สับสน ในการเลือกใช้คำแนวนี้ => เพศที่ 3, เพศทางเลือก, พวกสับสนทางเพศ, LGBQT, LGBT

หากเป็นสมัยก่อน จะใช้คำว่า...เพศที่ 3
หรือหากตั้งใจจะเลี่ยงคำๆนี้ ก็อาจจะใช้คำว่า...ไม่ใช่ ช. หรือไม่ใช่ ญ. แทน

   ต่อมาภายหลัง เริ่มพบเห็นคำว่า...เพศทางเลือก
ส่วนตัว รู้สึกไม่ชอบคำนี้เอามาก
เพราะปรกติ เราจะไม่ใช้คำว่าทางเลือก กับเรื่องแบบนี้
เพราะคำว่าทางเลือก ท่านจะหมายถึงสิ่งที่นำมาทดแทนกันได้ แบบนี้มากกว่า

   คำว่า...พวกสับสนทางเพศ หรือ พวกเพศสับสน, อันนี้ดูแรงเกิน
ฟังจะออกแนวมีอคติ ชัดเจน
สมัยก่อน ก็มีเห็นการใช้คำๆนี้กันทั่วไป แต่เดี๋ยวนี้ไม่เห็นแล้ว และไม่น่าจะมีแล้วด้วย (เพราะส่อถึงอคติชัดเจน)

สุดท้ายคือ....LGBQT, LGBT เพิ่งเห็นไม่นาน

** อ่อ เพิ่งนึกได้....นอกจากนี้ก็ยังมีคำอื่นๆที่ใช้กัน เช่น ชาวสีรุ้ง ชาวสีม่วง เก้งกวาง ผู้มีความหลากหลายทางเพศ
แก้ไขข้อความเมื่อ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 4
- ผมมองว่าการที่สังคมไทยเปลี่ยนแปลงคำเรียก "กลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ" (LGBTQ+/LGBTQIA+) ตามกาลเวลา คือการสะท้อนพัฒนาการความเข้าใจของสังคมไทยที่มีต่อกลุ่มคนหลากหลายทางเพศ จากแต่เดิมที่มีมุมมองในเชิงลบหรือมองว่าเป็นอาการหนึ่งของโรคกามวิปริต(Paraphilia) อย่างการใช้คำว่า "ลักเพศ" (ในทางพุทธศาสนามีความหมายต่างออกไป), "สับสนทางเพศ", "เบี่ยงเบนทางเพศ" ฯลฯ ต่อมาก็เริ่มมีความเป็นไปในเชิงบวกมากขึ้นหรือยอมรับว่าเพศอื่นๆไม่ใช่ความผิดปกติ แต่ความรักระหว่างคนที่มีเพศสภาพ(Gender)ตามเพศสรีระ(Sex)หรือที่เรียกว่า Cisgender และมีรสนิยมรักต่างเพศ(Heterosexual/Straight)ยังคงถูกจัดไว้เป็นมาตรฐาน อาทิการเรียก LGBTQIA+ ด้วยคำว่า "เพศที่สาม" (Third gender) และ "เพศทางเลือก" เป็นต้น

จนกระทั่งในปัจจุบันที่หันมาใช้คำว่า "ผู้มีความหลากหลายทางเพศ", "LGBT" หรือ "LGBTQ+" ฯลฯ เพราะเริ่มมีการตระหนักถึงเพศอันหลากหลายที่ไม่ได้มีแค่ เกย์(Manly Gay), กระเทย(Effeminate Gay), เลสเบี้ยน(Lesbian), ทอม(Tomboy), คนแปลงเพศหรือข้ามเพศ(Trangender) และไบ(Bisexual) อย่างที่สังคมไทยรู้จักกันมานาน แต่ยังมีเพศอื่นๆที่ไม่ได้อยู่ในนิยามข้างต้นซึ่งเรียกรวมๆ "Queer" นอกจากนี้ก็มีผู้ที่ยังไม่ต้องการระบุเพศหรือกำลังค้นหาตัวเอง(Questioning), ผู้ที่เกิดมาพร้อมภาวะเพศกำกวม(Intersex), ผู้ที่ไม่ฝักใจทางเพศ(Asexual), ไม่สนเพศ(Pansexual), ชอบเพศเดียว(Monosexual) และชอบเพศหลากหลาย(Polysexual) เป็นต้น ไปจนถึงการมีอัตลักษณ์ทางเพศ(Gender Identity)แบบ Non-Binary หรือมองว่าเพศของตนไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของความเป็นชาย(Masculinity)และความเป็นหญิง(Femininity)

ดังนั้นหากต้องการเลือกใช้คำเรียกรวมๆสำหรับกลุ่มคนเพศต่างๆที่ไม่ใช่ Straight Cisgender โดยให้ความสำคัญเท่าๆกัน คำว่า "ผู้มีความหลากหลายทางเพศ", "LGBTQ+" และ "LGBTQIA+" จึงตอบโจทย์สำหรับผม

