เคยมีคนบอกไว้ว่าตอนที่ 25 – 26 ในฉบับทีวีซีรีย์เป็นงานเผาเพราะทีมงานเกาหลีส่งงานให้ไม่ทัน แต่เมื่อมองดูมันอย่างพิจารณาแล้ว ไม่น่าเชื่อถือเลยว่าสองตอนนี้จะเป็นงานเผาอย่างที่กล่าวอ้างกัน ตามแหล่งข่าวที่ไม่รู้ว่ามาจากไหน ? ที่มาที่ไปเป็นอย่างไร เพราะมันก็นานตั้งแต่ปี 1995 ซึ่งเทคโนโลยีการสื่อสารนั้นเข้าถึงได้ยาก ไม่ว่าใครจะพูดอะไรออกมาก็จำเป็นต้องเชื่อถือมันทั้งหมด เพราะไม่มีความสามารถที่จะสืบค้นข้อเท็จจริงพิสูจน์สิ่งที่ใครต่อใครพูดออกมาว่ามันถูกต้องตามนั้นๆ จริงๆหรือไม่ โชคดีที่สมัยนี้นั้นเทคโนโลยีการสื่อสารก้าวหน้า แต่กับกรณีของตอนที่ 25 – 26 นั้นก็หมดความสามารถที่จะสืบหาที่มาที่ไปเหมือนกัน
แต่มันไม่ใช่การเผางานมาส่งแน่นอน เพราะหลังจากนั้น Gainax ก็ยังออก Evangelion Death&Rebirth ออกมาเล่าเรื่องด้วยวิธีเดียวกันแต่พยายามชี้เฉพาะลักษณะสำคัญของตัวละคร ในเรื่อง ถ้าหากว่ามันคืองานเผาแล้วทำไมไม่แก้ กลับทำภาคเสริมมาขยายมันอีกด้วยซ้ำ ? และใจความสำคัญของเรื่อง ก็ถูกเล่าออกมาในตอนที่ 25 – 26 นี่เอง จนสามารถแนะนำได้ว่าวิธีที่ดีที่สุดสำหรับการับชมเอวาเกเลียนก็คือ ดูตอนที่ 1 – 24 ต่อด้วย The end of Evangelion ดูประมาณ 1 ชั่วโมง แล้วต่อด้วย ตอนที่ 25 – 26 และ Evangelion Death&Rebirth แล้วก็กลับมาดู The end of Evangelion ต่อจนจบ
สำหรับสาระสำคัญของตอนที่ 25 และ 26 นั้นอยุ่ที่การทำความเข้าใจของตัวละคร ชินจิ อาสึกะ และ เร ซึ่งคงจำเป็นต้องไล่ไปทั้ง 3 ตัวละคร และมีตัวละครอื่นด้วยแต่เพียงเพื่อการเสริมความเข้าใจในตัวละครหลักทั้ง 3 เท่านั้น
ขอเริ่มจากชื่อตอนก่อน ชื่อตอนในภาษาไทยของตอนที่ 25 ก็คือ แอร์ หรืออากาศ นอกจากเป็นชื่อเพลงคลาสสิคในตอนที่อาสึกะต่อสู้กับเอวารุ่นผลิตจำนวนมากแล้ว ในทางความสัมพันธ์ของมนุษย์ยังบอกถึงการถูกมองข้ามโดยการถูกมองเป็นอากาศอีกต่างหาก(เพลงพี่ป้าง ฬนฉบับมังกะเกนโดปฏิบัติกับชินจิอย่างอากาศธาตุเห็นๆ ชินจิเองก็ยอมรับในข้อนี้) อากาศคือการที่คนอื่นๆไม่รู้สึกถึงตัวตนของเราเลย มันคือการหายไป จากความรับรู้ของบุคคลอื่นๆ จากบทพูดซ้ำไปซ้ำมา นี่คือตัวฉันจากจิตใจของอาสึกะ นี่คือตัวฉันจากหัวใจของเร คำพูดเหล่านี้มันสื่อสารถึงความเข้าใจและตัวตนของเราเองล้วนถูกสร้างโดยอาศัยจุดอ้างอิง ซึ่งก็คือคนอื่น หากบุคคลอยู่โดยปราศจากการรับรู้ถึงบุคคลอื่น บุคคลนั้นจะขาดจุดอ้างอิงและไม่สามารถมีตัวตนขึ้นมาได้พวกเขาหายไป
