ไอลอว์ นำผู้เสียหาย ร้องกมธ.ถูกเพกาซัส สอดแนม ‘ณัฐชา’ จ่อเชิญ รมว.กลาโหม-ดีอีเอส แจง
https://www.matichon.co.th/politics/news_3564346
‘ผู้เสียหายเพกาซัส’ ร้อง กมธ.พัฒนาการเมืองฯ สอบคนเบื้องหลังละเมิดสิทธิ ปชช. ด้าน ‘ณัฐชา’ จ่อเชิญ รมว.กลาโหม-ดีอีเอส เข้าแจง
เมื่อเวลา 14.30 น. วันที่ 15 กันยายน ที่รัฐสภา นาย
ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ ผู้จัดการโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (ไอลอว์) พร้อมด้วยกลุ่มผู้เสียหาย จากการถูกโจมตีทางโทรศัพท์ผ่านการใช้สปายแวร์ เพกาซัสยื่นหนังสือต่อนาย
ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.กทม. พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) พัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน สภาผู้แทนราษฎร เพื่อขอให้ตรวจสอบการใช้สปายแวร์เพกาซัส กับผู้เห็นต่างทางการเมือง นักกิจกรรม นักปกป้องมนุษยชน และนักวิชาการในประเทศไทย
โดย นาย
ยิ่งชีพกล่าวว่า เบื้องต้นมีผู้เสียหายที่ถูกสอดส่องโดยสปายแวร์เพกาซัส 35 คน ถูกเจาะข้อมูลผ่านโทรศัพท์มือถือยี่ห้อหนึ่ง โดยสปายแวร์เพกาซัส สามารถสั่งเปิดไมโครโฟน กล้อง ฟังเสียงของบุคคลนั้นๆ ได้โดยไม่รู้ตัว ถือเป็นอาวุธไซเบอร์ของรัฐบาล ที่หวังจะเจาะข้อมูลประชาชน ดังนั้น จึงได้มายื่นหนังสือขอให้มีการตรวจสอบหน่วยงานของรัฐ ว่าหน่วยงานใดเป็นผู้ใช้ เพราะถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างสูงสุด
ด้านนาย
จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ
ไผ่ ดาวดิน แกนนำกลุ่มราษฎร ในฐานะผู้เสียหาย กล่าวว่า ถ้าเป็นรัฐบาลประชาธิปไตย คงจะไม่ไปสอดรู้ สอดเห็นสิทธิส่วนบุคคลของประชาชน แต่จะส่งเสริมสิทธิประชาชน สิ่งต่างๆ ให้มนุษย์มีชีวิตที่ดีขึ้น รัฐบาลมองการแสดงออกทางความเห็นของคนเห็นต่างเป็นศัตรู รัฐควรนำเงินงบประมาณที่จะมาสอดแนมประชาชน ไปส่งเสริมสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนด้านต่างๆ ให้ดีกว่านี้
ขณะที่ นาย
ณัฐชากล่าวว่า การสอดแนมไปยังนักการเมือง นักกิจกรรม นักเคลื่อนไหวฝ่ายตรงข้าม โดยการใช้งบประมาณของรัฐต้องถูกตรวจสอบอย่างจริงจัง แม้ ส.ส.พรรค ก.ก. ได้อภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล หลังจากอภิปรายยังไม่ได้คำชี้แจงจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กมธ.พัฒนาการเมืองฯ จะเชิญ พล.อ.
ประยุทธ์ จันทร์โอชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นาย
ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เข้ามาชี้แจง โดยเรื่องนี้ต้องพิสูจน์ให้ได้ว่า หน่วยงานไหนสั่งซื้อมา มีเหตุผลอะไร นำไปใช้ในหน่วยงานไหนไปยังคนกลุ่มใดบ้าง เบื้องต้นเท่าที่ทราบมี 35 คน ถูกติดตามจากสปายแวร์เพกาซัส แต่ที่ไม่ทราบอีกไม่รู้จำนวนเท่าใด ทาง กมธ.จะขับเคลื่อนตรวจสอบเพื่อผลประโยชน์ประชาชน จะพิสูจน์ทราบเรื่องนี้ให้ได้
สภาผู้บริโภค 14 จว.เตรียมฟ้อง กสทช. ผิด ม.157 ละเว้นฯหน้าที่ อวยดีลทรูดีแทค
https://www.matichon.co.th/economy/news_3564269
สภาผู้บริโภค 14 จังหวัด เตรียมฟ้อง กสทช. ผิด ม.157 ละเว้นฯหน้าที่ อวยดีลทรูดีแทค ท้าเปิดเวทีฟังเสียงทั่วประเทศ เตรียมชงผู้ว่าฯ ปลุก ปชช. ตื่นตัวป้องสิทธิตัวเอง
น.ส.
