คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 3
1) ขายให้ใคร? ที่ไหน? กลุ่มเป้าหมายคือใคร ดีมานด์มีมากพอไม๊? (บางครั้งมีคนซื้อ แต่ยอดขายไม่มากพอ)
ทำเลจะบอกกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งต้องเป็นเป้าหมายหลัก เช่น ข้างรั้วโรงเรียน ก็ต้องขายนักเรียนเป็นหลัก หน้าโรงงาน ก็พนักงานในนั้น
2) ขายไม่ได้ทำอย่างไร? ของเหลือจัดการอย่างไร? มีแผนรับมือหรือไม่ เช่น ย้ายทำเล หรือต้องสร้างฐานลูกค้า ถ้าต้องยืนระยะ 3-6 เดือน ไหวไม๊ (ตอนผมเริ่มขายเดือนแรก ได้ หมื่นกว่าบาท ปัจจุบันเดือนละแสน)
ถ้าทำเลดี แต่คนยังไม่รู้จัก ไม่กล้าลอง ต้องใช้เวลา
3) ทำไมคนต้องซื้อของเรา? ถูกกว่า คุณภาพดีกว่า อร่อยกว่า? บอกได้ไหม ถ้าตอบไม่ได้ก็ลำบาก เพราะลูกค้าซื้อใครก็ได้ไม่ต่างกัน
ถ้ามีจุดเด่นแล้วต้องเชื่อมั่น เล่าให้ลูกค้าฟังได้ว่าของเราดีอย่างไร ต่างจากคนอื่นอย่างไร
ถ้าจะให้ระวังคือ เริ่มเล็กๆ ก่อน ค่อยๆ ขยาย
ทำเลจะบอกกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งต้องเป็นเป้าหมายหลัก เช่น ข้างรั้วโรงเรียน ก็ต้องขายนักเรียนเป็นหลัก หน้าโรงงาน ก็พนักงานในนั้น
2) ขายไม่ได้ทำอย่างไร? ของเหลือจัดการอย่างไร? มีแผนรับมือหรือไม่ เช่น ย้ายทำเล หรือต้องสร้างฐานลูกค้า ถ้าต้องยืนระยะ 3-6 เดือน ไหวไม๊ (ตอนผมเริ่มขายเดือนแรก ได้ หมื่นกว่าบาท ปัจจุบันเดือนละแสน)
ถ้าทำเลดี แต่คนยังไม่รู้จัก ไม่กล้าลอง ต้องใช้เวลา
3) ทำไมคนต้องซื้อของเรา? ถูกกว่า คุณภาพดีกว่า อร่อยกว่า? บอกได้ไหม ถ้าตอบไม่ได้ก็ลำบาก เพราะลูกค้าซื้อใครก็ได้ไม่ต่างกัน
ถ้ามีจุดเด่นแล้วต้องเชื่อมั่น เล่าให้ลูกค้าฟังได้ว่าของเราดีอย่างไร ต่างจากคนอื่นอย่างไร
ถ้าจะให้ระวังคือ เริ่มเล็กๆ ก่อน ค่อยๆ ขยาย
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 9
ผมออกจากงานประจำมาเป็นพ่อค้า 6ปีแล้วครับ
มีเจ๊งก็หลายครั้ง ผมพอจะแชร์ให้ฟังได้บ้างครับ เผื่อจะเป็นประโยชน์สักเล็กน้อย
ต้องขอโทษล่วงหน้าด้วยนะครับ เวลาผมน้อยแค่แวะมาเปิดดูกระทู้นิดหน่อย
เริ่ม...
