‘จิราพร’ แนะ รบ.ศึกษาข้อตกลงไอเพฟให้ดี หวั่นกระทบการค้าการลงทุน ห่วงจัดประชุมเอเปคไม่สมศักดิ์ศรี ทำไทยเสียงบเปล่า
https://www.matichon.co.th/politics/news_3559665
“จิราพร” แนะ รบ.ศึกษาข้อตกลงไอเพฟให้ดี หวั่นกระทบการค้าการลงทุน ห่วงจัดประชุมเอเปคไม่สมศักดิ์ศรี ทำไทยเสียงบเปล่า เหน็บ หากทำไม่ได้ขอให้พิจารณาตัวเองเหมาะเป็นรัฐบาลต่อหรือไม่ จี้ลาออก เปิดทางสรรหานายกฯ คนใหม่
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 13 กันยายน ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) น.ส.
จิราพร สินธุไพร ส.ส.ร้อยเอ็ดและกรรมการบริหารพรรค พท. กล่าวว่า มีความเป็นห่วงกรณีที่ไทยจะเข้าร่วมในกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิก หรือไอเพฟ ซึ่งเป็นข้อตกลงระหว่างประเทศฉบับใหม่โดยสหรัฐเป็นแกนนำในการจัดตั้งเมื่อเดือนพฤษภาคม 2565 ที่ผ่านมา และไทยเป็น 1 ใน 14 ประเทศที่เข้าร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรีไอเพฟ เมื่อวันที่ 8-9 กันยายน 2565 ที่ลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริกา ซึ่งสาระสำคัญมี 4 เสาหลัก ได้แก่ ด้านการค้า, ด้านห่วงโซ่อุปทาน, ด้านพลังงานสะอาด, ด้านภาษีและการต่อต้านการทุจริต ซึ่งจะส่งผลต่อการค้า การลงทุน ระหว่างประเทศสมาชิกในอนาคต กรอบความร่วมมือนี้ไม่ใช่ข้อตกลงทางการค้า อาจไม่ได้รับการผ่อนปรนทางการค้า เช่น การยกเว้นภาษีนำเข้าจากสหรัฐ ประเทศภาคีในกรอบไอเพฟสามารถเลือกที่จะเข้าร่วมการเจรจาในเรื่องไหนก็ได้ โดยที่สมาชิกยังต้องทำตามมาตรฐานการค้าที่สูงของสหรัฐ หลายฝ่ายจึงมองว่าไอเพฟดูเปิดกว้างแต่อาจเป็นเพียงกรอบความร่วมมือที่สหรัฐต้องการรักษาบทบาทนำในการค้าโลกหรือไม่
น.ส.
จิราพรกล่าวอีกว่า หากรัฐบาลไทยมีกึ๋นมากพอ จะเป็นโอกาสของไทยในการเจรจาต่อรองกับสหรัฐได้ โดยต้องจับมือกับประเทศอื่นๆ ในอาเซียนเพื่อสร้างอำนาจต่อรองเพิ่มขึ้น โดยรัฐบาลต้องเปิดเผยข้อมูลผลการเจรจาอย่างโปร่งใส ตรงไปตรงมากับคนไทย บอกถึงข้อดี ข้อเสีย ผลกระทบต่างๆ และแผนการเตรียมรองรับในอนาคต และขอเรียกร้องให้รัฐบาลเปิดพื้นที่ให้ภาคเอกชน ภาคประชาสังคมมีส่วนร่วมในกระบวนการเจรจามากที่สุด ไม่เช่นนั้นจะเหมือนกับที่รัฐบาลพยายามจะพาไทยเข้าร่วม ความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก CPTPP ที่ผ่านมา ที่ไม่สามารถอธิบายข้อมูลให้กับคนไทยได้อย่างชัดเจน ทั้งนี้ ภายใต้บริบทการฟื้นตัวจากโควิด ภาวะเงินเฟ้อ วิกฤติอาหารโลก สงครามรัสเซีย-ยูเครน และความท้าทายอีกหลายประการที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ไทยในฐานะที่อยู่ระหว่างจีนและสหรัฐ ต้องวางบทบาทตัวเองอย่างรอบคอบ เพื่อรักษาสมดุลทางการเมืองและการค้ากับประเทศมหาอำนาจที่เป็นคู่ค้าคนสำคัญของไทยอื่นๆ ด้วย
“สหรัฐ คาดว่าจะเจรจากรอบไอเพฟแล้วเสร็จภายใน 12-18 เดือน หากยังเป็นการเจรจาภายใต้การบริหารของรัฐบาลชุดนี้ ดิฉันไม่อาจมั่นใจในฝีมือการเจรจาทางการค้าเพื่อให้ประเทศไทยได้ประโยชน์สูงสุดแต่อย่างใด เพราะภาพลักษณ์การเป็นรัฐบาลเผด็จการสืบทอดอำนาจ ทำให้แทบไม่เหลือเครดิตในการต่อรองเจรจาทางการค้ากับประเทศที่พัฒนาแล้ว” น.ส.