สุภิญญา กลางณรงค์ ประธานอนุกรรมการด้านการสื่อสารโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศ สภาองค์กรของผู้บริโภค (สอบ.) และอดีตกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กล่าวในเวทีเสวนาวิชาการผลกระทบการผูกขาดมือถือต่อสิทธิพลเมืองในยุค 5G ว่า ควรมีการขยายการรับรู้ กรณีการควบรวมกิจการระหว่างบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค ไปยังประชาชนทั่วประเทศ โดยเบื้องต้นอาจมีการเปิดเวทีเพื่อหารือร่วมกันภายในเครือข่ายองค์กรพัฒนาเอกชน ซึ่งมีอยู่หลากหลายกลุ่ม และอาจเป็นกลุ่มที่ไม่เกี่ยวข้องกับผู้บริโภคโดยตรง อาทิ กลุ่มแรงงาน ที่จะได้รับผลกระทบจากราคาค่าบริการที่เพิ่มสูงขึ้น กลุ่มผู้พิการ ที่จำเป็นต้องได้รับสิทธิในการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตที่สะดวกและรวดเร็ว และผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ (โอเปอเรเตอร์) จะต้องให้ความสนใจมากขึ้น เพราะเป็นกลุ่มที่ต้องไม่ถูกหลงลืม รวมถึงกลุ่มผู้สูงอายุ โดยให้แต่ละกลุ่มรวบรวมข้อเสนอแนะ ประกาศเจตนารมณ์ เพื่อนำไปสู่การเคลื่อนไหวของเครือข่ายสภาองค์กรของผู้บริโภคในแต่ละจังหวัด และเสนอแนะไปยังผู้ว่าราชการจังหวัด
น.ส.
สุภิญญากล่าวว่า อย่างไรก็ตาม การร่วมมือกันของหลายภาคส่วนนี้อาจไม่ใช่แค่ติดตามกรณีการควบรวมกิจการระหว่างทรูและดีแทคเท่านั้น แต่เพื่อผลักดันเรื่องสิทธิพลเมืองในยุค 5G ทั้งเรื่องราคาค่าบริการ คุณภาพของโครงข่าย และสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกของข้อมูลส่วนบุคคลด้วย เพราะในอีก 5-10 ปีข้างหน้า โลกจะก้าวเข้าสู่ยุคอินเตอร์เน็ต ออฟ ธิงส์ (ไอโอที) อย่างเต็มรูปแบบเพิ่มมากขึ้น ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของแต่ละคน จะต้องผูกพันกับสัญญาณอินเตอร์เน็ตเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น จะทำอย่างไรให้เรื่องนี้กลายเป็นวาระสำคัญที่รัฐบาล และสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) จะต้องใส่ใจและฟังเสียงจากภาคประชาชน
“ที่ผ่านมา แม้ กสทช. เคยเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นผู้ที่เกี่ยวข้องกับการควบรวมกิจการในด้านต่างๆ ไปแล้ว แต่ยังไม่เพียงพอ และกระจุกตัวอยู่เฉพาะในพื้นที่กทม. เท่านั้น จึงอยากเชิญชวน กปภช. ร่วมกับสภาองค์กรของผู้บริโภค เข้ายื่นหนังสือถึง กสทช. หรือรัฐบาล เพื่อเรียกร้องให้ กสทช. มอบหมายสำนักงาน กสทช. ซึ่งมีสำนักงานระดับภูมิภาคเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นของประชาชนต่อเรื่องนี้ และนำข้อเสนอที่ได้มาประมวลเพื่อใช้ประกอบการพิจารณา เพราะ กสทช. ควรฟังเสียงผู้ใช้อินเตอร์เน็ตทั่วประเทศ ก่อนจะตัดสินว่า จะอนุญาตให้ควบรวมกิจการหรือไม่” น.ส.