- คำเรียกที่ว่า "ชาวสีรุ้ง" มีที่มาจากสีบนธง LGBT Pride ซึ่งเป็นแถบสีที่ต่างกัน 6 สี เรียงขนานกันในแนวนอน อันเป็นสัญลักษณ์แทนผู้มีความหลากหลายทางเพศ ออกแบบโดยศิลปินชาวอเมริกันนาม Gilbert Baker และเริ่มใช้เป็นสัญลักษณ์ของกลุ่ม "GLBT" (Gay Lesbian Bisexual and Transgender Movement)ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1978 ภายหลังยังมีงานออกแบบธงใหม่ๆทั้งของ Baker และศิลปินรายอื่นออกมาอยู่เรื่อยๆ ส่วนคำว่า "ชาวสีม่วง" มาจากสีหนึ่งบน LGBT Pride flag ที่กลุ่ม GLBT นิยมนำมาใช้ในการเคลื่อนไหวช่วงยุค 1980 ซึ่งสีม่วงแบบ Violet ถูกกำหนดให้เป็นสัญลักษณ์แทน "จิตวิญญาณ" (Spirit) ของกลุ่ม GLBT ขณะที่ "เก้งกวาง" เป็นคำเรียกเกย์และกระเทยที่ไม่แต่งหญิงโดยเฉพาะ แต่ที่มาที่ไปไม่ชัดเจน บ้างอ้างอิงกิริยาท่าทางของเก้งและกวาง บ้างบอกว่าเป็นการล้อกับการที่เกย์ไทยเรียกผู้หญิงว่า "ชะนี"

- ครั้งหนึ่งเคยมีกรณีคู่รักวัยรุ่นชาวอเมริกันระหว่างหญิงข้ามเพศ(Trans woman)นามว่า Katie Hill และชายข้ามเพศ(Trans man)ที่ชื่อ Arin Andrews ซึ่งโด่งดังบนโลกอินเตอร์เน็ตเมื่อประมาณ 10 ปีก่อน ที่จบลงด้วยการเลิกกัน และภายหลัง Arin ก็หันมาคบกับผู้ชาย นอกจากนี้ยังมีกรณีของ Ellie และ Nele คู่รักชายข้ามเพศชาวเบลเยี่ยมกับเยอรมัน ที่ต่างคนตัดสินใจแปลงเพศกลับเป็นหญิง ฉะนั้นผมจึงมองว่าเพศสรีระ, เพศสภาพ และรสนิยมทางเพศ(Sexual Orientation)เป็นสิ่งที่สามารถ "เลือก" ได้ เพียงแต่ต้องเป็นการเลือกด้วยตนเองโดยไม่ถูกแทรกแซงจากโครงสร้างทางสังคม อย่างไรก็ตามเหตุผลส่วนตัวที่ไม่สนับสนุนการใช้คำว่า "เพศทางเลือก" เพราะฟังดูเป็นการยกย่องความรักระหว่าง Straight Cisgender ให้เป็น "ทางหลัก" และผลักให้ LGBTQIA+ เป็น "ทางเลือก"
อ้างอิง:
https://www.dailymail.co.uk/news/article-2230658/The-sex-change-sweethearts-How-pageant-princess-colonels-son-fell-love-BOTH-transgender-treatment.html
https://www.bbc.com/thai/international-51835006

- การใช้คำว่า "คนผิวสี" (Person of color, POC) ในสหรัฐอเมริกาสามารถย้อนกลับไปได้ถึงปี ค.ศ. 1796 โดยแรกเริ่มถูกให้ความหมายถึง คนที่มีผิวสีอ่อน(แต่ไม่ขาว)ซึ่งเกิดจากการมีบรรพบุรุษเป็นชาวแอฟริกันและยุโรป จนกระทั่งหลังสงครามกลางเมือง(American Civil War)จึงมีการเรียกชาวอเมริกันผิวดำส่วนใหญ่ว่า "Coloured" ซึ่งปัจจุบันคำดังกล่าวยังคงถูกใช้เรียกกลุ่มพหุเชื้อชาติ(Multiracial)ในประเทศแอฟริกาใต้ด้วย พอมาถึงช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 20 ก็มีการให้ความหมายของ POC ว่า "ผู้ที่ไม่ใช่คนขาว" (Non-White) กล่าวคือชาวอเมริกันทุกเชื้อชาติที่ไม่ได้มีพื้นเพเป็นชาวยุโรปหรือมีผิวขาว ไม่ว่าจะเป็นชนพื้นเมืองอเมริกา, ชาวเกาะแปซิฟิก, ชาวเอเชีย, ชาวตะวันออกกลาง และกลุ่มพหุเชื้อชาติ เป็นต้น ไม่ใช่แค่เฉพาะ African American ดังนั้นในแง่หนึ่งการเรียกร้องให้เลิกใช้คำว่า POC จึงเป็นการบ่อนทำลายความเข้มแข็งของ White supremacy หรือการยกย่องคนขาวให้เหนือกว่าคนผิวสีอื่นซึ่งเป็นมรดกของยุคล่าอาณานิคม ส่วน "Black" กับ "African American" ถือว่ายอมรับได้โดยทั่วไปครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่