ส่วนตอนที่ 26 ปิศาจที่เรียกร้องหาความรัก ณ ใจกลางโลก ใจกลางโลกก็คือหลุมดำอันมืดมิดอย่างที่ เร ได้พูดเอาไว้ในตอนที่ 25 เป็นความรู้สึกจริงที่ไม่อาจเปิดเผย แม้แต่เจ้าตัวเองก็ไม่ยอมรับถึงความมีอยู่ของมัน ทุกคนต่างกลัวที่จะเปิดเผยความจริงของตัวเราเองเพราะเราต่างหวาดกลัวว่าตัวตนเขาเราในสายตาของบุคคลรอบข้างจะหายไป มนุษย์ต่างรับรู้ถึงตัวตนได้จากการอาศัย “จุดอ้างอิง” นั่นก็คือมนุษย์คนอื่น ชินจิที่อยู่ในฉากนั้นเหลือเพียงแค่ดวงตาเพราะขาดจุดอ้างอิงไม่มีขอบเขตของตัวเขาและคนอื่น จึงไม่สามารถรับรู้ได้ถึงตัวตนของตนเอง แม้จะมีเสื้อผ้าข้าวของที่แสดงถึงความเป็นตัวตนของตนเองอยู่ก็ตาม แต่มันไม่มีความหมายเลย เขาต้องการใครอีกคนที่มารับรู้การมีอยู่ของตัวเขา (ในตอนจบของ EOE ชินจิและอาสึกะต่างเป็นโลกของกันและกัน หากไม่มีอีกฝ่ายอยู่ด้วยก็คงไม่มีตัวตนเหลืออยู่เหมือนเดิม เพราะขาดคนรับรู้)
ลูกหลานของลิลิธกลับคืนสู่ลิลิธ
ว่าด้วยแผนพัฒนามนุษยชาติ
เอวาเกเลียนได้เล่าถึงแผนพัฒนามนุษยชาติแล้ว ในตอนที่ 25 และ 26 ซึ่งก็แปลกประหลาดดีที่ทั้งสองตอน ต่างมีชื่อที่สอดคล้องกัน โดยในตอนที่ 25 มีชื่อว่า Air (อากาศ) ซึ่งนอกจากเป็นชื่อเพลงหนึ่งของ บาสก์ (เล่นในฉากอาสึกะต่อสู้กับ เอวารุ่นผลิตจำนวนมากแล้ว) แล้วสำหรับความสัมพันธ์นั้นยังหมายถึงการถูกมองข้ามดั่งอากาศ และ ตอนที่ 26 The Beast that Shouted Love at the Heart of the World (ปิศาจผู้เรียกร้องหาความรัก ณ ใจกลางโลก) มันค่อนข้างสอดคล้องกันพอดีถึง การถูกปฏิเสธและการเรียกร้องต้องการความยอมรับ ซึ่งอย่างที่ เร บอกว่าจิตใจภายในของตนเองเป็นสิ่งที่ซ่อนความปรารถนาความต้องการที่แท้จริงไว้ แต่มนุษย์ทุกคนก็ซ่อนความรู้สึกซ่อนตัวจริงของตนจากคนอื่นๆ เพราะความหวาดกลัวว่าจะถูกปฏิเสธมนุษย์จึงคิดแทนผู้อื่นว่าเขารู้สึกและคิดกับเราอย่างไร