จิราพรกล่าว
น.ส.
จิราพรยังกล่าวถึงความเป็นห่วงในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจในเอเชีย-แปซิฟิค หรือเอเปค ในเดือนพฤศจิกายน 2565 ว่า หลังจากในการประชุมระดับรัฐมนตรีการค้าเอเปค เมื่อช่วงกลางเดือนพฤษภาคม 2565 ที่ผ่านมา ไทยไม่สามารถควบคุมการประชุมให้อยู่ในเฉพาะประเด็นเศรษฐกิจการค้าได้ และในการประชุมรัฐมนตรีเอเปควิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ครั้งที่ 28 เมื่อวันที่ 9-10 กันยายน ที่ จ.ภูเก็ต ที่ผ่านมา ประสบปัญหาเดียวกัน ประเทศสมาชิกหยิบยกประเด็นเรื่องความขัดแย้งทางการเมืองขึ้นในที่ประชุม จนทำให้ประเทศพันธมิตรจำนวน 6 ประเทศ ได้รวมตัวกันออกแถลงการณ์แสดงจุดยืนที่ต่อต้านรัสเซียซึ่งเป็นชาติสมาชิกเอเปคอย่างต่อเนื่อง เป็นการกดดันกลายๆ ให้ไทยในฐานะประธานต้องแสดงจุดยืนในประเด็นความขัดแย้ง และหากไทยไม่มีความพยายามที่จะป้องกันหรือแก้ไขความขัดแย้งไม่ให้ที่ประชุมเอเปคกลายเป็นสนามประลองกำลังทางการเมืองของชาติสมาชิกซ้ำๆ ทุกการประชุมเช่นนี้จึงคาดการณ์ได้ว่า ในการประชุมสุดยอดผู้นำเอเปคที่จะเกิดขึ้นเดือนพฤศจิกายนนี้อาจจะเกิดปัญหา และอาจทำให้เอเปคที่ไทยเป็นเจ้าภาพล้มเหลว ไม่สามารถผลักดันให้เกิดฉันทามติในประเด็นเศรษฐกิจที่ไทยให้ความสำคัญได้
“ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกรอบความตกลงไอเพฟ หรือการประชุมเอเปคผู้นำประเทศต้องมีวิสัยทัศน์ แต่เมื่อมองไปยัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตลอด 8 ปีที่ผ่านมา ก็เห็นเป็นที่ประจักษ์แล้วว่าเป็นรัฐบาล [เผล่ะจัง] สืบทอดอำนาจ มือไม่ถึงในเรื่องเศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศ พรรคเพื่อไทยขอเรียกร้องให้รัฐบาลได้แสดงภาวะผู้นำ บริหารจัดการประชุมเอเปคกลับสู่กลไกปกติให้ได้ และทำให้ประเทศไทยได้ประโยชน์สูงสุดจากการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมครั้งนี้ เพื่อให้คุ้มกับเงินภาษีของประชาชนที่ใช้ไป การที่ไทยได้โอกาสในการเป็นประธานในการจัดเอเปค เป็นโอกาสที่จะทำให้ทั่วโลกได้เห็นถึงศักยภาพของไทยที่มีอยู่ ต้องเกิดประโยชน์กับประเทศไทยและคนไทยมากที่สุด แต่หากทำไม่ได้ก็ขอให้พิจารณาตัวเองว่าเหมาะสมจะเป็นรัฐบาลต่อหรือไม่ ทางที่ดีที่สุดหากเห็นแก่ประเทศชาติและประชาชนจริง พล.อ.ประยุทธ์ไม่ต้องรอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าดำรงตำแหน่งครบ 8 ปีหรือไม่ ควรลาออกเพื่อเปิดทางให้มีการสรรหานายกรัฐมนตรีคนใหม่ที่มีความรู้ความสามารถมาแทน” น.ส.
