[รีวิว] One Piece Film RED: รสชาติใหม่ของอนิเมะสายโชเน็นในรูปแบบของหนังเพลงที่ชวนหลงใหล

สารภาพตามตรงว่า ด้วยความที่ไม่ใช่แฟนวันพีช แค่เคยเห็นเคยดูผ่านๆ ตามาบ้าง รู้จักตัวละครในเรื่องนิดหน่อย ไม่เคยคิดตั้งใจจะดูจริงๆ จังๆ เลยสักที (อาจจะรอให้จบก่อน) ก็เลยทำให้ไม่มีความสนใจในเดอะมูฟวี่ของวันพีชสักเท่าไหร่ แต่ด้วยความที่ช่วงนี้ก็ไม่มีภาพยนตร์ที่น่าสนใจเข้าฉาย วันพีชฟิล์มเรด เลยกลายเป็นตัวเลือกกึ่งบังคับที่ไปดูแบบไม่มีความคาดหวังอะไรทั้งสิ้น

เมื่อกลุ่มโจรสลัดหมวกฟางได้ล่องเรือมาที่เกาะเอเลเจีย ซึ่งเป็นเกาะที่ใช้จัดคอนเสิร์ตของ "อุตะ" นักร้องสาวที่กำลังโด่งดัง และเป็นเพื่อนสมัยเด็กของลูฟี่ อีกทั้งยังมีความสัมพันธ์เป็นลูกสาวของ "แชงค์ส" หนึ่งในสี่จักรพรรดิที่ปกครองนิวเวิลด์ หรือที่มีฉายาว่า "ผมแดง" ผู้เป็นคนมอบหมวกฟางให้กับลูฟี่ ดูเหมือนทุกอย่างจะเป็นปกติ จนกระทั่งทุกคนได้รู้ถึงความจริงของคอนเสิร์ตนี้ และแผนการบางอย่างที่อุตะตั้งใจจะทำเพื่อเหตุผลบางอย่าง รวมถึงอดึตที่คลุมเครือของอุตะ ทั้งหมดนี้จะเกี่ยวข้องกันอย่างไร ลูฟี่จะหยุดยั้งแผนการของอุตะได้หรือไม่ เสียงเพลงของอุตะจะช่วยทุกคนได้หรือเปล่านะ

ก็นับว่าเป็นเรื่องแปลกเหมือนกันที่ One Piece Film RED ซึ่งปกติเป็นอนิเมะสายโชเน็น (Shonen) หรืออนิเมะที่เน้นการต่อสู้ของตัวละครโดยการใช้พลังเข้าห้ำหั่นกันอย่างดุเดือด จะถูกเล่าออกมาในรูปแบบของหนังเพลง (Musical) นั่นอาจจะเป็นเพราะพลังของตัวละคร "อุตะ" ที่เป็นตัวเอกของภาคนี้ ที่ต้องใช้พลังพิเศษผ่านการร้องเพลง อันที่จริงก็ไม่อาจทราบได้ว่าต้นทางที่แท้จริงระหว่าง "การสร้างตัวละครอุตะให้มีพลังในการร้องเพลงจึงเป็นเหตุให้ต้องมีการใส่เพลงเข้ามาในเรื่อง" หรือ "ต้องการจะสร้างความแตกต่างและขายเพลงอยู่แล้วจึงสร้างให้ตัวละครอุตะมีเสียงเพลงเป็นพลังพิเศษ" อย่างไหนเป็นความคิดเริ่มแรกกันแน่

