ลองแก้ปัญหาน้ำท่วมกรุงเทพไหม      ด้วยโมเดล    “ ไม่รอระบาย  ระบายไปก่อน (Drain it  first) “

นั่งดูปัญหาน้ำท่วม กทม.  มาร่วมเกือบ 10 วัน    ส่วนใหญ่ที่แก้ปญหามาทุกยุคทุกสมัย    เป็นการแก้แบบตั้งรับ    ฝนตกทีก็สูบกันที    ออกไปตรวจงาน   สุดท้ายก็น้ำรอระบาย     ใช้เวลา4-5 ชั่งโมง กว่าจะแห้ง     แต่ถ้าโดนฝนขนาดเกิน 100 มม.  ถล่มหลายๆพื้นที่หลายๆวัน     ดราม่าก็เกิด    เพราะน้ำจะขังนานกว่าเดิมเป็นวันๆ   
 
          ผมมานั่งคิดๆดู     วันนี้ขอบังอาจแนะนำชายผู้แข็งแกร่งหน่อย          ฝนบ้านเราทางภาคกลาง    โดยเฉพาะ กทม.จะเริ่มมีดราม่าน้ำท่วม   ตั้งแต่เดือน   มิถุนายน - พฤศจิกายน    ช่วงที่มีมรสุมเข้า  หรือไต้ฝุ่นก็ประมาณ 6 เดือน        ลองคิดกลับว่าแทนที่คุณจะมาสร้างโปรเจค หมื่นล้านแก้ปัญหา    ทำไมไม่ลองวิธีง่ายๆ     แบบธรรมดาๆบ้านๆ     ค่อยๆทำยังไม่ต้องลงทุนมากสักปี  ถ้าwork ค่อยว่ากันใหญ๋โต      ซึ่งผมจะเล่าให้ฟัง
 
          เรามีช่วงเตรียมตัวป้องกัน น้ำท่วม 6 เดือน(ธันวาคม-พฤษภาคม)เช่นกัน       ถ้าพิจารณาจากชั้นความสูงจากระดับน้ำทะเล     กรุงเทพใกล้ทะเลก็จะสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 20 ซม.     ห่างออกไปทางดอนเมือง ก็จะสูงประมาณ  50-70 ซม.(แต่แปลกเดี๋ยวนี้กลับท่วมหนัก)      และส่วนที่อยากให้มองลึกๆ    ถ้าว่างๆ ลองไปยืนกินลมชมวิว     แนวขอบตลิ่งช่วงหน้าแล้งของ คลองหลักๆดูซิครับ      เช่น คลองแสนแสบ    คลองเปรมประชากร   คลองลาดพร้าว      ตลิ่งจะอยู่สูงระดับน้ำในคลอง  ร่วมๆ 1 เมตร กว่าถึง 2 เมตร       ทำไมเราไม่เอาส่วนนี้มาทำแก้มลิง      มันทำได้และทำไม่ยาก
 
          ผมแค่คิด เพิ่มมาอีก 2 step        ก็ช่วงที่ยังไม่มีฝน      ทำไม กทม.  ไม่สูบออกก่อนเลยสร้าง     สร้างvirtualแก้มลิงขึ้นมา      เอาให้ระดับน้ำในคลองต่างๆ  ต่ำกว่าที่เคยปกติสัก  30-50  ซม.หรือไปถึง1 เมตร(รับปริมาณน้ำฝน เกิน 100 มม. ได้สบายๆ  สูบออกไม่เกิน 1 ชม.)       ไม่ต้องรอฝนตก     ไม่ต้องdrain ไปทำให้คนอีกเดือดร้อน        เมื่อมีฝนหนักๆ   น้ำก็จะไหลไปแทนที่ระดับน้ำที่หายไปล่วงหน้า    ขณะที่ช่วงฝนหนักเราเดินเครื่องสูบไปด้วย      ในขณะเดียวกันเมื่อฝนหยุด    ก็สูบออกรักษาระดับให้ต่ำเหมือนเดิม       เพื่อรอวิกฤติครั้งต่อไป
 