1.อันดับแรก เลือกสินค้าที่คุณจะขาย
ในที่นี้ คุณเล็งไว้แล้ว 3ตัวเลือก ไปเลือกฟันธงมาสักตัวหนึ่งก่อนครับ
2. พัฒนาสูตรของคุณให้อร่อย คำว่าอร่อยในที่นี้ ไม่ใช่อร่อยของคุณ แต่ต้องอร่อยของผู้คน ฉะนั้น
จะนั่งมโนว่าของตัวเองอร่อยไม่ได้เลยครับ เมื่อคุณเทสสูตรแล้ว ลองทำแจกเพื่อนๆที่ทำงานก่อน หรือแจกเพื่อนบ้าน
หรือช่วยกันปรึกษาลงความเห็นกันในครอบครัว ญาติก็ได้ครับ พ่อแม่
แต่ถ้าคุณมีพื้นฐานการกินในรสชาติที่เป็นมาตรฐานของบุคคลทั่วไป ไม่รสชาติโดด หรือหนักมากผิดปกติ คุณก็สามารถตั้งสูตรเทสได้เองครับ
หรือถ้าคุณมีสกิลการทำอาหารอยู่แล้ว เรื่องนี้ก็คงไม่น่าหนักใจ
3.คุณภาพสินค้าของคุณต้องอยู่ในมาตรฐานที่ "ดี" เสมอกันทุกวัน จะผีเข้าผีออกไม่ได้ครับ ลูกค้ากินวันไหนรสชาติคุณภาพของอาหารต้องได้เหมือนหรือใกล้เคียงกันทุกครั้ง
4. ได้อาหารได้สูตรที่ลงตัวแล้ว ก็ไปหาทำเลครับ คุณจะตั้งโต๊ะขายข้างทางตอนเช้า ลงตลาดนัดตอนเย็นก็ว่าไป
แต่สิ่งสำคัญคือ คุณต้องลองเพราะคุณจะไม่รู้เลยว่า ทำเลที่คุณไปจะขายดีหรือไม่ บางตลาด ขายดีบางตลาดขายไม่ดีหรือไม่ได้ขายเลยก็มี
ขึ้นอยู่กับสินค้าว่า คนระวกนั้นต้องการสินค้าของคุณหรือไม่ ในที่นี้เราจะไม่รู้เลยครับ คุณต้องลงไปลองขาย
แต่มีคร่าวๆอยู่นะ เช่นคุณขายของในถิ่นอิสลาม คุณจะไปขายหมูย่างมันก็ไม่ใช่เรื่อง
แต่เปอร์เซ็นที่จะช่วยให้คุณขายของได้ ขอให้คุณดูปริมาณของผู้คนในย่านนั้นครับ ว่าเยอะมากน้อยแค่ไหน มีกลุ่มคนแบบไหน
5.ความสะอาด และหน้าตาร้านเป็นสิ่งสำคัญ คุณคงไม่ซื้อของที่ร้านดูสกปรก รกรุงรัง ใช่มั้ยครับพยายามจัดของให้เป็นระเบียบและสะอาด
แม้ว่ามันจะอยู่บนรถเข็น หรือโต๊ะพับข้างทางก็ตาม
6.ในเรื่องของต้นทุนกำไร คุณต้องชั่งน้ำหนักของวัตถุดิบคุณทุกอย่าง แล้วนำมาคิดต้นทุนครับ
อย่ากะ ประมาณเอา เพราะต้นทุนมันจะรั่วตรงนี้แหละครับ
เมื่อได้ราคาต้นทุนแล้ว สมมุติคุณเสียบหมูย่าง ในราคาไม้ละ10บาท คุณก็ตั้งสูตรเทสขึ้นมา อาจจะใช้ หมู2กิโลกรัม แล้วลองเสียบดูก่อนครับ
ดูปริมาณว่าได้กี่ไม้ จะปรับจัดแต่งยังไง หักลบต้นทุนแล้วได้กำไรเท่าไหร่
ของเทสไม่ต้องกลัวเสียหาย เทสเสร็จคุณก็เอาไปตากแดดเดียวไว้ทอดกินครับ