แต่ไม่ว่าจะแบบไหนผลที่ออกมาก็น่าจะถูกใจคนที่ชอบสายมิวสิคัลแน่นอน เพราะ One Piece Film RED (The Musical) ภาคนี้ใช้เพลงในการเล่าเรื่องและแสดงอารมณ์ ความรู้สึก และสถานการณ์ของตัวละคร เรียกว่า เพลงเป็นส่วนหนึ่งของเนื้อเรื่องนั่นแหละ เปรียบเทียบง่ายๆ กับอนิเมชั่นฝั่งตะวันตกอย่างเจ้าหญิงดิสนี่ย์ อาทิ Frozen(2013) หรือ Tangled(2010) ที่บทเพลงในเรื่องมีการบอกเล่าถึงเนื้อเรื่อง อารมณ์ความรู้สึกของตัวละครเช่นกัน หรือในฝั่งญี่ปุ่นเองก็ชวนให้นึกถึงซีรี่ย์ Macross ที่เป็นแนวแอคชั่น หุ่นรบ แต่มีการร้องเพลงในเรื่องด้วย

ในส่วนของเนื้อเรื่องก็ถือได้ว่าเป็นมิตรกับผู้ชมหน้าใหม่ไม่น้อยเลย เพราะตัวเรื่องดูเหมือนเป็นเนื้อเรื่องเสริมที่ไม่เกี่ยวข้องกับภาคหลัก(หรืออาจจะเกี่ยวแต่ไม่ถึงขั้นต้องดูภาคหลักก่อนแล้วถึงจะดูรู้เรื่อง) ซึ่งเป็นวิธีที่เดอะมูฟวี่จากอนิเมะหลายๆ เรื่องชอบทำกัน เช่น โคนัน ดราก้อนบอล ก็เพื่อดึงแฟนกลุ่มใหม่ๆ และก็ทำให้แฟนคลับประจำอยู่แล้วสนุกไปด้วยกันได้ โดยตัวเรื่องจะโฟกัสไปที่ตัวละครหลักของภาคนี้อย่าง อุตะ แชงค์ส และก็ลูฟี่ ส่วนตัวละครสมทบอื่นๆ ก็มีบทบ้างตามความเหมาะสม แน่นอนว่าสำหรับคนที่เพิ่งเคยชมวันพีชเป็นครั้งแรก เรื่องราวของสามคนนี้ที่ถูกเล่าในเรื่องก็นับว่า รู้เรื่อง เต็มอิ่ม แล้วก็เข้าใจได้ (อาจจะไปดูอนิเมะตอนที่ย้อนอดีตเพิ่มด้วยก็ได้)

แต่ก็ใช่ว่าจะมีแค่เรื่องของสามคนนี้อย่างเดียวแค่นั้น ตัวละครอื่นๆ ก็ยังมีบทบาทสำคัญ โดยเฉพาะช่วงท้ายที่ต้องใช้พลังมิตรภาพตามแบบฉบับอนิเมะโชเน็น จัดการบอสตัวสุดท้ายก็เรียกว่าเล่นใหญ่มาก งานภาพดูมีความโด่ดเด่น สะใจ จัดเต็ม รีดอะดรีนาลีนออกมาอย่างพลุ่งพล่าน อะไรที่แฟนวันพีชอยากเห็นก็น่าจะได้เห็นกันตรงนี้ น่าจะเป็นการชดเชยที่เกือบทั้งเรื่องที่เน้นบทเพลงจนก็รู้สึกว่าฉากแอคชั่นน้อยไปหน่อยหละนะ

คาแรคเตอร์ตัวละคร "อุตะ" กับเนื้อเรื่องที่น่าจะเรียกว่าหมุนรอบตัวละครนี้เลย ซึ่งตัวละครนี้ถูกออกแบบมาได้ดี มีเสน่ห์มาก เสื้อผ้าหน้าผม มีความน่ารัก สดใส โดยเฉพาะผมปิดตาข้างหนึ่งนี่มันดูลึกลับแล้วก็เดาทางไม่ค่อยได้จริงๆ ในส่วนของบุคลิกนิสัยจะบอกว่า อุตะเป็นตัวละครที่คล้ายกับเจ้าหญิงดิสนี่ย์ ยุคหลังๆ คือ มีความเข้มแข็ง มีอุดมการณ์แน่วแน่ แต่ก็มีอารมณ์อ่อนไหว ทำนองนั้น และตัวอุตะก็เป็นเหมือนภาพสะท้อนสังคมไอดอล การใช้โซเชียลมีเดียในปัจจุบัน ที่รู้สึกน่าเห็นใจกับสิ่งที่ตัวเธอต้องเผชิญอยู่(รวมถึงอดีตอันแสนเจ็บปวด) เอาจริงแม้ประเด็นนี้ตัวหนังอาจจะไม่ได้ลงลึก แต่ก็มีกลิ่นอายการวิพากย์สังคมเบาๆ ในแบบที่ อ.โอดะ ชอบใช้นั่นเอง