จิราพรกล่าว
ทัศนีย์ อัด วิษณุ เลิกตะแบงทิ้งหลักกฎหมาย อุ้ม ประยุทธ์ ซัดคำชี้แจงไม่เคารพ รธน.-หลักนิติรัฐนิติธรรม
https://www.matichon.co.th/politics/news_3559561
ทัศนีย์ อัด วิษณุ เลิกตะแบงทิ้งหลักกฎหมาย อุ้ม ประยุทธ์ ซัดคำชี้แจงไม่เคารพ รธน.-หลักนิติรัฐนิติธรรม
เมื่อวันที่ 13 กันยายน น.ส.
ทัศนีย์ บูรณุปกรณ์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า การที่ศาลรัฐธรรมนูญกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาวาระครบ 8 ปี ของพล.อ.
ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต้องหยุดปฎิบัติหน้าที่ เป็นประเด็นที่ภาคประชาสังคมให้ความสนใจมากว่า สุดท้ายแล้วศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยออกมาเช่นไร จะให้กลับมาทำหน้าที่ต่อหรือไปแล้วไปลับ ขณะเดียวกันหนังสือชี้แจงของพล.อ.
ประยุทธ์ ที่ส่งถึงศาลรัฐธรรมนูญเห็นชัดว่า ไม่ได้ให้ความสำคัญกับบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด
ทั้งนี้ การที่พล.อ.
ประยุทธ์ ระบุว่า
“ข้าพเจ้าจะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นระยะเวลาเท่าไร ตราบใดที่ไม่ได้ประพฤติปฏิบัติตนในลักษณะที่เป็นเหตุให้เสียหายต่อประโยชน์ของประเทศ ประโยชน์สาธารณะของประชาชน แล้วระยะเวลาการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของข้าพเจ้าก็ไม่ได้ขัดต่อหลักมาตรฐานสากล และเจตนารมณ์ของบทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญ 2560 แต่อย่างใด” การเขียนเช่นนี้คือการแสดงตัวตนอย่างชัดเจนว่าพล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้เคารพหลักการแห่งกฎหมาย และไม่ให้ความสำคัญกับบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ
น.ส.
ทัศนีย์ กล่าวด้วยว่า ทั้งนี้นาย
มีชัย ฤชุพันธ์ อดีตประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) นาย
สุพจน์ ไข่มุก อดีตกรรมการกรธ. นาย
จรัญ ภักดีธนากุล อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ รวมถึงนาย
วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี และบรรดานักกฎหมายที่ได้ดิบได้ดีจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) แสดงออกถึงการ ออกมาอุ้มพล.อ.
ประยุทธ์ชี้นำสังคม ชี้นำศาลว่า ต้องนับหลังจากรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 มีผลบังคับใช้ไม่ให้นับย้อนหลังไปจนถึงปี 2557 เพื่อตอบแทนพล.อ.
ประยุทธ์อุ้มให้มีตำแหน่งทางการเมือง
“อยากถามนายวิษณุและบรรดาองครักษ์พิทักษ์ประยุทธ์ว่าหากนับเริ่มต้นปี 2560 แล้ว ในปี2557-2560 ตัวอะไรนั่งเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ ไม่เข้าใจว่านายวิษณุถึงยอมทิ้งหลักการกฎหมายอุ้มศพพล.อ.ประยุทธ์ ต่อไปเพื่ออะไร เมื่อพล.อ.ประยุทธ์ พยายามทำตัวเหนือกฎหมาย เสพติดอำนาจไม่ยอมลงจากตำแหน่ง ในสายตานายวิษณุ ยังไม่เห็นคนไทยทั้งประเทศว่ากำลังลำบากแค่ไหนหรืออย่างไร การทำลายหลักนิติรัฐ ทิ้งหลักการกฎหมายเพื่อคนเดียวมันคุ้มกันหรือไม่” น.ส.