เพื่อการทำงานที่มีประสิทธิภาพ คุณจำเป็นต้องทดสอบก่อนออกสนามจริงทุกกระบวนการครับ
ไม่อย่างนั้น ถ้าเสียบแบบวัดใจเอา เสียบตามใจฉัน คุณอาจขาดทุนเข้าเนื้อได้เพราะเสียบหมูเยอะเกินไป
7.คุณไม่ต้องกลัวเรื่องราคาว่าจะสู้คู่แข่งไม่ได้ สินค้าคุณภาพก็ตามราคา
ผมขายของผมไม่เคยตัดราคาคู่แข่ง มีแต่เพิ่มราคาตัวเอง ลูกค้าที่เชื่อมั่นในคุณภาพสินค้าของเรา เขาก็จะซื้อเราเหมือนเดิมครับ
แต่ไม่ได้หมายความว่า สินค้าของคุณจะแพงกระโดดเกินไปนัก อย่างสินค้าคุณราคา 25 บาท ของคู่แข่งราคา20บาท
ลูกค้าที่สมัครใจซื้อที่ 20 บาทก็มีครับ ก็ปล่อยเขาไป เขาพอใจสินค้าเกรดนั้น
แต่คุณอย่าใช้วิธีการหั่นราคาลงเพื่อบีบคู่แข่ง วิธีการนี้ สายป่านใครยาวกว่าก็รอด แต่ใช้ไม่ได้เสมอไป ถ้าหากว่า
เจ้าตลาดที่ขายมาก่อนเราสินค้าเขาดีกว่าเรามาก ซึ่งผมเจอคู่แข่งที่ใช้วิธีนี้บีบประจำ
ลูกค้าจะแห่ไปซื้อร้านนั้นอยู่ 2-3 วัน สุดท้ายลูกค้าก็จะกลับมาบ่นให้ฟังแล้วก็ซื้อของผมกินเหมือนเดิม
แต่ถ้าเจอคู่แข่งที่รสชาติ และคุณภาพทันเทียมกัน ก็น่าหนักใจอยู่ ก็จำเป็นต้องมีกลยุทธเข้าสู้บ้างครับ มีแถมบ้าง มีสินค้าตัวใหม่ให้ลองบ้างก็ว่ากันไป
8. วัตถุดิบ และเครื่องปรุงแต่ละยี่ห้อ แต่ละชนิด ไม่เหมือนกัน ทั้งรสชาติและความคุณภาพ
ยกตัวอย่าง ซอสถั่วเหลือ/น้ำปลา 10 ยี้ห้อ รสชาติไม่เหมือนกันสักยี้ห้อ
ฉะนั้น คุณอย่าทำอะไรนอกสูตรที่ตั้งไว้นะครับ ไม่งั้นรสชาติอาหารของคุณจะเพี้ยน อย่างดีก็เล็กน้อย
อย่างมากก็เพี้ยนหนักเลยก็มี ซึ่งผมเคยแล้วกว่าจะรู้ตัวก็แทบเจ๊ง เพราะด้วยความที่ทำตามสูตร แต่ไม่ตามวัตถุดิบยี้ห้อเดิม
สูตรก็จะผิด รสชาติก็จะเพี้ยน การทำอาหาร รายละเอียดเล็กน้อยเป็นสิ่งสำคัญมากครับ
9.ทำบัญชีให้ดีครับ ส่วนเรื่องการทำตลาดอื่นๆ ก็ไปศึกษาเพิ่มเติมเอาครับ
อ่อ อยากจะเตือนไว้ครับ ทำครั้งแรก เริ่มเล็กๆก่อน สัก1สัปดาห์ เป็นการชิมลาง แล้วค่อยขยายครับ
อย่าใช้วิธีมาใหญ่ ตัวใหญ่ล้มดังครับ แล้วก็เจ็บตัวเยอะด้วย ถ้ามันเจ๊ง
มีเจ๊งก็หลายครั้ง ผมพอจะแชร์ให้ฟังได้บ้างครับ เผื่อจะเป็นประโยชน์สักเล็กน้อย
ต้องขอโทษล่วงหน้าด้วยนะครับ เวลาผมน้อยแค่แวะมาเปิดดูกระทู้นิดหน่อย
เริ่ม...