สุภิญญากล่าว
ขณะที่ น.ส.
สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสำนักงานสภาองค์กรของผู้บริโภค (สอบ.) กล่าวว่า 5 เหตุผลที่ผู้บริโภคต้องคัดค้านการควบรวมกิจการ ประกอบด้วย
1. ผลการศึกษาของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ), ศูนย์ความรู้นโยบายสาธารณะเพื่อการ
เปลี่ยนแปลง (101 PUB) รวมถึงคณะอนุกรรมการด้านต่างๆ ที่ กสทช. แต่งตั้งขึ้นเพื่อพิจารณาดีลการควบรวมนี้ ระบุชัดเจนว่า การควบรวมกิจการจะส่งผลให้ราคาค่าบริการแพงขึ้นแน่นอน เฉลี่ยอยู่ที่ 12-244% โดยราคาค่าบริการที่แพงขึ้นนั้นไม่มีหลักประกันที่ชัดเจนจาก กสทช.ว่าจะกำกับดูแลได้
2. การควบรวมกิจการ ทำเกิดการผูกขาดตลาด ไม่สนับสนุนให้เกิดผู้เล่นรายใหม่ ด้วยปัจจุบันที่มีผู้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบโครงข่ายเสมือน หรือ MVNO จำนวนน้อยอยู่แล้ว ดังนั้น ตลาดจึงไม่เกิดการแข่งขันกันอย่างแท้จริง
และ 3.การควบรวมกิจการ ผู้บริโภคได้รับประโยชน์ และเพื่อก้าวไปสู่เทคคอมปานี ไม่จริงตามที่ผู้ขอควบรวมกล่าวอ้าง และไม่สามารถเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมได้ เพราะในอนาคตโทรศัพท์มือถือจะถูกลดบทบาท โดยการเข้าแทนที่ของไอโอที และไอโอทีนี้จะกลายเป็นธุรกิจในอนาคต ดังนั้น แม้ค่าบริการเสียงจะลดลง แต่โอเปอเรเตอร์จะมีรายได้จากการใช้งานอินเตอร์เน็ตมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้ผู้บริโภคต้องจ่ายค่าอินเตอร์เน็ตแพงขึ้นในอนาคตได้
“สภาองค์กรของผู้บริโภคจะทำหน้าที่อย่างเต็มที่ โดยผ่านเครือข่าย 14 จังหวัด ที่จะเคลื่อนไหวเพื่อต่อต้านเรื่องนี้ และอยากเชิญชวนเครือข่ายอื่นๆ ในการทำงานร่วมกันเพื่อสร้างความตื่นตัว ซึ่งหลายคนถามว่า เมื่อควบรวมกิจการแล้วผู้บริโภคจะได้อะไร แต่ส่วนตัวคิดว่าเสียอะไรมากกว่า เพราะนอกจากราคาค่าบริการที่เพิ่มขึ้น การผูกขาดตลาด ยังจำกัดทางเลือกของผู้บริโภค ดังนั้น กสทช. ในฐานะองค์กรกำกับดูแล จึงมีอำนาจในการพิจารณาและต้องทำหน้าที่ ซึ่งถ้ายังไม่ทำ ก็ขอเชิญชวนทุกคนให้ร่วมกับพรรคก้าวไกล ยื่นฟ้อง กสทช ความผิดฐานขัดมาตรา 157 เข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ดังนั้น การพิจารณาเรื่องควบรวมกิจการจึงเป็นความท้าทาย ทั้งจริยธรรม ความรับผิดชอบของ กสทช. ชุดปัจจุบัน และหวังอย่างยิ่งว่า จะรักษาเกียรติภูมิและทำหน้าที่อย่างดีที่สุด ในการรักษาผลประโยชน์ของผู้บริโภค โดยเฉพาะศาสตราจารย์คลินิก นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ประธาน กสทช. ด้านการคุ้มครองผู้บริโภค ยิ่งมีความคาดหวังมากกว่า กสทช. ท่านอื่นๆ” น.ส.
