วยโควิดแต่ได้รับวัคซีนแล้ว ก็จะทราบว่าตนเองไม่ควรมีอาการหนัก ก็ให้เข้ารับการรักษาพยาบาลตามเหมาะสม เช่น หยุดงาน แต่ถ้าป่วยโควิดแล้วยังไม่ได้ฉีดวัคซีน ก็ต้องรู้ว่ามีโอกาสเสี่ยงอาการรุนแรง ก็ต้องไปพบแพทย์เร็ว เป็นต้น
ทั้งนี้ การเข้ารับบริการรักษาพยาบาล ผู้ป่วยสามารถเข้ารับบริการฟรีได้เช่นเดิม ตามสถานพยาบาลที่ตนเองมีสิทธิอยู่ (สิทธิบัตรทอง สิทธิสวัสดิการข้าราชการ และสิทธิประกันสังคม) เป็นการปรับระบบเหมือนกับการเข้ารับการรักษาโรคอื่นๆ
https://www.bangkokbiznews.com/health/public-health/1028091
ติดตามข่าวโควิดวันนี้นะคะ.....
วันนี้ป่วยใหม่ยังเพิ่มขึ้นมาหลักพันอีกค่ะ
แต่ปอดอักเสบลดลง
🇹🇭💚มาลาริน💚🇹🇭โควิดเป็นโรคเฝ้าระวัง1ต.ค./ป่วยใหม่1,129คน หายป่วย934คน เสียชีวิต13คน/โรคอันตรายเฝ้าระวังต่างกันยังไง
https://www.bangkokbiznews.com/health/public-health/1027976
มีผล 1 ต.ค. 2565 นี้ ราชกิจจานุเบกษาประกาศยกเลิก "โรคโควิด-19" จากการเป็น "โรคติดต่ออันตราย" ลดระดับสู่ "โรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง" แล้วรู้หรือไม่? โรคติดต่อทั้งสองระดับดังกล่าวต่างกันอย่างไร? ทั้งในแง่ของกฎหมาย การรายงานสถานการณ์ การเตือนภัย และการป้องกัน
ก่อนหน้านี้เมื่อ 8 ส.ค. 2565 ที่ผ่านมา คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ (คกก.) ได้มีการประชุมหารือ และพิจารณาเห็นชอบให้ปรับระดับ “โรคโควิด-19” จาก “โรคติดต่ออันตราย” ให้เป็น “โรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง” เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ของโรคในปัจจุบัน โดยล่าสุดเมื่อวานนี้ 20 ก.ย. 65 หลักเกณฑ์ดังกล่าวก็ได้ถูกประกาศในราชกิจจานุเบกษาเรียบร้อยแล้ว โดยจะมีผลในวันที่ 1 ต.ค. 65 ที่จะถึงนี้
เมื่อโรคระบาดโควิดลดระดับเป็นเพียงโรคติดต่อเฝ้าระวัง หลังจากนี้ไปหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายก็ต้องปรับการทำงานให้เหมาะสมตามประกาศนี้ด้วย แต่ก่อนอื่น กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ ชวนไปทำความเข้าใจเบื้องต้นว่า ระหว่างโรคติดต่ออันตรายกับโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวังนั้น มีความแตกต่างที่ประชาชนควรรู้ในหลายมิติ ดังนี้
1. “โรคติดต่ออันตราย” vs “โรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง” มีความหมายแตกต่างกัน
💊โรคติดต่ออันตราย หมายถึง
โรคติดต่อที่มีความรุนแรงสูง และสามารถแพร่ไปสู่ผู้อื่นได้อย่างรวดเร็ว ได้แก่ กาฬโรค, ไข้ทรพิษ, ไข้เลือดออกไครเมียนคองโก, ไข้เวสต์ไนล์, ไข้เหลือง, โรคไข้ลาสซา, โรคติดเชื้อไวรัสนิปาห์, โรคติดเชื้อไวรัสมาร์บวร์ก, โรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา, โรคติดเชื้อไวรัสเฮนดรา, โรคซาร์ส, โรคเมอร์ส, วัณโรคดื้อยาหลายขนานชนิดรุนแรงมาก (ส่วนโควิด-19 เพิ่งมีประกาศให้ถอดออกจากการเป็นโรคติดต่ออันตราย มีผล 1 ต.ค. 65)