1.อันดับแรก เลือกสินค้าที่คุณจะขาย
ในที่นี้ คุณเล็งไว้แล้ว 3ตัวเลือก ไปเลือกฟันธงมาสักตัวหนึ่งก่อนครับ
2. พัฒนาสูตรของคุณให้อร่อย คำว่าอร่อยในที่นี้ ไม่ใช่อร่อยของคุณ แต่ต้องอร่อยของผู้คน ฉะนั้น
จะนั่งมโนว่าของตัวเองอร่อยไม่ได้เลยครับ เมื่อคุณเทสสูตรแล้ว ลองทำแจกเพื่อนๆที่ทำงานก่อน หรือแจกเพื่อนบ้าน
หรือช่วยกันปรึกษาลงความเห็นกันในครอบครัว ญาติก็ได้ครับ พ่อแม่
แต่ถ้าคุณมีพื้นฐานการกินในรสชาติที่เป็นมาตรฐานของบุคคลทั่วไป ไม่รสชาติโดด หรือหนักมากผิดปกติ คุณก็สามารถตั้งสูตรเทสได้เองครับ
หรือถ้าคุณมีสกิลการทำอาหารอยู่แล้ว เรื่องนี้ก็คงไม่น่าหนักใจ
3.คุณภาพสินค้าของคุณต้องอยู่ในมาตรฐานที่ "ดี" เสมอกันทุกวัน จะผีเข้าผีออกไม่ได้ครับ ลูกค้ากินวันไหนรสชาติคุณภาพของอาหารต้องได้เหมือนหรือใกล้เคียงกันทุกครั้ง
4. ได้อาหารได้สูตรที่ลงตัวแล้ว ก็ไปหาทำเลครับ คุณจะตั้งโต๊ะขายข้างทางตอนเช้า ลงตลาดนัดตอนเย็นก็ว่าไป
แต่สิ่งสำคัญคือ คุณต้องลองเพราะคุณจะไม่รู้เลยว่า ทำเลที่คุณไปจะขายดีหรือไม่ บางตลาด ขายดีบางตลาดขายไม่ดีหรือไม่ได้ขายเลยก็มี
ขึ้นอยู่กับสินค้าว่า คนระวกนั้นต้องการสินค้าของคุณหรือไม่ ในที่นี้เราจะไม่รู้เลยครับ คุณต้องลงไปลองขาย
แต่มีคร่าวๆอยู่นะ เช่นคุณขายของในถิ่นอิสลาม คุณจะไปขายหมูย่างมันก็ไม่ใช่เรื่อง
แต่เปอร์เซ็นที่จะช่วยให้คุณขายของได้ ขอให้คุณดูปริมาณของผู้คนในย่านนั้นครับ ว่าเยอะมากน้อยแค่ไหน มีกลุ่มคนแบบไหน
5.ความสะอาด และหน้าตาร้านเป็นสิ่งสำคัญ คุณคงไม่ซื้อของที่ร้านดูสกปรก รกรุงรัง ใช่มั้ยครับพยายามจัดของให้เป็นระเบียบและสะอาด
แม้ว่ามันจะอยู่บนรถเข็น หรือโต๊ะพับข้างทางก็ตาม
6.ในเรื่องของต้นทุนกำไร คุณต้องชั่งน้ำหนักของวัตถุดิบคุณทุกอย่าง แล้วนำมาคิดต้นทุนครับ
อย่ากะ ประมาณเอา เพราะต้นทุนมันจะรั่วตรงนี้แหละครับ
เมื่อได้ราคาต้นทุนแล้ว สมมุติคุณเสียบหมูย่าง ในราคาไม้ละ10บาท คุณก็ตั้งสูตรเทสขึ้นมา อาจจะใช้ หมู2กิโลกรัม แล้วลองเสียบดูก่อนครับ
ดูปริมาณว่าได้กี่ไม้ จะปรับจัดแต่งยังไง หักลบต้นทุนแล้วได้กำไรเท่าไหร่
ของเทสไม่ต้องกลัวเสียหาย เทสเสร็จคุณก็เอาไปตากแดดเดียวไว้ทอดกินครับ