ทัศนีย์ กล่าว
ส.อ.ท.ร้องรัฐช่วย 3 เรื่องด่วน!! สกัดท่วมพื้นที่ศก. แก้ต่างด้าวขาดแคลน อุ้มค่าไฟเอสเอ็มอี
https://www.matichon.co.th/economy/news_3559821
ส.อ.ท.ร้องช่วย 3 เรื่องด่วน!! สกัดท่วมพื้นที่ศก. แก้ต่างด้าวขาดแคลน อุ้มค่าไฟเอสเอ็มอี
วันที่ 13 ก.ย. นาย
เกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนสิงหาคม 2565 อยู่ที่ระดับ 90.5 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 89.0 ในเดือนกรกฎาคม โดยปรับตัวเพิ่มขึ้น ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากปัจจัยในประเทศเป็นสำคัญ ได้แก่ กิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ ที่กลับเข้าสู่ภาวะปกติ หลังจากสถานการณ์โควิด-19 ปรับตัวดีขึ้นและภาครัฐผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้การบริโภคในประเทศมีทิศทางที่ดีขึ้น สะท้อนจากความต้องสินค้าภาคอุตสาหกรรมยังคงขยายตัวต่อเนื่อง ขณะที่บรรยากาศการท่องเที่ยวมีสัญญาณที่ดีขึ้นหลังการยกเลิก Thailand Pass รวมถึงมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวผ่านโครงการเราเที่ยวด้วยกันช่วยสนับสนุนการใช้จ่ายในประเทศ
อย่างไรก็ตามยังมีปัจจัยลบจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง โดยเฉพาะเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าสำคัญอย่างสหรัฐฯ และยุโรป ที่เผชิญปัญหาเงินเฟ้อ ขณะที่สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนยังมีความไม่แน่นอน รวมทั้งปัญหาการขาดแคลนชิป ส่งผลกระทบต่อการผลิตสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้า สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และรถยนต์บางรุ่น เป็นปัจจัยลบต่อภาคการส่งออกของไทย นอกจากนี้ผู้ประกอบยังมีความกังวลเกี่ยวกับต้นทุนการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้น ทั้งจากราคาวัตถุดิบ อาทิ อาหารสัตว์ เหล็กและอลูมิเนียม ค่าไฟฟ้า รวมถึงต้นทุนด้านโลจิสติกส์ที่ทรงตัวในระดับสูง แม้ว่าในเดือนสิงหาคมต้นทุนด้านราคาน้ำมันจะปรับตัวดีขึ้นก็ตาม ตลอดจนปัญหาการขาดแคลนต่างด้าวในภาคการผลิต
จากการสำรวจผู้ประกอบการ 1,304 ราย ครอบคลุม 45 กลุ่มอุตสาหกรรมของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยในเดือนสิงหาคม 2565 พบว่า ปัจจัยที่ผู้ประกอบการมีความกังวลเพิ่มขึ้นได้แก่ สภาวะเศรษฐกิจโลก ร้อยละ 75.9 สถานการณ์การเมือง ร้อยละ 42.8 อัตราแลกเปลี่ยน (มุมมองผู้ส่งออก) โดยอัตราแลกเปลี่ยนอ้างอิงค่าเงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ร้อยละ 39.3 และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ร้อยละ 35.7 ตามลำดับ ปัจจัยที่มีความกังวล ลดลง ได้แก่ ราคาน้ำมัน ร้อยละ 77.6 เศรษฐกิจในประเทศ ร้อยละ 45.9 สถานการณ์ระบาดของโควิด-19 ร้อยละ 48.7 และ ตามลำดับ
สำหรับดัชนีฯคาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ระดับ 99.5 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 98.7 ในเดือนกรกฎาคม เนื่องจากผู้ประกอบการมองว่า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวแบบช้าๆ โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและการขยายตัวของอุปสงค์ในประเทศ รวมทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ แต่อย่างไรก็ตามผู้ประกอบการมีความกังวลเกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราจ้างขั้นต่ำ ในวันที่ 1 ตุลาคม 2565 รวมถึงการปรับขึ้นค่าไฟฟ้ารอบใหม่ในช่วงเดือนกันยายน – ธันวาคม 2565 จะส่งผลให้ต้นทุนประกอบการสูงขึ้น นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว รวมถึงความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ต่างๆ อาจส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกของไทย
JJNY : ‘จิราพร’แนะศึกษาข้อตกลงไอเพฟให้ดี│ทัศนีย์อัดวิษณุ│ส.อ.ท.ร้องช่วย 3 เรื่องด่วน!!│อุตุฯ เตือนมรสุมถล่มซ้ำ 15-18ก.ย.
https://www.matichon.co.th/politics/news_3559665
“จิราพร” แนะ รบ.ศึกษาข้อตกลงไอเพฟให้ดี หวั่นกระทบการค้าการลงทุน ห่วงจัดประชุมเอเปคไม่สมศักดิ์ศรี ทำไทยเสียงบเปล่า เหน็บ หากทำไม่ได้ขอให้พิจารณาตัวเองเหมาะเป็นรัฐบาลต่อหรือไม่ จี้ลาออก เปิดทางสรรหานายกฯ คนใหม่
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 13 กันยายน ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) น.ส.จิราพร สินธุไพร ส.ส.ร้อยเอ็ดและกรรมการบริหารพรรค พท. กล่าวว่า มีความเป็นห่วงกรณีที่ไทยจะเข้าร่วมในกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิก หรือไอเพฟ ซึ่งเป็นข้อตกลงระหว่างประเทศฉบับใหม่โดยสหรัฐเป็นแกนนำในการจัดตั้งเมื่อเดือนพฤษภาคม 2565 ที่ผ่านมา และไทยเป็น 1 ใน 14 ประเทศที่เข้าร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรีไอเพฟ เมื่อวันที่ 8-9 กันยายน 2565 ที่ลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริกา ซึ่งสาระสำคัญมี 4 เสาหลัก ได้แก่ ด้านการค้า, ด้านห่วงโซ่อุปทาน, ด้านพลังงานสะอาด, ด้านภาษีและการต่อต้านการทุจริต ซึ่งจะส่งผลต่อการค้า การลงทุน ระหว่างประเทศสมาชิกในอนาคต กรอบความร่วมมือนี้ไม่ใช่ข้อตกลงทางการค้า อาจไม่ได้รับการผ่อนปรนทางการค้า เช่น การยกเว้นภาษีนำเข้าจากสหรัฐ ประเทศภาคีในกรอบไอเพฟสามารถเลือกที่จะเข้าร่วมการเจรจาในเรื่องไหนก็ได้ โดยที่สมาชิกยังต้องทำตามมาตรฐานการค้าที่สูงของสหรัฐ หลายฝ่ายจึงมองว่าไอเพฟดูเปิดกว้างแต่อาจเป็นเพียงกรอบความร่วมมือที่สหรัฐต้องการรักษาบทบาทนำในการค้าโลกหรือไม่
น.ส.จิราพรกล่าวอีกว่า หากรัฐบาลไทยมีกึ๋นมากพอ จะเป็นโอกาสของไทยในการเจรจาต่อรองกับสหรัฐได้ โดยต้องจับมือกับประเทศอื่นๆ ในอาเซียนเพื่อสร้างอำนาจต่อรองเพิ่มขึ้น โดยรัฐบาลต้องเปิดเผยข้อมูลผลการเจรจาอย่างโปร่งใส ตรงไปตรงมากับคนไทย บอกถึงข้อดี ข้อเสีย ผลกระทบต่างๆ และแผนการเตรียมรองรับในอนาคต และขอเรียกร้องให้รัฐบาลเปิดพื้นที่ให้ภาคเอกชน ภาคประชาสังคมมีส่วนร่วมในกระบวนการเจรจามากที่สุด ไม่เช่นนั้นจะเหมือนกับที่รัฐบาลพยายามจะพาไทยเข้าร่วม ความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก CPTPP ที่ผ่านมา ที่ไม่สามารถอธิบายข้อมูลให้กับคนไทยได้อย่างชัดเจน ทั้งนี้ ภายใต้บริบทการฟื้นตัวจากโควิด ภาวะเงินเฟ้อ วิกฤติอาหารโลก สงครามรัสเซีย-ยูเครน และความท้าทายอีกหลายประการที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ไทยในฐานะที่อยู่ระหว่างจีนและสหรัฐ ต้องวางบทบาทตัวเองอย่างรอบคอบ เพื่อรักษาสมดุลทางการเมืองและการค้ากับประเทศมหาอำนาจที่เป็นคู่ค้าคนสำคัญของไทยอื่นๆ ด้วย
“สหรัฐ คาดว่าจะเจรจากรอบไอเพฟแล้วเสร็จภายใน 12-18 เดือน หากยังเป็นการเจรจาภายใต้การบริหารของรัฐบาลชุดนี้ ดิฉันไม่อาจมั่นใจในฝีมือการเจรจาทางการค้าเพื่อให้ประเทศไทยได้ประโยชน์สูงสุดแต่อย่างใด เพราะภาพลักษณ์การเป็นรัฐบาลเผด็จการสืบทอดอำนาจ ทำให้แทบไม่เหลือเครดิตในการต่อรองเจรจาทางการค้ากับประเทศที่พัฒนาแล้ว” น.ส.จิราพรกล่าว