เกนโดบอกว่าแผนพัฒนามนุษยชาติคือการให้มนุษย์ทุกคนเติมเต็มกันและกันเป็นหนึ่งเดียว “อยากเป็นหนึ่งเดียวกับฉันไหม รับรองว่าต้องรู้สึกดีมากแน่ๆ ” แผนพัฒนามนุษยชาติคือโอกาสที่มนุษย์จะได้รับการเติมเต็มโดยปราศจากความหวาดกลัวที่จะได้รับการเติมเต็มโดยไม่ต้องพบกับความปวดร้าว ความหวาดกลัวของคำตอบ คำตอบที่ไม่อยากได้ยิน แต่มนุษย์ทุกคนล้วนตอบคำถามว่าคนอื่นรู้สึกต่อตนเองอย่างไร ด้วยตนเอง “เห็นไหมล่ะ ไม่มีใครเลยที่ชอบนาย” ทั้งที่ฉากนั้นแช่ภาพของโทรศัพท์ที่ถูกตัดสาย แผนพัฒนานั้นให้ทุกคนได้สมหวังได้ยินทุกคำที่อยากได้ยิน โดยไม่ต้องเปิดแผลของตนเองให้ปวดใจ
โทรศัพท์ที่ไม่มีวันดังขึ้น ในตอนที่ 25 ชินจิ คอยฟังถ้อยคำจากผู้คนทุกคนแต่โทรศัพท์นั้นไม่ได้ต่อสาย นั่นคือชินจิเป็นคนพูดทั้งหมดแทนคนอื่นๆ ทั้งชินจิและเกนโดก็เหมือนกันพวกเขาคิดแทนคนอื่น
แผนการพัฒนามนุษย์ชาติคือการคิดแทนคนอื่น และเชื่อว่าทุกคนต่างต้องการอย่างเดียวกัน ใช่มันจริงอย่างที่เกนโดพูด ทุกคนล้วนแต่ต้องการในสิ่งเดียวกัน แต่ไม่กล้าที่จะสร้างโอกาสนั้น ทุกคนหวาดกลัวที่จะเจ็บปวด มนุษย์ล้วนตัดสินทุกอย่างที่ประสบพบเห็นด้วย ประสบการณ์และคำพูดของคนอื่นเสมอ นั่นคือการยืมแว่นตาของคนอื่นมามองโลก “ฝนตกมันต้องน่าหดหู่แน่ๆ ไม่เสมอไปวันฝนตกอาจมีเรื่องสนุกเกิดขึ้นก็ได้” ใจความสำคัญของตอนที่ 26 ก็คือ การปลดปล่อยและมองโลกในมุมมองของตนเอง โดยไม่ผ่านแว่นตาของคนอื่นนั่นเอง อย่างที่ชินจิพูดว่า “อาจมีโลกที่เขาไม่ได้เป็นนักบินเอวาอยู่ก็ได้ “ ประโยคนี้มันช่างดูเพ้อเจ้อสุดๆ เมื่อได้ยินในทีแรก แต่จากใจความของตอนที่ 25 – 26 มันสามารถบอกได้ว่า ประโยคนี้บอกได้ว่าแม้ว่าเขาจะไม่ได้เป็นนักบินเอวา เขาเองก็สามารถจะมีคุณค่าในตนเองได้โดยไม่ต้องพึ่งพาเอวาก็ได้ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมันเกิดจากมุมมองของเขาเอง และถือวิสาสะคิดแทนคนอื่นว่าเขาคิดกับตนอย่างไร
ซึ่งจากมุมมองของชินจิในตอนที่ 25 และ 26 นั้นเหมือนกันกับชินจิใน ภาค 3.0 ซึ่งเขาคิดแทนคนอื่นๆว่าต้องการอะไร แต่ไม่เคยเชื่อมโยงหรือฟังถ้อยคำของคนอื่นว่า พวกเขาต่างรู้สึกอย่างไรกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ชินจิที่ไม่เข้าใจโลกและผู้คนจึงได้เลือกที่จะย้อนสถานการณ์ให้ไม่เกิด 3rd impact ขึ้นตามน้ำคำของคาโอรุที่ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง ชินจิอยากทำเพราะเชื่อว่านี่คือความหวังของ ลิลิน และเขาเท่านั้นจะทำให้ความหวังเป็นจริง ชินจิ มีแนวคิดที่ไม่ได้แตกต่างไปจากเกนโดพ่อของเขา และยังคงคิดเห็นแก่ตัวอย่างที่อาสึกะพูด และผลจากความพยายามฝืนความเป็นไปของโลก ก็มีแต่ความสูญเสีย ความล้มเหลวเสียใจ โลกที่พังทลายนั้นให้โอกาสเสมอสำหรับการเติบโต แนวคิดที่ได้รับจากงานเขียนของ เพม่า โชดรัน เรื่อง When thing fall a part นั้นให้แนวคิดที่ดีสำหรับการเชื่อมโยงจิตใจของมนุษย์ได้ดี ขอยกมาสักประโยค “เมื่อก่อนสมัยที่ยังไม่มีลูก ผมก็มองข่าวที่เด็กตกเป้นเหยื่อความรุนแรงใดๆ ด้วยสายตาที่เย็นชาปราศจากความเห็นอกเห็นใจใดๆทั้งสิ้น ไม่มีความรู้สึกใดๆ เมื่อได้อ่านข่าว แต่เมื่อวันหนึ่งผมได้เป็นพ่อคน จึงได้เข้าใจถึงหัวอกของพ่อแม่ทุกคน และมองว่าเด็กทุกคนบนโลกก็คือลูกของผม รู้สึกอ่อนไหวมากกว่าเดิม” หรือแม้แต่ผู้สูญเสียแม่ “ก่อนที่แม่ของผมจะเสีย ก็มองความตายเป็นเรื่องปกติ ไม่ค่อยรู้สึกอินกับการสูญเสีย แม่ของคนอื่น จนกระทั่งผมต้องเสียแม่ ทำให้ผมเข้าใจเชื่อมโยงกับผู้คนที่ต้องเสียแม่ทั้งหมด ทำให้เราต่างเข้าใจและรักกันเพราะต่างมีประสบการณ์ร่วมกัน” ทุกความสูญเสียคือโอกาสในการเติบโต

เมื่อทุกอย่างพังทลาย – เพม่า โชดรัน ภิกษุณีจากนิกายวัชระญาน ได้อภิปรายถึงประสบการณ์จิตใจแหลกสลายไว้ได้อย่างน่าคิด
การเติบโตของชินจิในภาค 3.0+1.0 นั้นคือการเข้าใจและมอง 3rd impact ด้วยมุมมองใหม่ อย่างที่เคนสึเกะบอกว่าไม่ใช่ว่าทุกสิ่งที่เกิดจาก 3rd impact จะมีแต่ความเลวร้าย ข้อดีของมันก็ยังมีอยู่บ้าง จุดสำคัญที่แตกต่างกันระหว่าง NGE และ ROE ก็คือชินจิ ตัดสินทุกอย่างจากการพูดคุยกับตนเอง และก็ยังทำทุกอย่างโดยตัดสินเองว่า ทุกคนในโลกเกลียดเขา แต่ ใน ROE แค่เพียง เร พูดว่า “เพราะเราชอบนาย” นั้นทำให้ชินจิยอมเปิดโอกาสให้กับโลกกลับเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของตน ชินจิ ใน NGE ตัดขาดตนเองจากโลก ปิดหู ปิดตา ปิดหัวใจ ไม่พยายามฟังเสียงรอบข้าง ไม่มองสิ่งต่างๆ ปิดใจเพราะไม่อยากรับรู้อะไรอยากจะหลีกหนีจากทุกๆอย่าง(วันที่JSDF บุก Nerv ก็เป็นเพียงแค่วันถัดมาจากวันที่เขาฆ่า คาโอรุ เองไม่มีเวลามานั่งเศร้าโง่ๆริมทะเลสาบ) เพราะ คนที่ปลอบใจตัวเธอเองได้คือเธอเอง ต่างหาก เพราะหาก ยังไม่ยอมรับรึภูมิใจในตัวเอง ได้ใครเล่าจะช่วยตัวเธอเอง เพราะ “แม้แต่ตัวเธอเองเธอยังไม่รักมันเลย”แต่ ROE เปิดหูเปิดตา และเปิดใจ แม้จะอยากปิดกั้นปฎิเสธไม่อยากทำก็ไม่ได้รับโอกาสนั้น เพราะเกรงใจ เคนสึเกะที่ดูแลอยู่ (ไม่อยากตกปลาก็ปฏิเสธไม่ได้) ชินจิจึงถูกบังคับให้อยู่ในโลกมาตลอดโดยไม่กลับไปอยู่ในโลกส่วนตัวอีกต่อไป (เพราะโลกส่วนตัวอย่าง SDAT ก็เป็นเครื่องเตือนใจถึงโลกที่พังทลายลงมันคือความสัมพันธ์ที่เขามีกับ เกนโด และ คาโอรุ) ชินจิผู้เชื่อมโยงกับโลกก็ไม่ใช่คนเห็นแก่ตัวและเติบโตจากการผ่านประสบการณ์ที่โลกล่มสลาย
ฝากเว็บไซต์ที่ลงบทความต้นฉบับ
สาระสำคัญจาก Neon Genesis Evangelion ตอนที่ 25 – 26 และ Evangelion Death & Rebirth
แต่มันไม่ใช่การเผางานมาส่งแน่นอน เพราะหลังจากนั้น Gainax ก็ยังออก Evangelion Death&Rebirth ออกมาเล่าเรื่องด้วยวิธีเดียวกันแต่พยายามชี้เฉพาะลักษณะสำคัญของตัวละคร ในเรื่อง ถ้าหากว่ามันคืองานเผาแล้วทำไมไม่แก้ กลับทำภาคเสริมมาขยายมันอีกด้วยซ้ำ ? และใจความสำคัญของเรื่อง ก็ถูกเล่าออกมาในตอนที่ 25 – 26 นี่เอง จนสามารถแนะนำได้ว่าวิธีที่ดีที่สุดสำหรับการับชมเอวาเกเลียนก็คือ ดูตอนที่ 1 – 24 ต่อด้วย The end of Evangelion ดูประมาณ 1 ชั่วโมง แล้วต่อด้วย ตอนที่ 25 – 26 และ Evangelion Death&Rebirth แล้วก็กลับมาดู The end of Evangelion ต่อจนจบ
ขอเริ่มจากชื่อตอนก่อน ชื่อตอนในภาษาไทยของตอนที่ 25 ก็คือ แอร์ หรืออากาศ นอกจากเป็นชื่อเพลงคลาสสิคในตอนที่อาสึกะต่อสู้กับเอวารุ่นผลิตจำนวนมากแล้ว ในทางความสัมพันธ์ของมนุษย์ยังบอกถึงการถูกมองข้ามโดยการถูกมองเป็นอากาศอีกต่างหาก(เพลงพี่ป้าง ฬนฉบับมังกะเกนโดปฏิบัติกับชินจิอย่างอากาศธาตุเห็นๆ ชินจิเองก็ยอมรับในข้อนี้) อากาศคือการที่คนอื่นๆไม่รู้สึกถึงตัวตนของเราเลย มันคือการหายไป จากความรับรู้ของบุคคลอื่นๆ จากบทพูดซ้ำไปซ้ำมา นี่คือตัวฉันจากจิตใจของอาสึกะ นี่คือตัวฉันจากหัวใจของเร คำพูดเหล่านี้มันสื่อสารถึงความเข้าใจและตัวตนของเราเองล้วนถูกสร้างโดยอาศัยจุดอ้างอิง ซึ่งก็คือคนอื่น หากบุคคลอยู่โดยปราศจากการรับรู้ถึงบุคคลอื่น บุคคลนั้นจะขาดจุดอ้างอิงและไม่สามารถมีตัวตนขึ้นมาได้พวกเขาหายไป
ส่วนตอนที่ 26 ปิศาจที่เรียกร้องหาความรัก ณ ใจกลางโลก ใจกลางโลกก็คือหลุมดำอันมืดมิดอย่างที่ เร ได้พูดเอาไว้ในตอนที่ 25 เป็นความรู้สึกจริงที่ไม่อาจเปิดเผย แม้แต่เจ้าตัวเองก็ไม่ยอมรับถึงความมีอยู่ของมัน ทุกคนต่างกลัวที่จะเปิดเผยความจริงของตัวเราเองเพราะเราต่างหวาดกลัวว่าตัวตนเขาเราในสายตาของบุคคลรอบข้างจะหายไป มนุษย์ต่างรับรู้ถึงตัวตนได้จากการอาศัย “จุดอ้างอิง” นั่นก็คือมนุษย์คนอื่น ชินจิที่อยู่ในฉากนั้นเหลือเพียงแค่ดวงตาเพราะขาดจุดอ้างอิงไม่มีขอบเขตของตัวเขาและคนอื่น จึงไม่สามารถรับรู้ได้ถึงตัวตนของตนเอง แม้จะมีเสื้อผ้าข้าวของที่แสดงถึงความเป็นตัวตนของตนเองอยู่ก็ตาม แต่มันไม่มีความหมายเลย เขาต้องการใครอีกคนที่มารับรู้การมีอยู่ของตัวเขา (ในตอนจบของ EOE ชินจิและอาสึกะต่างเป็นโลกของกันและกัน หากไม่มีอีกฝ่ายอยู่ด้วยก็คงไม่มีตัวตนเหลืออยู่เหมือนเดิม เพราะขาดคนรับรู้)
เอวาเกเลียนได้เล่าถึงแผนพัฒนามนุษยชาติแล้ว ในตอนที่ 25 และ 26 ซึ่งก็แปลกประหลาดดีที่ทั้งสองตอน ต่างมีชื่อที่สอดคล้องกัน โดยในตอนที่ 25 มีชื่อว่า Air (อากาศ) ซึ่งนอกจากเป็นชื่อเพลงหนึ่งของ บาสก์ (เล่นในฉากอาสึกะต่อสู้กับ เอวารุ่นผลิตจำนวนมากแล้ว) แล้วสำหรับความสัมพันธ์นั้นยังหมายถึงการถูกมองข้ามดั่งอากาศ และ ตอนที่ 26 The Beast that Shouted Love at the Heart of the World (ปิศาจผู้เรียกร้องหาความรัก ณ ใจกลางโลก) มันค่อนข้างสอดคล้องกันพอดีถึง การถูกปฏิเสธและการเรียกร้องต้องการความยอมรับ ซึ่งอย่างที่ เร บอกว่าจิตใจภายในของตนเองเป็นสิ่งที่ซ่อนความปรารถนาความต้องการที่แท้จริงไว้ แต่มนุษย์ทุกคนก็ซ่อนความรู้สึกซ่อนตัวจริงของตนจากคนอื่นๆ เพราะความหวาดกลัวว่าจะถูกปฏิเสธมนุษย์จึงคิดแทนผู้อื่นว่าเขารู้สึกและคิดกับเราอย่างไร
เกนโดบอกว่าแผนพัฒนามนุษยชาติคือการให้มนุษย์ทุกคนเติมเต็มกันและกันเป็นหนึ่งเดียว “อยากเป็นหนึ่งเดียวกับฉันไหม รับรองว่าต้องรู้สึกดีมากแน่ๆ ” แผนพัฒนามนุษยชาติคือโอกาสที่มนุษย์จะได้รับการเติมเต็มโดยปราศจากความหวาดกลัวที่จะได้รับการเติมเต็มโดยไม่ต้องพบกับความปวดร้าว ความหวาดกลัวของคำตอบ คำตอบที่ไม่อยากได้ยิน แต่มนุษย์ทุกคนล้วนตอบคำถามว่าคนอื่นรู้สึกต่อตนเองอย่างไร ด้วยตนเอง “เห็นไหมล่ะ ไม่มีใครเลยที่ชอบนาย” ทั้งที่ฉากนั้นแช่ภาพของโทรศัพท์ที่ถูกตัดสาย แผนพัฒนานั้นให้ทุกคนได้สมหวังได้ยินทุกคำที่อยากได้ยิน โดยไม่ต้องเปิดแผลของตนเองให้ปวดใจ