ทีนี้บางคนอาจจะว่าผมเพ้อเจ้อ     มันไม่ง่าย    อันนี้ฝากผู้มีอำนาจ     กำหนดแผนงาน    ทำเป็นระบบ    ร่วมมือมาช่วยกันหลายหน่วยงาน       ในที่นี้   ผมจะยกตัวอย่างโดยไม่ลงรายละเอียดมาก     คร่าวๆ   ว่าใครจะมาทำอะไร   ช่วยวิธีไหน   เริ่มกันเลย
 
            1      กรมพัฒนาที่ดิน  กระทรวงเกษตรและสหกรณ์       หลายๆคนคงไม่รู้ว่าที่กรมนี้มีBig data มหาศาลอยู่ในมือ         มีภาพถ่ายทางอากาศย้อนหลังไปตั้งแต่ปี  2500     และปี 2510 กว่าๆซึ่งมีขนาด 8*8 นิ้ว    ใช้งานพัฒนาที่ดิน   และ  กรมที่ดินใช้ออก นส.3   แต่ที่น่าสนใจคือ ของกรมพัฒนาที่ดินถูกสแกนเป็นดิจิทัล           และ ภาพถ่ายทางอากาศ ortho สีเมื่อประมาณ 10 ปีทีแล้วเป็นดิจิทัล    โดยจ้าง ESRI ทำ     สามารถต่อภาพตัดแบ่งเฉาะ กทม.  ขนาดเท่าแผนที่ L7018 ของกรมแผนที่ทหารไปใช้การทำงานด้านGIS        พร้อมมีlayerรองรับชั้นความสูงอยู่ด้วย(ผมจะมาพูดทีหลังว่าใครเอาไปใช้บ้าง)        บางคนอาจถามว่าแล้วเอามาทำเขียงอะไร       เอามาทำเขียงจริงๆนั่นแหละ      เป็นข้อมูลพื้นฐาน  ทางภูมิศาสตร์ไง       โดยท่านผู้ว่าลองขอความอนุเคราะห์ให้ทางกรมพัฒนาที่ดิน   ช่วย mosaic ภาพปีรุ่นเก่าส่งมาให้ กทม.     มันจะมีคุณประโยชน์ช่วยในการ  จัดทำระบบทางน้ำทั้งในอดีต จนถึงปัจจุบัน      ใช้เป็นแนวทางการกำหนดเคลื่อนและโยคย้ายของน้ำ    รวมทั้ง   water block ในปัจจุบัน  อยู่ตรงไหน     และอย่าลืมขอแผนที่ Land use การใช้ประโยชน์ที่ดินของเขาด้วย      เมื่อมีการผันน้ำ   อาจจะกระทบกับพืชเกษตรกรรมจังหวัดปริมณฑล     กรมนี้ขอแค่นี้ก่อน
 
          2 สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ(Gistda)   หน่วยงานนี้ต้องมาครับ    เพราะเป็นคนกุมข้อมูลreal time  ของภาคพื้นดินผ่านดาวเทียม       มีสถานีรับสัญญานที่ลาดกระบัง   ดาวเทียมวิ่งผ่านเกือบทุกวัน       คุณชัชชาติสามารถคุยสอบถามแนวการใช้งานจากผู้ดูแลด้านนี้        จะได้แนวคิดอีกเยอะ       ที่ผมอยากฝากให้ทำก็คือ      Gistda มีข้อมูลแผนที่ดาวเทียมย้อนหลังหลายปี         และสามารถดึงเป็นภาพถ่ายดิจิทัลขึ้นจอ      ยกตัวอย่างภาพดาวเทียมSpot ของฝรั่งเศส       แนะนำภาพขาวดำจะให้โทนสีที่ดูความชื้นง่ายว่าตรงไหนท่วมลึกและ กินขอบเขตท่วมแค่ไหน       ขอให้ Gistda(อาจต้องใช้เงิน  ไม่มีของฟรี)    เขาทำขอบเขตน้ำท่วมใหญ่ๆ ของ   กทม. ย้อนหลัง 5-10 ปี         และแสดงโซนที่น้ำขัง      เช่นแถวซอยแบริ่ง    ซอยลาดพร้าว 64       ซึ่งปกติจะเห็นสีความเข้มและจางจากความชึ้นของน้ำ      เมื่อมีการระบาย     สำหรับคนดูภาพดาวเทียมเป็น ดูไม่ยากหรอกครับ     ส่วนใหญ่น้ำจะระบายออกเป็นแนวคล้ายนิ้วมือนี่แหละ    flood wayจะมาร่วมกันที่ตรงข้อมือ     ทางไหนเข้มมากก็ออกทางนั้น      แล้วถามว่ามันดียังไง     มันดีตรงที่คุณจะได้ไม่สูบน้ำสะเปะสปะ      สูบทางนี้ไปใส่ทางโน้น   สูบไปสูบมาท่วมหมด       และเวลาลอกท่อล่วงหน้าได้ตรงจุด        แก้ตรงที่คัน     ลอกเป็นทางน้ำไป   รวมทั้งเวลาขุดลอกท่อระบายน้ำด้วย        แถมให้อีกอย่าง    สำนักงานนี้ยังมีแผนที่น้ำที่น้ำท่วมไหล   จากภาคเหนือ    เอามาประเมินความเสี่ยงได้ทั้งนั้น     ยิ่งคุยยิ่งได้เรื่องเยอะ ลองไปคุยเดี๋ยวได้เรื่อง
 