💊โรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง หมายถึง
โรคติดต่อที่ต้องมีการติดตาม ตรวจสอบ การวิเคราะห์ข้อมูล จัดเก็บข้อมูล ตลอดจนการรายงาน และการติดตามผลของการแพร่ของโรคอย่างต่อเนื่อง ด้วยกระบวนการที่เป็นระบบเพื่อประโยชน์ในการควบคุมโรค ปัจจุบันมีทั้งหมดจำนวน 55 โรค อ่านรายชื่อโรคเพิ่มเติมได้ที่ >> พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558
2. ระยะเวลาที่กำหนดให้รายงานสถานการณ์/ผู้ป่วยต้องสงสัย เปลี่ยนจากทุก 3 ชม. เป็นรายวัน หรือไม่เกิน 7 วัน
💊โรคติดต่ออันตราย :
ต้องรายงานให้ กรมควบคุมโรคทราบทันที (ผู้ป่วยสงสัยหรือมีเหตุอันควรให้สงสัย) อย่างช้าไม่เกิน 3 ชม. ผู้สัมผัส (closed contact) ต้องโดนกักกัน หรือคุมไว้สังเกตอาการตามระยะการฟักตัวของเชื้อโรค และจะมีการประกาศ “เขตติดโรค” นอกราชอาณาจักร โดย รมต.กระทรวงสาธารณสุข ทั้งนี้ หากพบผู้ป่วยต้องสงสัยแล้วไม่รายงานโรค หรือ ผู้สัมผัสไม่ให้ความร่วมมือ หรือ มีผู้ขัดขวางการปฏิบัติงาน จะมีความผิดทั้งจำและปรับ (โทษปรับไม่เกิน 20,000 บาท)
💊โรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง :
ต้องรายงานให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทราบ โดยรายงานสัปดาห์ละ 1 ครั้ง บังคับให้ ทุกโรงพยาบาล และห้อง Lab ทั้งรัฐและเอกชนมีหน้าที่รายงานสถานการณ์/ผู้ป่วยสงสัยติดเชื้อ ไม่มีมาตรการกักกันหรือคุมไว้สังเกตของผู้สัมผัส หากไม่รายงานตามหน้าที่ก็จะมีความผิด โทษปรับ 20,000 บาท
3. ขั้นตอนการแจ้งเหตุกรณี “โรคติดต่ออันตราย” แตกต่างจากกรณี “โรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง”
💊โรคติดต่ออันตราย :
เจ้าบ้าน/ ผู้ดูแลบ้าน/ แพทย์ผู้ทำการรักษาพยาบาล/ เจ้าของหรือผู้ควบคุมสถานประกอบการ/ บุคลากรในสถานพยาบาล/ ผู้ทำการชันสูตร หากพบผู้ป่วยต้องสงสัย มีหน้าที่ต้องแจ้งต่อเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ สังกัดกรมควบคุมโรคในส่วนกลาง หรือเจ้าหน้าที่ควบคุมโรคในพื้นที่นั้นๆ โดยต้องแจ้งด้วยวิธีที่เร็วที่สุดภายใน 3 ชั่วโมง นับแต่พบผู้ที่เป็นโรคโควิด-19 หรือมีเหตุอันควรสงสัยว่าเป็น
ส่วนในกรณีที่ประชาชนแจ้งกับเจ้าหน้าที่ควบคุมโรคในพื้นที่ (ไม่ได้แจ้งกับส่วนกลางโดยตรง) เจ้าหน้าที่ผู้รับแจ้งเหตุ ต้องแจ้งข้อมูลทางโทรศัพท์ต่อให้แก่เจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ สังกัดกรมควบคุมโรคในส่วนกลาง ภายใน 24 ชั่วโมง
💊โรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง :
บุคลากรในสถานพยาบาล/ ผู้ทำการชันสูตร หากพบผู้ป่วยต้องสงสัย มีหน้าที่ต้องแจ้งต่อเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ ในสังกัด สสจ. หรือแจ้งต่อเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ สังกัดสำนักอนามัย กทม. ภายใน 7 วัน นับแต่พบผู้ที่เป็นโรคโควิด-19 หรือมีเหตุอันควรสงสัยว่าเป็น โดยสามารถแจ้งได้หลากหลายช่องทาง ได้แก่
แจ้งโดยตรงต่อเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ
แจ้งทางโทรศัพท์
แจ้งทางโทรสาร
แจ้งเป็นหนังสือ
แจ้งทางอีเมล
แจ้งโดยวิธีการอื่นที่อธิบดีกรมควบคุมโรคกำหนดเพิ่มเติม
4. การเฝ้าระวัง เตือนภัย และการป้องกัน เมื่อโควิด-19 เป็น “โรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง”
นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค ได้ให้ข้อมูลไว้ว่า เมื่อโควิด-19 ลดระดับเป็น “โรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง” ในการเฝ้าระวังและเตือนภัยก็จะใช้วิธีการเหมือนโรคไข้หวัดใหญ่หรือไข้เลือดออก โดยจะรายงานสถานการณ์เป็นรายสัปดาห์ก็น่าจะเพียงพอ
ทั้งนี้ จะมีการประมวลว่าตัวเลขผู้ป่วยที่ควรจะมีในพื้นที่นั้น ช่วงเวลานั้น ภายใน 1 สัปดาห์ควรมีจำนวนเท่าไร เมื่อไรที่เกินกว่าค่าที่คำนวณไว้ก็จะทราบได้ว่าสถานการณ์ผิดปกติไป ก็จะเข้าสู่ขั้นตอนแจ้งเตือนประชาชนให้ทราบทันที และประกาศใช้มาตรการเพิ่มเติมเพื่อจัดการกับสถานการณ์ผิดปกตดังกล่าว
ส่วนการป้องกันโรค ก็จะเน้นใช้วิธีฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 โดยต่อไปวัคซีนนี้จะกลายเป็นวัคซีนประจำปี เหมือนไข้หวัดใหญ่ โดยอาจจะพิจารณาจัดสรรให้ฟรีกับกลุ่มเสี่ยง (กลุ่ม 608) ที่จะมีอาการรุนแรง หรือกลุ่มที่พิจารณาว่ามีความจำเป็นเฉพาะ
5. ข้อแนะนำสำหรับประชาชน เมื่อโควิด-19 เป็น “โรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง”
สำหรับข้อปฏิบัติของประชาชน นพ.โสภณ แนะนำว่า ขอให้ประชาชนปฏิบัติตัวเหมือนการป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ หากรู้ว่าตรงไหนมีความเสี่ยงก็ต้องหลีกเลี่ยงสถานที่นั้น หรือหากกำลังป่วยโควิดอยู่ก็ต้องดูแลตนเองเพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อไปยังคนอื่น
รวมทั้งควรประเมินความเสี่ยงของตนเองอยู่เสมอ เช่น หากป่วยโควิดแต่ได้รับวัคซีนแล้ว ก็จะทราบว่าตนเองไม่ควรมีอาการหนัก ก็ให้เข้ารับการรักษาพยาบาลตามเหมาะสม เช่น หยุดงาน แต่ถ้าป่วยโควิดแล้วยังไม่ได้ฉีดวัคซีน ก็ต้องรู้ว่ามีโอกาสเสี่ยงอาการรุนแรง ก็ต้องไปพบแพทย์เร็ว เป็นต้น
ทั้งนี้ การเข้ารับบริการรักษาพยาบาล ผู้ป่วยสามารถเข้ารับบริการฟรีได้เช่นเดิม ตามสถานพยาบาลที่ตนเองมีสิทธิอยู่ (สิทธิบัตรทอง สิทธิสวัสดิการข้าราชการ และสิทธิประกันสังคม) เป็นการปรับระบบเหมือนกับการเข้ารับการรักษาโรคอื่นๆ
https://www.bangkokbiznews.com/health/public-health/1028091
ติดตามข่าวโควิดวันนี้นะคะ.....
วันนี้ป่วยใหม่ยังเพิ่มขึ้นมาหลักพันอีกค่ะ
แต่ปอดอักเสบลดลง