เพื่อการทำงานที่มีประสิทธิภาพ คุณจำเป็นต้องทดสอบก่อนออกสนามจริงทุกกระบวนการครับ
ไม่อย่างนั้น ถ้าเสียบแบบวัดใจเอา เสียบตามใจฉัน คุณอาจขาดทุนเข้าเนื้อได้เพราะเสียบหมูเยอะเกินไป
7.คุณไม่ต้องกลัวเรื่องราคาว่าจะสู้คู่แข่งไม่ได้ สินค้าคุณภาพก็ตามราคา
ผมขายของผมไม่เคยตัดราคาคู่แข่ง มีแต่เพิ่มราคาตัวเอง ลูกค้าที่เชื่อมั่นในคุณภาพสินค้าของเรา เขาก็จะซื้อเราเหมือนเดิมครับ
แต่ไม่ได้หมายความว่า สินค้าของคุณจะแพงกระโดดเกินไปนัก อย่างสินค้าคุณราคา 25 บาท ของคู่แข่งราคา20บาท
ลูกค้าที่สมัครใจซื้อที่ 20 บาทก็มีครับ ก็ปล่อยเขาไป เขาพอใจสินค้าเกรดนั้น
แต่คุณอย่าใช้วิธีการหั่นราคาลงเพื่อบีบคู่แข่ง วิธีการนี้ สายป่านใครยาวกว่าก็รอด แต่ใช้ไม่ได้เสมอไป ถ้าหากว่า
เจ้าตลาดที่ขายมาก่อนเราสินค้าเขาดีกว่าเรามาก ซึ่งผมเจอคู่แข่งที่ใช้วิธีนี้บีบประจำ
ลูกค้าจะแห่ไปซื้อร้านนั้นอยู่ 2-3 วัน สุดท้ายลูกค้าก็จะกลับมาบ่นให้ฟังแล้วก็ซื้อของผมกินเหมือนเดิม
แต่ถ้าเจอคู่แข่งที่รสชาติ และคุณภาพทันเทียมกัน ก็น่าหนักใจอยู่ ก็จำเป็นต้องมีกลยุทธเข้าสู้บ้างครับ มีแถมบ้าง มีสินค้าตัวใหม่ให้ลองบ้างก็ว่ากันไป
8. วัตถุดิบ และเครื่องปรุงแต่ละยี่ห้อ แต่ละชนิด ไม่เหมือนกัน ทั้งรสชาติและความคุณภาพ
ยกตัวอย่าง ซอสถั่วเหลือ/น้ำปลา 10 ยี้ห้อ รสชาติไม่เหมือนกันสักยี้ห้อ
ฉะนั้น คุณอย่าทำอะไรนอกสูตรที่ตั้งไว้นะครับ ไม่งั้นรสชาติอาหารของคุณจะเพี้ยน อย่างดีก็เล็กน้อย
อย่างมากก็เพี้ยนหนักเลยก็มี ซึ่งผมเคยแล้วกว่าจะรู้ตัวก็แทบเจ๊ง เพราะด้วยความที่ทำตามสูตร แต่ไม่ตามวัตถุดิบยี้ห้อเดิม
สูตรก็จะผิด รสชาติก็จะเพี้ยน การทำอาหาร รายละเอียดเล็กน้อยเป็นสิ่งสำคัญมากครับ
9.ทำบัญชีให้ดีครับ ส่วนเรื่องการทำตลาดอื่นๆ ก็ไปศึกษาเพิ่มเติมเอาครับ
อ่อ อยากจะเตือนไว้ครับ ทำครั้งแรก เริ่มเล็กๆก่อน สัก1สัปดาห์ เป็นการชิมลาง แล้วค่อยขยายครับ
อย่าใช้วิธีมาใหญ่ ตัวใหญ่ล้มดังครับ แล้วก็เจ็บตัวเยอะด้วย ถ้ามันเจ๊ง
แสดงความคิดเห็น
อยากค้าขายในช่วงภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ อยากให้ช่วยกันแชร์ประสบการณ์ขายของแล้วเจ๊ง เจ๊งเพราะอะไร และแก้ไขกลับมาได้เพราะอะไร