         3 กรมอุตุนิยมวิทยา     งานนี้ต้องมี     ท่านประกาศเตือนกันแทบทุกวัน   ประกาศล่วงหน้าว่าจะมีมรสุมเข้า  ฝนกี่เปอร์เซ็นต์จนผมเลี่ยน       แต่ กทม.  แทบไม่action ล่วงหน้าเลย       ประสานกันให้ใกล้ชิด    มีเวลากว่าพายุจะเข้าส่วนใหญ่ก็ 5 วัน      เตรียมตัวทันเหลือเฟือ      สั่งไป ผอ.เขต  ให้ลดระดับน้ำในลำคลองเตรียมไว้       ช่วงลำรางไหนที่ยังเกินอยู่  รีบๆทำเสีย        เท่านี้คุณก็มีแก้มลิงรับน้ำแล้ว       เชิญท่านกรมอุตุผู้รู้มาบรรยาย      จะได้รู้ว่า  เดือนไหนฝนตกมากที่สุดในรอบปี    คาดว่าน้ำมากน้ำน้อยโดยไม่ต้องถามพระโค  ตอนสงกรานต์       ขอข้อมูลน้ำฝนย้อนหลัง 10 ปี       ปีไหน น้ำฝนเยอะ    ลานินโย่ ลานินย่า     ตั้งรับสูบก่อนเลย      วานช่วยแจ้งเตือนล่วงหน้ามาด้วยที่กทม.  แนวๆนี้
 
        4  กรมชลประทาน    กรมนี้เป็นพวกaction    ลงมือทำ    ดังนั้นท่านจึงมีความเชี่ยวชาญเรื่องน้ำเป็นพิเศษ   ท่านผู้ว่า ลองสอบถาม   เช่นอยากจะมีการติดตั้งจุดเซ็นเซอร์ตรวจปริมาณน้ำฝนในโซนน้ำท่วม        วางจุดตรวจอัตราการไหลของน้ำ     วางเซ็นเซอร์ให้ครบในพื้นที่สำคัญ    ใช้ยี่ห้ออะไร   applicationไหน  ราคากี่บาท        ให้มือบริหารน้ำมืออาชีพมาวาง จุดที่ควรวางเครื่องสูบน้ำตามข้อมูลพื้นฐานหน่วยงานข้างบน    ควรวางกี่เครื่องจึงเหมาะสม       ไม่ใช่ตัวใครตัวมัน  ผอ.เขตนี้สูบ งบเยอะ  เครื่องมาก สูบไปท่วมเขตโน้น    ผอ.เขตโน้นสูบมาท่วมเขตถัดไป         ถามกรมชลประทานว่าก้าวหน้าไประดับไหนแล้ว     มีGIS ไหม  มีอะไรเทคโนโลยี่ใหม่ๆ     รู้ได้ไงน้ำไหลกี่ลูกบาศน์ต่อวินาที      เอาอะไรไปวัด     ช่วยกทม. กำหนดประตูระบายน้ำเปิดปิดเป็นระบบ    สร้างประตูการไหลของน้ำไม่ให้เหลื่อมกัน ในแต่ละโซนน้ำท่วม     ต้อง      ทำแผนที่คูระบายน้ำที่เชื่อมต่อกันเป็นร่างแหของทั้งหมดในรูป GIS       ทะลวงท่ออย่างมีทิศทางทาง     ก็อปปี้วิธีของกรมชลประทานมาเลย      ดัดแปลงให้เข้ากับงาน กทม.      เช่นฝนเริ่มตกหนักที่บางเขน    มีแจ้งเตือนทันทีที่ศูนย์เตือนภัยสำนักระบายน้ำ กทม.    งานนี้เขาชำนาญอยู่แล้วแต่ท่านไม่รู้   ไม่เคยเรียกใช้
 
        5   ESRI  หน่วยงานเอกชนระดับโลก    ทำไมต้องถามหาเขา      เพราะเขาชำนาญเรื่องทาง Geolocationของพื้นโลก (เจ้าของแผนที่ Garmin map)         หากกทม. จะทำเป็นระบบซึ่งผมคิดว่ายังไง กทม. ทำเองไม่ได้แน่นอน     หรือเป็นไปได้อีกทางคืออาจจ้างมหาวิทยาลัยทำซึ่งก็คงไม่ทั้งมหภาค          แต่หน่วยงานนี้เหมาะสุดเพราะเชี่ยวชาญสุด     จัดการวางระบบทั้งหมดไว้บน GIS (geographic information system)   หรือระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์        พร้อมการแจ้งเตือน      เช่น  มีpoint ของ  ปริมาณน้ำฝน       point ของระดับน้ำในลำราง       อัตราการไหลของน้ำออก     จุดการวางเครื่องสูบน้ำ(ความแรงต่างกัน)       เราสามารถประเมินและคาดการณ์การระบาย      รู้จำนวนอุปกรณ์ต่างๆ    อยู่ในตำแหน่งไหน       เชิญมาให้ความเห็น     และสอบถามมือโปรจาก ESRI          เขียนapplication แจ้งเตือน ในการต่อสู้กับปัญหาน้ำท่วม   ซึ่งตรงนี้  นักวิชาการ กทม. และอื่นๆ    รวมทั้งส่วนภาคเอกชนที่สนใจ   คงต้องระดมสมองกันเอง
 
      6    สำนักระบายน้ำ กทม.   หน่วยนี้ต้องอยู่คู่ผู้ว่าทุกคน       เพราะมีอยู่แล้ว   แต่    ที่ทำกันไป   ส่วนใหญ่ ตามยถากรรม   คำสั่งเร่งด่วนของผู้ใหญ่      คงต้องตั้ง war room  ศูนย์เตือนภัย   ติดตั้งจอใหญ่คล้ายๆจอของศูนย์รถไฟฟ้า      แสดงสถานะปัจจุบัน    เตรียมการลอกคันคลอง   คูระบายน้ำอย่างมีทิศทาง    ติดต่อหน่วยงาน จ้างงานหรือประมูลให้ทันเวลา    ผู้ว่า  สั่งการจากตรงนี้         จะได้ลดการ present face ลงบ้าง    เอาเวลาทำงานจริงๆจังๆ
 
สรุปให้อีกที   เมื่อเรามีแผนที่    และกำหนดโซนน้ำท่วม     มีการแจ้งเตือน    แยกชัดเจน      จุดน้ำท่วมที่กระจายทั่วกรุงเทพ  เป็นส่วนของลำรางไหน ผ่านท่อระบายไหน   และลงแม่น้ำเจ้าพระยาอย่างไร      คุณก็จะระบายไปถูกทาง      ส่วนปัญหาปลีกย่อยบางอย่าง  เช่น การไม่ยอมให้ปิดประตูระบายน้ำ    อันนี้ก็ต้องอาศัย กทม.ทำเอง
 
คุณชัชชาติ   ผมจริงจัง    ไม่ได้บ้านะครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่