สารีกล่าว
'ตรีชฎา' ตอก 'ทิพานัน' กลัวเพื่อไทยจนโงหัวไม่ขึ้น ไม่เคยทำงานเพื่อ ปชช. เอาแต่โจมตีผู้อื่น
https://voicetv.co.th/read/9r1Wcjqdr
“ตรีชฎา” ตอก “ทิพานัน” กลัวเพื่อไทยจนโงหัวไม่ขึ้น ไม่เคยทำงานเพื่อ ปชช. เอาแต่โจมตีผู้อื่น เลี้ยงเสียข้าวสุก ย้อนถามใครครอบงำ พปชร.จนถูกร้องยุบพรรคกันแน่
ตรีชฎา ศรีธาดา รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีนางสาวทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกรัฐบาลกล่าวโจมตีการแสดงความเห็นของ ดร.
ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยกล่าวหาว่า ดร.
ทักษิณชี้นำให้เลือกพรรคเพื่อไทย ว่า นางสาว
ทิพานันต้องตั้งสติ ใช้ปัญญาคิดทบทวนไตร่ตรองให้ดีว่าการเข้ามาทำงานการเมืองในตำแหน่งรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นข้าราชการการเมืองกินเงินเดือนที่มาจากภาษีประชาชน ทำงานในทำเนียบรัฐบาล ควรมีจิตคิดสำนึกทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่องานราชการแผ่นดิน เป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน อย่าแสดงพฤติกรรมที่ขาดสำนึก การพาดพิงถึง ดร.
ทักษิณ อดีตนายกรัฐมนตรี และพาดพิงมาถึงพรรคเพื่อไทย โดยการใช้ตำแหน่งหน้าที่ของตัวเองในทางที่มิชอบ อาจเข้าข่ายกระทำการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ดังนั้นก่อนที่นางสาวทิพานันจะสั่งสอนผู้อื่น ต้องย้อนกลับมาดูที่การกระทำของตนเองด้วย
ตรีชฎา กล่าวอีกว่า อยากเตือนความจำนางสาวทิพานัน ว่าเอาแต่ท่องจำตัวบทกฎหมายมาขู่ฝ่ายตรงข้าม แต่ในความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในพรรคตัวเองกลับลืม คนที่กระทำการสุ่มเสี่ยงครอบงำพรรคอื่นจนถูกร้องยุบพรรค คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่นางสาว
ทิพานันเชิดชู เดือนตุลาคม ปี 2564 มีคนร้องเรียนพล.อ.
ประยุทธ์ กรณีเรียก 6 รัฐมนตรีของพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เข้าหารือเมื่อวันที่ 25 ต.ค. อาจเข้าข่ายผิด พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 28 และมาตรา 29 หรือไม่ หรือเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐของนางสาว
ทิพานันเอง อย่างพล.อ.
ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ก็ออกมายอมรับว่าคุยกับ ร.อ.
ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา และเลขาธิการพรรคเศรษฐกิจไทย (ศท.) ในประเด็นไม่ไปกินข้าวเย็นร่วมกับพรรคเพื่อไทย กลุ่ม 16 และพรรคเล็ก ก็ล้วนเป็นการกระทำที่ก้าวก่ายแทรกแซงการทำงานของพรรคการเมืองอื่น ซึ่งอาจจะนำไปสู่การยุบพรรค พปชร. ทั้งสิ้น
ทิพานัน ควรจะกลับไปมองตัวเอง ก่อนกล่าวร้ายผู้อื่น เพราะถ้าดูไม่ดีก็จะถูกตอกกลับด้วยข้อเท็จจริงเช่นนี้ และก่อนที่จะเข้ามาจุ้นจ้านกิจการพรรคอื่น หรือโจมตีข้อเสนอดีๆ ที่มีประโยชน์ต่อประเทศของ
ทักษิณ ก็ควรกลับไปทำงานเพื่อประชาชนบ้าง ด้วยการทำตามนโยบายที่หาเสียงไว้ให้ได้ก่อน เรื่องค่าแรงก็เป็นหนึ่งในนั้น หาเสียงไว้ว่า จะขึ้นเป็น 425 บาทต่อวัน ตอนนี้ไปถึงไหน หรือ นางสาว