น.ส.จิราพรยังกล่าวถึงความเป็นห่วงในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจในเอเชีย-แปซิฟิค หรือเอเปค ในเดือนพฤศจิกายน 2565 ว่า หลังจากในการประชุมระดับรัฐมนตรีการค้าเอเปค เมื่อช่วงกลางเดือนพฤษภาคม 2565 ที่ผ่านมา ไทยไม่สามารถควบคุมการประชุมให้อยู่ในเฉพาะประเด็นเศรษฐกิจการค้าได้ และในการประชุมรัฐมนตรีเอเปควิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ครั้งที่ 28 เมื่อวันที่ 9-10 กันยายน ที่ จ.ภูเก็ต ที่ผ่านมา ประสบปัญหาเดียวกัน ประเทศสมาชิกหยิบยกประเด็นเรื่องความขัดแย้งทางการเมืองขึ้นในที่ประชุม จนทำให้ประเทศพันธมิตรจำนวน 6 ประเทศ ได้รวมตัวกันออกแถลงการณ์แสดงจุดยืนที่ต่อต้านรัสเซียซึ่งเป็นชาติสมาชิกเอเปคอย่างต่อเนื่อง เป็นการกดดันกลายๆ ให้ไทยในฐานะประธานต้องแสดงจุดยืนในประเด็นความขัดแย้ง และหากไทยไม่มีความพยายามที่จะป้องกันหรือแก้ไขความขัดแย้งไม่ให้ที่ประชุมเอเปคกลายเป็นสนามประลองกำลังทางการเมืองของชาติสมาชิกซ้ำๆ ทุกการประชุมเช่นนี้จึงคาดการณ์ได้ว่า ในการประชุมสุดยอดผู้นำเอเปคที่จะเกิดขึ้นเดือนพฤศจิกายนนี้อาจจะเกิดปัญหา และอาจทำให้เอเปคที่ไทยเป็นเจ้าภาพล้มเหลว ไม่สามารถผลักดันให้เกิดฉันทามติในประเด็นเศรษฐกิจที่ไทยให้ความสำคัญได้
“ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกรอบความตกลงไอเพฟ หรือการประชุมเอเปคผู้นำประเทศต้องมีวิสัยทัศน์ แต่เมื่อมองไปยัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตลอด 8 ปีที่ผ่านมา ก็เห็นเป็นที่ประจักษ์แล้วว่าเป็นรัฐบาล [เผล่ะจัง] สืบทอดอำนาจ มือไม่ถึงในเรื่องเศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศ พรรคเพื่อไทยขอเรียกร้องให้รัฐบาลได้แสดงภาวะผู้นำ บริหารจัดการประชุมเอเปคกลับสู่กลไกปกติให้ได้ และทำให้ประเทศไทยได้ประโยชน์สูงสุดจากการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมครั้งนี้ เพื่อให้คุ้มกับเงินภาษีของประชาชนที่ใช้ไป การที่ไทยได้โอกาสในการเป็นประธานในการจัดเอเปค เป็นโอกาสที่จะทำให้ทั่วโลกได้เห็นถึงศักยภาพของไทยที่มีอยู่ ต้องเกิดประโยชน์กับประเทศไทยและคนไทยมากที่สุด แต่หากทำไม่ได้ก็ขอให้พิจารณาตัวเองว่าเหมาะสมจะเป็นรัฐบาลต่อหรือไม่ ทางที่ดีที่สุดหากเห็นแก่ประเทศชาติและประชาชนจริง พล.อ.ประยุทธ์ไม่ต้องรอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าดำรงตำแหน่งครบ 8 ปีหรือไม่ ควรลาออกเพื่อเปิดทางให้มีการสรรหานายกรัฐมนตรีคนใหม่ที่มีความรู้ความสามารถมาแทน” น.ส.จิราพรกล่าว
ทัศนีย์ อัด วิษณุ เลิกตะแบงทิ้งหลักกฎหมาย อุ้ม ประยุทธ์ ซัดคำชี้แจงไม่เคารพ รธน.-หลักนิติรัฐนิติธรรม
https://www.matichon.co.th/politics/news_3559561
ทัศนีย์ อัด วิษณุ เลิกตะแบงทิ้งหลักกฎหมาย อุ้ม ประยุทธ์ ซัดคำชี้แจงไม่เคารพ รธน.-หลักนิติรัฐนิติธรรม