ในเมื่อมาฉายที่เมืองไทยเหมือนเป็นธรรมเนียมอะไรบางอย่าง ที่เราต้องพูดถึงเสียงพากย์ไทย เพราะว่า อนิเมะดังๆ เหล่านี้ล้วนแต่มีเสียงพากย์ไทยที่คุ้นหู ซึ่ง One Piece The Movie ที่ผ่านมามีการเพิ่มเอกลักษณ์ของตัวเอง โดยการนำเอานักพากย์ หรืออินฟูเอนเซอร์ (Influencer)ต่างๆ มาให้เสียงตัวละครในเรื่อง ซึ่งก็โดนวิพากย์วิจารณ์ออกไปทางแง่ลบซะเป็นส่วนใหญ่ แต่ยอมรับว่าในครั้งนี้กลับทำออกมาได้ดี พวกตัวละครหลักอันนี้ไม่ต้องบรรยายสรรพคุณ เพราะว่าก็เป็นนักพากย์อาชีพกันอยู่แล้ว ทั้งเสียงลูฟี่ของน้าจูน เสียงนามิของน้าเปียก รวมทั้งการที่น้าตุ๊ก อรุณี กลับมาให้เสียงช็อปเปอร์กับโรบินอีกครั้งก็สร้างความประทับใจได้ไม่น้อย ส่วนตัวละครประกอบอื่นๆ ที่ไปดึงคนอื่นๆ มาพากย์ทั้งนักพากย์สมัครเล่นหรือคนในวงการต่างๆ (เห็นว่ารวมๆ แล้วกว่า 70 คน) ที่ทำได้ดีขึ้นกว่าก่อนหน้านี้ พูดอีกอย่าง คือไม่มีเสียงตัวละครที่หลุดๆ ฟังแล้วน่าขัดใจ เหมือนที่ผ่านมา

ส่วนเสียงพากย์ที่น่าพูดถึงที่สุด คือ เสียงของตัวละครเอกอย่าง อุตะ สารภาพตามตรงว่า ตอนดูไม่ได้รู้มาก่อนว่าเจ้าของเสียงพากย์ไทยคนนี้เป็นใคร ตอนฟังก็รู้สึกแหละว่า เสียงไม่ได้ช้ำแบบนักพากย์อาชีพ แต่ก็ไม่ได้ลอยจนหงุดหงิดใจ จนต้องใช้คำว่าทนฟัง ถ้าเป็นแบบนั้น การดูพากย์ไทยจะต้องเป็นฝันร้ายแน่ๆ เพราะตัวละครนี้มีบทบาทอยู่ตลอดทั้งเรื่อง มากกว่าตัวละครไหนๆ ทั้งหมดในเรื่อง ซึ่งพอมาหาข้อมูลดู ถึงได้รู้ว่า อ๋อ ที่แท้เจ้าของเสียงพากย์ คือ ยูทูปเบอร์ชื่อดัง คุณแป้ง Zbing Z นั่นเอง พอได้รู้ก็รู้สึกชื่นชมนะ เพราะว่าบทอุตะมีการแสดงอารมณ์ที่หลากหลายแล้วก็รุนแรง ถ้าไม่ได้เป็นนักพากย์มืออาชีพก็นับว่าเป็นงานที่โหดหินไม่น้อย แต่พอผลงานที่ออกมา ไม่ทำให้คนดูหงุดหงิดใจ จนรำคาญ แล้วก็ถ่ายทอดตัวละครนี้ออกมาได้แบบที่ควรจะเป็น ก็ต้องบอกว่าคุณแป้ง สอบผ่านฉลุยกับบทอุตะแล้วแหละ แล้วพอนำไปเทียบกับเสียงต้นฉบับภาษาญี่ปุ่น ที่ให้เสียงพากย์โดย นักพากย์ชื่อดังอย่าง Nazuka Kaori ที่ใส่ความห้าวๆ กวนๆ แบบเด็กผู้ชาย บางช่วงก็มีเสียงแหบแตกๆ ซึ่งเสียงของคุณแป้งก็ให้อารมณ์แบบที่ว่านี้ได้ใกล้เคียงต้นฉบับจนน่าตกใจเหมือนกัน

อีกคนที่เซอร์ไพร์สนั่นก็คือ เสียงพากย์ของ กอร์ดอน ชายผู้ดูแลอุตะตั้งแต่เด็กจนโต จะบอกว่าตัวละครนี้ก็มีการแสดงบทบาททางอารมณ์อยู่เยอะเหมือนกัน ตอนแรกฟังไปก็คุ้นๆ แต่นึกไม่ออก คิดว่าน่าจะเป็นนักพากย์รุ่นใหญ่สักคนหนึ่ง แต่พอไปหาข้อมูลก็ตกใจเหมือนกันว่า ป๋าเต็ด เป็นคนให้เสียงตัวละครนี้ ที่จริงป๋าเต็ดเองก็มีผลงานการพากย์อยู่หลายเรื่อง แต่เราก็ไม่เคยจำเสียงของป๋าเต็ดได้จริงๆ จังๆ พอมาได้ยินเสียงกอร์ดอน ก็รู้สึกว่าป๋าเต็ดทำงานเป็นนักพากย์ได้สบายๆ เลยนะเนี่ย

ขอกลับมาพูดถึงเรื่องเพลงอีกครั้ง หลายคนที่ดูครั้งแรก จะรู้สึกดีเลยว่า "เพลงเยอะจัง" ใส่มาพร่ำเพรื่อไปรึเปล่า สารภาพว่าตอนแรกก็คิดว่า มันเยอะเกินไปนั่นแหละ ถ้าเหลือสัก 4-5 เพลงก็น่าจะกำลังดี แต่พอกลับมาดูอีกครั้งจะพบความแตกต่างและพบว่าเพลงแต่ละเพลงมันจะมีช่วงเวลาและความรู้สึกของมัน แน่นอนว่าตอนดูครั้งแรก เราจะโฟกัสที่เนื้อเรื่องก่อน พอมีเพลงใส่เข้ามามันก็เหมือนขัดจังหวะเนื้อเรื่องนั้น เป็นเหตุผลที่หลายคนหงุดหงิดกับเพลง(อีกส่วนอาจจะหงุดหงิดเพราะถูกเบียดเวลาของฉากแอคชั่นไป) แต่พอการกลับมาดูรอบสอง เมื่อเรารู้เนื้อเรื่องไปแล้ว การโฟกัสที่เพลงก็เลยทำได้ดีขึ้น แล้วก็สังเกตได้ว่า นอกจากเพลงจะเล่าเรื่องแล้วก็ขับเน้นพลังและความรู้สึกของอุตะแล้ว เมื่อนำเพลงมาต่อกัน เราจะได้ "กราฟ" ที่เป็นตัวแทนของอารมณ์ของเรื่องทั้งหมด