ทิพานันสะเทือนใจที่พรรคการเมืองที่ตัวเองสังกัดหาเสียงเรื่องขึ้นค่าแรงเอาไว้แล้วทำไม่ได้เลยด้อยค่า อิจฉาริษยาในข้อเสนอของ
ทักษิณ ที่เสนอให้รัฐบาลต่อไปเพิ่มค่าแรงเป็นวันละ 800 บาทกันแน่
JJNY : 5in1 ไอลอว์ร้องกมธ.ถูกเพกาซัส สอดแนม│เตรียมฟ้อง กสทช.│'ตรีชฎา'ตอก'ทิพานัน'│สภาล่มอีก│ปูตินแก้แค้น โจมตีเขื่อน
https://www.matichon.co.th/politics/news_3564346
‘ผู้เสียหายเพกาซัส’ ร้อง กมธ.พัฒนาการเมืองฯ สอบคนเบื้องหลังละเมิดสิทธิ ปชช. ด้าน ‘ณัฐชา’ จ่อเชิญ รมว.กลาโหม-ดีอีเอส เข้าแจง
เมื่อเวลา 14.30 น. วันที่ 15 กันยายน ที่รัฐสภา นายยิ่งชีพ อัชฌานนท์ ผู้จัดการโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (ไอลอว์) พร้อมด้วยกลุ่มผู้เสียหาย จากการถูกโจมตีทางโทรศัพท์ผ่านการใช้สปายแวร์ เพกาซัสยื่นหนังสือต่อนายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.กทม. พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) พัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน สภาผู้แทนราษฎร เพื่อขอให้ตรวจสอบการใช้สปายแวร์เพกาซัส กับผู้เห็นต่างทางการเมือง นักกิจกรรม นักปกป้องมนุษยชน และนักวิชาการในประเทศไทย
โดย นายยิ่งชีพกล่าวว่า เบื้องต้นมีผู้เสียหายที่ถูกสอดส่องโดยสปายแวร์เพกาซัส 35 คน ถูกเจาะข้อมูลผ่านโทรศัพท์มือถือยี่ห้อหนึ่ง โดยสปายแวร์เพกาซัส สามารถสั่งเปิดไมโครโฟน กล้อง ฟังเสียงของบุคคลนั้นๆ ได้โดยไม่รู้ตัว ถือเป็นอาวุธไซเบอร์ของรัฐบาล ที่หวังจะเจาะข้อมูลประชาชน ดังนั้น จึงได้มายื่นหนังสือขอให้มีการตรวจสอบหน่วยงานของรัฐ ว่าหน่วยงานใดเป็นผู้ใช้ เพราะถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างสูงสุด
ด้านนายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือไผ่ ดาวดิน แกนนำกลุ่มราษฎร ในฐานะผู้เสียหาย กล่าวว่า ถ้าเป็นรัฐบาลประชาธิปไตย คงจะไม่ไปสอดรู้ สอดเห็นสิทธิส่วนบุคคลของประชาชน แต่จะส่งเสริมสิทธิประชาชน สิ่งต่างๆ ให้มนุษย์มีชีวิตที่ดีขึ้น รัฐบาลมองการแสดงออกทางความเห็นของคนเห็นต่างเป็นศัตรู รัฐควรนำเงินงบประมาณที่จะมาสอดแนมประชาชน ไปส่งเสริมสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนด้านต่างๆ ให้ดีกว่านี้
ขณะที่ นายณัฐชากล่าวว่า การสอดแนมไปยังนักการเมือง นักกิจกรรม นักเคลื่อนไหวฝ่ายตรงข้าม โดยการใช้งบประมาณของรัฐต้องถูกตรวจสอบอย่างจริงจัง แม้ ส.ส.พรรค ก.ก. ได้อภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล หลังจากอภิปรายยังไม่ได้คำชี้แจงจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กมธ.พัฒนาการเมืองฯ จะเชิญ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เข้ามาชี้แจง โดยเรื่องนี้ต้องพิสูจน์ให้ได้ว่า หน่วยงานไหนสั่งซื้อมา มีเหตุผลอะไร นำไปใช้ในหน่วยงานไหนไปยังคนกลุ่มใดบ้าง เบื้องต้นเท่าที่ทราบมี 35 คน ถูกติดตามจากสปายแวร์เพกาซัส แต่ที่ไม่ทราบอีกไม่รู้จำนวนเท่าใด ทาง กมธ.จะขับเคลื่อนตรวจสอบเพื่อผลประโยชน์ประชาชน จะพิสูจน์ทราบเรื่องนี้ให้ได้
สภาผู้บริโภค 14 จว.เตรียมฟ้อง กสทช. ผิด ม.157 ละเว้นฯหน้าที่ อวยดีลทรูดีแทค
https://www.matichon.co.th/economy/news_3564269
สภาผู้บริโภค 14 จังหวัด เตรียมฟ้อง กสทช. ผิด ม.157 ละเว้นฯหน้าที่ อวยดีลทรูดีแทค ท้าเปิดเวทีฟังเสียงทั่วประเทศ เตรียมชงผู้ว่าฯ ปลุก ปชช. ตื่นตัวป้องสิทธิตัวเอง
น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ ประธานอนุกรรมการด้านการสื่อสารโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศ สภาองค์กรของผู้บริโภค (สอบ.) และอดีตกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กล่าวในเวทีเสวนาวิชาการผลกระทบการผูกขาดมือถือต่อสิทธิพลเมืองในยุค 5G ว่า ควรมีการขยายการรับรู้ กรณีการควบรวมกิจการระหว่างบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค ไปยังประชาชนทั่วประเทศ โดยเบื้องต้นอาจมีการเปิดเวทีเพื่อหารือร่วมกันภายในเครือข่ายองค์กรพัฒนาเอกชน ซึ่งมีอยู่หลากหลายกลุ่ม และอาจเป็นกลุ่มที่ไม่เกี่ยวข้องกับผู้บริโภคโดยตรง อาทิ กลุ่มแรงงาน ที่จะได้รับผลกระทบจากราคาค่าบริการที่เพิ่มสูงขึ้น กลุ่มผู้พิการ ที่จำเป็นต้องได้รับสิทธิในการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตที่สะดวกและรวดเร็ว และผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ (โอเปอเรเตอร์) จะต้องให้ความสนใจมากขึ้น เพราะเป็นกลุ่มที่ต้องไม่ถูกหลงลืม รวมถึงกลุ่มผู้สูงอายุ โดยให้แต่ละกลุ่มรวบรวมข้อเสนอแนะ ประกาศเจตนารมณ์ เพื่อนำไปสู่การเคลื่อนไหวของเครือข่ายสภาองค์กรของผู้บริโภคในแต่ละจังหวัด และเสนอแนะไปยังผู้ว่าราชการจังหวัด
น.ส.สุภิญญากล่าวว่า อย่างไรก็ตาม การร่วมมือกันของหลายภาคส่วนนี้อาจไม่ใช่แค่ติดตามกรณีการควบรวมกิจการระหว่างทรูและดีแทคเท่านั้น แต่เพื่อผลักดันเรื่องสิทธิพลเมืองในยุค 5G ทั้งเรื่องราคาค่าบริการ คุณภาพของโครงข่าย และสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกของข้อมูลส่วนบุคคลด้วย เพราะในอีก 5-10 ปีข้างหน้า โลกจะก้าวเข้าสู่ยุคอินเตอร์เน็ต ออฟ ธิงส์ (ไอโอที) อย่างเต็มรูปแบบเพิ่มมากขึ้น ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของแต่ละคน จะต้องผูกพันกับสัญญาณอินเตอร์เน็ตเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น จะทำอย่างไรให้เรื่องนี้กลายเป็นวาระสำคัญที่รัฐบาล และสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) จะต้องใส่ใจและฟังเสียงจากภาคประชาชน
“ที่ผ่านมา แม้ กสทช. เคยเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นผู้ที่เกี่ยวข้องกับการควบรวมกิจการในด้านต่างๆ ไปแล้ว แต่ยังไม่เพียงพอ และกระจุกตัวอยู่เฉพาะในพื้นที่กทม. เท่านั้น จึงอยากเชิญชวน กปภช. ร่วมกับสภาองค์กรของผู้บริโภค เข้ายื่นหนังสือถึง กสทช. หรือรัฐบาล เพื่อเรียกร้องให้ กสทช. มอบหมายสำนักงาน กสทช. ซึ่งมีสำนักงานระดับภูมิภาคเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นของประชาชนต่อเรื่องนี้ และนำข้อเสนอที่ได้มาประมวลเพื่อใช้ประกอบการพิจารณา เพราะ กสทช. ควรฟังเสียงผู้ใช้อินเตอร์เน็ตทั่วประเทศ ก่อนจะตัดสินว่า จะอนุญาตให้ควบรวมกิจการหรือไม่” น.ส.สุภิญญากล่าว