เมื่อวันที่ 13 กันยายน น.ส.ทัศนีย์ บูรณุปกรณ์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า การที่ศาลรัฐธรรมนูญกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาวาระครบ 8 ปี ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต้องหยุดปฎิบัติหน้าที่ เป็นประเด็นที่ภาคประชาสังคมให้ความสนใจมากว่า สุดท้ายแล้วศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยออกมาเช่นไร จะให้กลับมาทำหน้าที่ต่อหรือไปแล้วไปลับ ขณะเดียวกันหนังสือชี้แจงของพล.อ.ประยุทธ์ ที่ส่งถึงศาลรัฐธรรมนูญเห็นชัดว่า ไม่ได้ให้ความสำคัญกับบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด
ทั้งนี้ การที่พล.อ.ประยุทธ์ ระบุว่า “ข้าพเจ้าจะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นระยะเวลาเท่าไร ตราบใดที่ไม่ได้ประพฤติปฏิบัติตนในลักษณะที่เป็นเหตุให้เสียหายต่อประโยชน์ของประเทศ ประโยชน์สาธารณะของประชาชน แล้วระยะเวลาการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของข้าพเจ้าก็ไม่ได้ขัดต่อหลักมาตรฐานสากล และเจตนารมณ์ของบทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญ 2560 แต่อย่างใด” การเขียนเช่นนี้คือการแสดงตัวตนอย่างชัดเจนว่าพล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้เคารพหลักการแห่งกฎหมาย และไม่ให้ความสำคัญกับบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ
น.ส.ทัศนีย์ กล่าวด้วยว่า ทั้งนี้นายมีชัย ฤชุพันธ์ อดีตประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) นายสุพจน์ ไข่มุก อดีตกรรมการกรธ. นายจรัญ ภักดีธนากุล อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ รวมถึงนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี และบรรดานักกฎหมายที่ได้ดิบได้ดีจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) แสดงออกถึงการ ออกมาอุ้มพล.อ.ประยุทธ์ชี้นำสังคม ชี้นำศาลว่า ต้องนับหลังจากรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 มีผลบังคับใช้ไม่ให้นับย้อนหลังไปจนถึงปี 2557 เพื่อตอบแทนพล.อ.ประยุทธ์อุ้มให้มีตำแหน่งทางการเมือง
“อยากถามนายวิษณุและบรรดาองครักษ์พิทักษ์ประยุทธ์ว่าหากนับเริ่มต้นปี 2560 แล้ว ในปี2557-2560 ตัวอะไรนั่งเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ ไม่เข้าใจว่านายวิษณุถึงยอมทิ้งหลักการกฎหมายอุ้มศพพล.อ.ประยุทธ์ ต่อไปเพื่ออะไร เมื่อพล.อ.ประยุทธ์ พยายามทำตัวเหนือกฎหมาย เสพติดอำนาจไม่ยอมลงจากตำแหน่ง ในสายตานายวิษณุ ยังไม่เห็นคนไทยทั้งประเทศว่ากำลังลำบากแค่ไหนหรืออย่างไร การทำลายหลักนิติรัฐ ทิ้งหลักการกฎหมายเพื่อคนเดียวมันคุ้มกันหรือไม่” น.ส.ทัศนีย์ กล่าว
ส.อ.ท.ร้องรัฐช่วย 3 เรื่องด่วน!! สกัดท่วมพื้นที่ศก. แก้ต่างด้าวขาดแคลน อุ้มค่าไฟเอสเอ็มอี
https://www.matichon.co.th/economy/news_3559821
ส.อ.ท.ร้องช่วย 3 เรื่องด่วน!! สกัดท่วมพื้นที่ศก. แก้ต่างด้าวขาดแคลน อุ้มค่าไฟเอสเอ็มอี