เริ่มจากเปิดด้วยความสดใสจากเพลง New Genesis (Shinjidai) แล้วก็จะเริ่มมีความหนักแน่น ความหม่นขึ้นเรื่อยๆ จนถึงเพลง Tot Musica ที่เป็นการระเบิดอารมณ์ทั้งหมดของอุตะออกมา แล้วก็เป็นจุดที่พาเรื่องสู่องค์สุดท้ายด้วย ปิดที่เพลงช้าทั้งสองเพลงอย่าง The World's Continuation (Sekai no Tsuzuki) และ Where the Wind Blows (Kaze no Yukue) ที่เป็นเพลงช้าให้อารมณ์ของการไถ่บาป การทิ้งทวน และการจากลา ซึ่งทั้งหมดถูกถ่ายทอดในแนวเพลง ทั้งแนวป๊อปแบบ J-pop แนวร็อคหนักๆ แนวป๊อปแดนซ์แบบ K-pop ที่ผสมแร็ปไปอีก และเพลงแนวช้าเน้นพลังเสียง เรียกว่ามีเกือบทุกแนว สำหรับคนที่ฟังเพลงน่าจะชอบบ้างสักเพลงสองเพลง หรือชอบทั้งหมดเลยก็ไม่แปลก เพราะต้องยอมรับว่าทุกเพลงที่ร้องโดนศิลปินสาวชื่อว่า Ado มีเนื้อเสียงที่ไพเราะจนยากจะปฏิเสธได้เลย (แนะนำให้ดูในโรงที่มีระบบเสียงดีๆ จะเห็นความต่างจากโรงเล็กๆ มากเลย ถ้ามีกำลังทรัพย์จะดูโรง IMAX ก็ไม่เสียหาย)

และที่ยิ่งไปกว่านั้น แต่ละเพลงได้คอมโพสเซอร์หรือคนทำเพลงที่น่าจะเป็นระดับแถวหน้าของญี่ปุ่นเลย ทั้ง Mrs.Green Apple, Vaundy, FAKE TYPE เทพแห่งดนตรีอย่าง Hiroyuki Sawano ก็มาด้วยเช่นกัน (ไม่ต้องบอกว่าเพลงไหนของซาวาโนะ ฟังปุ๊บรู้ปั๊บ) และคนอื่นๆ ที่แต่ละเพลงมีเราจะสัมผัสได้ถึงความพิถีพิถันในการทำเพลง ซึ่งมีการใส่เอกลักษณ์ของแต่ละคนลงไปในงาน และก็ไม่ต้องแปลกใจถ้าเพลงในเรื่องนี้จะกลายเป็นลิสต์ที่ถูกฟังไปอีกนานต่อนานเลยทีเดียว (เพลง New Genesis ที่ถูกปล่อยออกมาก่อนก็ประสบความสำเร็จขึ้น Charts ต่างๆ มากมาย เป็นการตอบย้ำความยอดเยี่ยมของบทเพลงในเรื่องได้เป็นอย่างดี)

สรุป One Piece Film RED เป็นภาพยนตร์อนิเมชั่นจากอนิเมะยอดนิยมอันดับหนึ่งของปัจจุบัน ที่ฉีกแนวมาในแนวของมิวสิคัล ถูกใจสายคนชอบเสียงเพลง แม้เนื้อเรื่องจะดูเบาบาง เพราะต้องแบ่งเวลาให้กับบทเพลงในเรื่อง และแฟนๆ ที่คาดหวังการแอคชั่นสุดมันส์อาจจะมีบ่นอุบอิบกันบ้าง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า บทเพลงจากเหล่าคอมโพสเซอร์แถวหน้าของญี่ปุ่นและศิลปินมากพรสวรรค์อย่าง Ado จะเป็นสิ่งที่ทำให้เรากลับมาหวนกลับมานึกถึงเรื่องราวของอุตะ แทบทุกครั้งเมื่อเปิดเพลงจากลิสต์ในเรื่องขึ้นมาฟังอยู่เรื่อยไป

ฝากเพจด้วยครับ Story Decoder
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่