ขณะที่ น.ส.สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสำนักงานสภาองค์กรของผู้บริโภค (สอบ.) กล่าวว่า 5 เหตุผลที่ผู้บริโภคต้องคัดค้านการควบรวมกิจการ ประกอบด้วย
1. ผลการศึกษาของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ), ศูนย์ความรู้นโยบายสาธารณะเพื่อการ
เปลี่ยนแปลง (101 PUB) รวมถึงคณะอนุกรรมการด้านต่างๆ ที่ กสทช. แต่งตั้งขึ้นเพื่อพิจารณาดีลการควบรวมนี้ ระบุชัดเจนว่า การควบรวมกิจการจะส่งผลให้ราคาค่าบริการแพงขึ้นแน่นอน เฉลี่ยอยู่ที่ 12-244% โดยราคาค่าบริการที่แพงขึ้นนั้นไม่มีหลักประกันที่ชัดเจนจาก กสทช.ว่าจะกำกับดูแลได้
2. การควบรวมกิจการ ทำเกิดการผูกขาดตลาด ไม่สนับสนุนให้เกิดผู้เล่นรายใหม่ ด้วยปัจจุบันที่มีผู้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบโครงข่ายเสมือน หรือ MVNO จำนวนน้อยอยู่แล้ว ดังนั้น ตลาดจึงไม่เกิดการแข่งขันกันอย่างแท้จริง
และ 3.การควบรวมกิจการ ผู้บริโภคได้รับประโยชน์ และเพื่อก้าวไปสู่เทคคอมปานี ไม่จริงตามที่ผู้ขอควบรวมกล่าวอ้าง และไม่สามารถเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมได้ เพราะในอนาคตโทรศัพท์มือถือจะถูกลดบทบาท โดยการเข้าแทนที่ของไอโอที และไอโอทีนี้จะกลายเป็นธุรกิจในอนาคต ดังนั้น แม้ค่าบริการเสียงจะลดลง แต่โอเปอเรเตอร์จะมีรายได้จากการใช้งานอินเตอร์เน็ตมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้ผู้บริโภคต้องจ่ายค่าอินเตอร์เน็ตแพงขึ้นในอนาคตได้
“สภาองค์กรของผู้บริโภคจะทำหน้าที่อย่างเต็มที่ โดยผ่านเครือข่าย 14 จังหวัด ที่จะเคลื่อนไหวเพื่อต่อต้านเรื่องนี้ และอยากเชิญชวนเครือข่ายอื่นๆ ในการทำงานร่วมกันเพื่อสร้างความตื่นตัว ซึ่งหลายคนถามว่า เมื่อควบรวมกิจการแล้วผู้บริโภคจะได้อะไร แต่ส่วนตัวคิดว่าเสียอะไรมากกว่า เพราะนอกจากราคาค่าบริการที่เพิ่มขึ้น การผูกขาดตลาด ยังจำกัดทางเลือกของผู้บริโภค ดังนั้น กสทช. ในฐานะองค์กรกำกับดูแล จึงมีอำนาจในการพิจารณาและต้องทำหน้าที่ ซึ่งถ้ายังไม่ทำ ก็ขอเชิญชวนทุกคนให้ร่วมกับพรรคก้าวไกล ยื่นฟ้อง กสทช ความผิดฐานขัดมาตรา 157 เข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ดังนั้น การพิจารณาเรื่องควบรวมกิจการจึงเป็นความท้าทาย ทั้งจริยธรรม ความรับผิดชอบของ กสทช. ชุดปัจจุบัน และหวังอย่างยิ่งว่า จะรักษาเกียรติภูมิและทำหน้าที่อย่างดีที่สุด ในการรักษาผลประโยชน์ของผู้บริโภค โดยเฉพาะศาสตราจารย์คลินิก นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ประธาน กสทช. ด้านการคุ้มครองผู้บริโภค ยิ่งมีความคาดหวังมากกว่า กสทช. ท่านอื่นๆ” น.ส.สารีกล่าว
'ตรีชฎา' ตอก 'ทิพานัน' กลัวเพื่อไทยจนโงหัวไม่ขึ้น ไม่เคยทำงานเพื่อ ปชช. เอาแต่โจมตีผู้อื่น
https://voicetv.co.th/read/9r1Wcjqdr
“ตรีชฎา” ตอก “ทิพานัน” กลัวเพื่อไทยจนโงหัวไม่ขึ้น ไม่เคยทำงานเพื่อ ปชช. เอาแต่โจมตีผู้อื่น เลี้ยงเสียข้าวสุก ย้อนถามใครครอบงำ พปชร.จนถูกร้องยุบพรรคกันแน่
ตรีชฎา ศรีธาดา รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีนางสาวทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกรัฐบาลกล่าวโจมตีการแสดงความเห็นของ ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยกล่าวหาว่า ดร.ทักษิณชี้นำให้เลือกพรรคเพื่อไทย ว่า นางสาวทิพานันต้องตั้งสติ ใช้ปัญญาคิดทบทวนไตร่ตรองให้ดีว่าการเข้ามาทำงานการเมืองในตำแหน่งรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นข้าราชการการเมืองกินเงินเดือนที่มาจากภาษีประชาชน ทำงานในทำเนียบรัฐบาล ควรมีจิตคิดสำนึกทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่องานราชการแผ่นดิน เป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน อย่าแสดงพฤติกรรมที่ขาดสำนึก การพาดพิงถึง ดร.ทักษิณ อดีตนายกรัฐมนตรี และพาดพิงมาถึงพรรคเพื่อไทย โดยการใช้ตำแหน่งหน้าที่ของตัวเองในทางที่มิชอบ อาจเข้าข่ายกระทำการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ดังนั้นก่อนที่นางสาวทิพานันจะสั่งสอนผู้อื่น ต้องย้อนกลับมาดูที่การกระทำของตนเองด้วย
ตรีชฎา กล่าวอีกว่า อยากเตือนความจำนางสาวทิพานัน ว่าเอาแต่ท่องจำตัวบทกฎหมายมาขู่ฝ่ายตรงข้าม แต่ในความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในพรรคตัวเองกลับลืม คนที่กระทำการสุ่มเสี่ยงครอบงำพรรคอื่นจนถูกร้องยุบพรรค คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่นางสาวทิพานันเชิดชู เดือนตุลาคม ปี 2564 มีคนร้องเรียนพล.อ.ประยุทธ์ กรณีเรียก 6 รัฐมนตรีของพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เข้าหารือเมื่อวันที่ 25 ต.ค. อาจเข้าข่ายผิด พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 28 และมาตรา 29 หรือไม่ หรือเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐของนางสาวทิพานันเอง อย่างพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ก็ออกมายอมรับว่าคุยกับ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา และเลขาธิการพรรคเศรษฐกิจไทย (ศท.) ในประเด็นไม่ไปกินข้าวเย็นร่วมกับพรรคเพื่อไทย กลุ่ม 16 และพรรคเล็ก ก็ล้วนเป็นการกระทำที่ก้าวก่ายแทรกแซงการทำงานของพรรคการเมืองอื่น ซึ่งอาจจะนำไปสู่การยุบพรรค พปชร. ทั้งสิ้น
ทิพานัน ควรจะกลับไปมองตัวเอง ก่อนกล่าวร้ายผู้อื่น เพราะถ้าดูไม่ดีก็จะถูกตอกกลับด้วยข้อเท็จจริงเช่นนี้ และก่อนที่จะเข้ามาจุ้นจ้านกิจการพรรคอื่น หรือโจมตีข้อเสนอดีๆ ที่มีประโยชน์ต่อประเทศของ ทักษิณ ก็ควรกลับไปทำงานเพื่อประชาชนบ้าง ด้วยการทำตามนโยบายที่หาเสียงไว้ให้ได้ก่อน เรื่องค่าแรงก็เป็นหนึ่งในนั้น หาเสียงไว้ว่า จะขึ้นเป็น 425 บาทต่อวัน ตอนนี้ไปถึงไหน หรือ นางสาวทิพานันสะเทือนใจที่พรรคการเมืองที่ตัวเองสังกัดหาเสียงเรื่องขึ้นค่าแรงเอาไว้แล้วทำไม่ได้เลยด้อยค่า อิจฉาริษยาในข้อเสนอของ ทักษิณ ที่เสนอให้รัฐบาลต่อไปเพิ่มค่าแรงเป็นวันละ 800 บาทกันแน่