วันที่ 13 ก.ย. นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนสิงหาคม 2565 อยู่ที่ระดับ 90.5 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 89.0 ในเดือนกรกฎาคม โดยปรับตัวเพิ่มขึ้น ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากปัจจัยในประเทศเป็นสำคัญ ได้แก่ กิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ ที่กลับเข้าสู่ภาวะปกติ หลังจากสถานการณ์โควิด-19 ปรับตัวดีขึ้นและภาครัฐผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้การบริโภคในประเทศมีทิศทางที่ดีขึ้น สะท้อนจากความต้องสินค้าภาคอุตสาหกรรมยังคงขยายตัวต่อเนื่อง ขณะที่บรรยากาศการท่องเที่ยวมีสัญญาณที่ดีขึ้นหลังการยกเลิก Thailand Pass รวมถึงมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวผ่านโครงการเราเที่ยวด้วยกันช่วยสนับสนุนการใช้จ่ายในประเทศ
อย่างไรก็ตามยังมีปัจจัยลบจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง โดยเฉพาะเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าสำคัญอย่างสหรัฐฯ และยุโรป ที่เผชิญปัญหาเงินเฟ้อ ขณะที่สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนยังมีความไม่แน่นอน รวมทั้งปัญหาการขาดแคลนชิป ส่งผลกระทบต่อการผลิตสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้า สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และรถยนต์บางรุ่น เป็นปัจจัยลบต่อภาคการส่งออกของไทย นอกจากนี้ผู้ประกอบยังมีความกังวลเกี่ยวกับต้นทุนการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้น ทั้งจากราคาวัตถุดิบ อาทิ อาหารสัตว์ เหล็กและอลูมิเนียม ค่าไฟฟ้า รวมถึงต้นทุนด้านโลจิสติกส์ที่ทรงตัวในระดับสูง แม้ว่าในเดือนสิงหาคมต้นทุนด้านราคาน้ำมันจะปรับตัวดีขึ้นก็ตาม ตลอดจนปัญหาการขาดแคลนต่างด้าวในภาคการผลิต
จากการสำรวจผู้ประกอบการ 1,304 ราย ครอบคลุม 45 กลุ่มอุตสาหกรรมของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยในเดือนสิงหาคม 2565 พบว่า ปัจจัยที่ผู้ประกอบการมีความกังวลเพิ่มขึ้นได้แก่ สภาวะเศรษฐกิจโลก ร้อยละ 75.9 สถานการณ์การเมือง ร้อยละ 42.8 อัตราแลกเปลี่ยน (มุมมองผู้ส่งออก) โดยอัตราแลกเปลี่ยนอ้างอิงค่าเงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ร้อยละ 39.3 และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ร้อยละ 35.7 ตามลำดับ ปัจจัยที่มีความกังวล ลดลง ได้แก่ ราคาน้ำมัน ร้อยละ 77.6 เศรษฐกิจในประเทศ ร้อยละ 45.9 สถานการณ์ระบาดของโควิด-19 ร้อยละ 48.7 และ ตามลำดับ
สำหรับดัชนีฯคาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ระดับ 99.5 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 98.7 ในเดือนกรกฎาคม เนื่องจากผู้ประกอบการมองว่า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวแบบช้าๆ โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและการขยายตัวของอุปสงค์ในประเทศ รวมทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ แต่อย่างไรก็ตามผู้ประกอบการมีความกังวลเกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราจ้างขั้นต่ำ ในวันที่ 1 ตุลาคม 2565 รวมถึงการปรับขึ้นค่าไฟฟ้ารอบใหม่ในช่วงเดือนกันยายน – ธันวาคม 2565 จะส่งผลให้ต้นทุนประกอบการสูงขึ้น นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว รวมถึงความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ต่างๆ อาจส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกของไทย