JJNY : 5in1 แพงไม่หยุด│คนจนอ่วมพิษเงินเฟ้อ│คนไทยออมเงินน้อย│‘ตรีชฎา’ ถามหา รมว.พาณิชย์│ส.ส.ก้าวไกลจี้รื้อคดีนาฬิกาหรู

แพงไม่หยุด 'พริกแห้ง-กระเทียม-มะขามเปียก' ราคาพุ่งรายวัน 'สารพัดผัก' ขึ้นโลละ 5-30 บาท
https://www.matichon.co.th/economy/news_3545491
  
 
แพงไม่หยุด ‘พริกแห้ง-กระเทียม-มะขามเปียก’ ราคาพุ่งรายวัน ‘สารพัดผัก’ ขึ้นโลละ 5-30 บาท
 
เมื่อวันที่ 5 กันยายน ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่สำรวจราคาสินค้าในตลาดสดแห่งหนึ่งย่านกรุงเทพฯ พบว่าในส่วนของผักสดราคาขายหน้าร้านมีทั้งปรับขึ้นและปรับลงตามสภาวะอากาศ
 
น.ส.ต๋อง เจ้าของร้านค้าแห่งหนึ่ง กล่าวว่า สินค้าทุกอย่างยังขึ้นราคาและขึ้นทุกวัน เช่น พริกแห้ง ขึ้นวันละ 5 บาท/กิโลกรัม (กก.) อยู่ที่ 190 บาท/กก. กระเทียม ขึ้นวันละ 2 บาท/กก. เป็น 115 บาท/กก. มะขามเปียก ขึ้นวันละ 2 บาท/กก. ตอนนี้ราคาแพคละ 500 กรัม อยู่ที่ 43 บาท
 
นางสมใจ แม่ค้าขายผัก กล่าวว่า ช่วงนี้หน้าฝนราคาผักจะขึ้นๆ ลงๆ มีปรับราคาขึ้น เช่น แตงกวาถุง 10 กก.ปรับขึ้น 30 บาท/ถุง เป็น 220 บาท ตั้งโอ๋ ขึ้น 30 บาท/กก. เป็น 120 บาท ผักชี ขึ้น 20 บาท/กก. เป็น 170 บาท/กก. ต้นหอม ขึ้น 20 บาท/กก. เป็น 110 บาท
 
ใบกะเพรา ขึ้น 5 บาท/กก. เป็น 40 บาท ใบโหระพา ขึ้น 5 บาท/กก. เป็น 50 บาท มะเขือยาว ขึ้น 20 บาท/กก.เป็น 120 บาท ถั่วฝักยาว ขึ้น 10 บาท/กก.เป็น 45 บาท กะหล่ำปลี ขึ้น 5 บาท/กก. เป็น 35 บาท ผักกาดขาว เท่าเดิม 35 บาท/กก. ขิงสด อยู่ที่ 35 บาท/กก. ส่วน พริกสด ราคาเริ่มลง เช่น พริกขี้หนูสวน จาก 300 บาท/กก.เหลือ 260 บาท พริกสดเหลือง เหลือ 120 บาท/กก. เป็นต้น

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า สำหรับ ราคาไข่ไก่ จำนวน 10 ฟอง เบอร์ศูนย์อยู่ที่ 50 บาท หรือ 5 บาท/ฟอง เบอร์หนึ่ง 47 บาท หรือ 4.70 บาท/ฟอง เบอร์สอง 45 บาท หรือ 4.50 บาท/ฟอง เบอร์สาม 43 บาท หรือ 4.30 บาท/ฟอง เบอร์สี่ 42 บาท หรือ4.2 บาท/ฟอง ส่วน ไข่เป็ด จำนวน 10 ฟอง ราคาอยู่ที่ 50-60 บาทหรือเฉลี่ย 5-6 บาท/ฟอง ขึ้นอยู่กับขนาด ด้าน ไข่เค็มและไข่เยี่ยวม้า ขึ้นราคา 1 บาท อยู่ที่ 7 บาท/ฟอง


 
อ.เศรษฐศาสตร์ มธ. ชี้ คนจนอ่วมพิษเงินเฟ้อ 10 ปี กำลังซื้อเฉลี่ยเพิ่มแค่ 15 บาท
https://www.matichon.co.th/economy/news_3545314

‘คนจน’ อ่วมพิษเงินเฟ้อ ผงะ! 10 ปี กำลังซื้อเฉลี่ยเพิ่มขึ้นแค่ 15 บาท นักเศรษฐศาสตร์ธรรมศาสตร์ ชี้ปรับเพิ่มค่าจ้างอีก 5% ช่วยคนจนได้ระดับหนึ่ง แต่ยังไม่ใช่ความยั่งยืน
 
เมื่อวันที่ 5 กันยายน รศ.ดร.กิริยา กุลกลการ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) เปิดเผยว่า ผู้มีรายได้น้อยจะได้รับผลกระทบจากเงินเฟ้อมากกว่าผู้ที่มีรายได้สูง ฉะนั้นในสถานการณ์ที่ค่าครองชีพสูงขึ้นจากอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งถึงระดับ 7% จึงถือเป็นเรื่องดีที่จะมีการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำทั่วประเทศ โดยสัดส่วนการปรับ 5% ตามมติคณะกรรมการค่าจ้างนั้นจะสามารถช่วยแรงงานได้ระดับหนึ่ง
 
รศ.ดร.กิริยา กล่าวว่า เงินส่วนใหญ่ของคนจนหรือคิดเป็น 45% ของรายได้ ต้องถูกใช้ไปสำหรับการบริโภคอาหาร ขณะที่คนรวยจะมีค่าใช้จ่ายค่าอาหารคิดเป็นเพียง 27% ของรายได้เท่านั้น ตรงนี้สะท้อนว่าในความเป็นจริงแล้วคนจนได้รับผลกระทบจากภาวะเงินเฟ้อที่สูงกว่า 7% ด้วยซ้ำ
 
นอกจากนี้ หากเปรียบเทียบอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่กำลังจะปรับใหม่กับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำตลอด 10 ปีที่ผ่านมา จะพบว่าคนจนมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้นเพียง 15 บาทต่อวันเท่านั้น โดยในอดีตกลุ่มคนจนจะจับจ่ายใช้สอยอยู่ที่ 318 บาทต่อวัน ขณะที่ค่าจ้างใหม่จะทำให้ใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเป็น 333 บาทต่อวันเท่านั้น
 
“ถ้าคิดต่อปี 22 วันต่อเดือนแล้วคูณ 12 เดือนเข้าไป เบ็ดเสร็จเขาสามารถจะใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 3,960 บาทต่อปี ซึ่งมันก็คิดเป็นประมาณ 4.72% ทีนี้ถ้าเราไปดู GDP ซึ่งคือรายได้รวมของทั้งประเทศ 10 ปีตรงนี้มันโต 20% เพราะฉะนั้นมันก็เหมือนว่ารายได้ของกลุ่มคนรายได้น้อยโตช้ากว่าเศรษฐกิจที่มันโตขึ้น มันก็สะท้อนถึงความเหลื่อมล้ำตรงนี้และชีวิตที่ค่อนข้างจะลำบาก” รศ.ดร.กิริยา ระบุ และว่าในทุกวันนี้ที่ยังไม่มีการปรับและยังใช้อัตราเดิมอยู่นี้ ถ้าคำนวณหาค่าจ้างขั้นต่ำที่แท้จริงจะพบว่าต่ำกว่า 10 ปีที่แล้ว 2 บาท ซึ่งเป็นผลจากสถานการณ์เงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้แม้ตัวเงินที่ได้จะดูเพิ่มขึ้น แต่อำนาจในการซื้อกลับน้อยลง
 
รศ.ดร.กิริยา กล่าวต่อไปว่า ก่อนหน้านี้มีความกังวลว่าค่าแรงขั้นต่ำที่ปรับเพิ่มขึ้นจะทำให้เงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้นจนไม่สามารถคุมได้ ส่วนตัวคิดว่าในประเด็นนี้อาจไม่ต้องกังวลนัก เพราะเพิ่มเพียง 5% ไม่น่าจะส่งผลต่อการคาดการณ์เงินเฟ้อ หรือ inflation expectation ที่นักเศรษฐศาสตร์หรือหลายคนกลัวกัน  เพราะปัจจัยอื่นน่าจะส่งผลต่อเงินเฟ้อมากกว่า
 
สำหรับผลกระทบกับผู้ประกอบการจะได้รับมากน้อยขึ้นอยู่กับ 2 ปัจจัย ได้แก่ 1. ผู้ประกอบการสามารถผลักภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้นให้กับผู้บริโภคได้มากน้อยเท่าไร เช่น ถ้าลูกค้าคือภาครัฐ ซึ่งจะกำหนดงบประมาณไว้ล่วงหน้าแล้ว ปรับราคาขึ้นไม่ได้ จึงทำให้ผู้ประกอบการต้องรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นฝ่ายเดียว 2. ผู้ประกอบการจำเป็นต้องใช้แรงงานที่ได้รับระดับค่าจ้างขั้นต่ำมากน้อยขนาดไหน เช่น พนักงานทำความสะอาด พนักงานเสิร์ฟอาหาร พนักงานขาย ผู้รับจ้างภาคเกษตร-ก่อสร้าง ไม่ก็ใช้แรงงานข้ามชาติจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ในกลุ่มนี้ก็จะได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก ถ้าเป็นบริษัทใหญ่ โดยมากจะจ้างเกินอัตราค่าจ้างขั้นต่ำอยู่แล้ว แต่ก็มีส่วนที่กระทบเนื่องจากค่าจ้างขั้นต่ำถือเป็นอัตราอ้างอิง
 
อย่างไรก็ดี การปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ไม่ใช่ตัวเลือกสำหรับเพิ่มคุณภาพชีวิตให้คนในประเทศ รวมถึงไม่ใช่เรื่องที่ยั่งยืนสำหรับการพัฒนา แท้จริงแล้วคนทั้งประเทศควรได้รับค่าจ้างที่สูงกว่าระดับค่าจ้างขั้นต่ำ เพราะค่าจ้างขั้นต่ำ นอกจากจะไม่พอสำหรับการจะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีแล้ว ในทางเศรษฐศาสตร์ยังถือเป็นการบิดเบือนตลาด ซึ่งมีผลให้ประสิทธิภาพของตลาดลดลง
 
“ฉะนั้น ไทยเราควรมุ่งไปสู่การมีค่าแรงที่สูงเพียงพอต่อการยังชีพ และเป็นค่าแรงที่กำหนดขึ้นตามกลไกราคา ซึ่งสามารถทำได้ด้วยการให้แรงงานมีศักยภาพที่เพิ่มขึ้น มีการใช้ทักษะที่สอดคล้องกับโลกยุคใหม่ ซึ่งเทคโนโลยีก้าวหน้ามากขึ้น ผ่านการสร้างช่องทางที่เอื้อต่อการศึกษาเรียนรู้เพิ่มเติมให้กับแรงงาน ทางฝั่งธุรกิจก็จำเป็นต้องยกระดับตนเอง เพิ่มการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่มีคุณภาพสูงขึ้น ซึ่งจะทำให้สินค้าที่ผลิตออกมามีมูลค่าเพิ่มขึ้น พร้อม ๆ กับพัฒนาทักษะให้แรงงาน สัดส่วนค่าจ้างที่แรงงานจะได้รับก็จะสูงขึ้น” รศ.ดร.กิริยา กล่าว
 
รศ.ดร.กิริยา กล่าวว่า สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ การปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจและตลาดแรงงาน รัฐควรสนับสนุนการรวมกลุ่มของแรงงาน เช่น สหภาพแรงงงาน ฯลฯ เพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองให้กับแรงงาน โดยให้การรวมกลุ่มเป็นแหล่งเรียนรู้ และแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร รวมถึงรัฐต้องสร้างแพลตฟอร์มที่ให้ข้อมูลด้านตลาดแรงงาน เพื่อสร้างทางที่จะนำแรงงานไปสู่อาชีพและทักษะที่ตลาดต้องการ ซึ่งในโลกที่ไม่แน่นอน คาดเดายาก และเปลี่ยนแปลงเร็ว แพลตฟอร์มนี้ยิ่งทวีความสำคัญ ส่วนโครงสร้างเศรษฐกิจ ต้องแก้ไขการแข่งขันที่ผูกขาด โปร่งใสไม่คอร์รัปชัน เหล่านี้ต่างช่วยให้ศักยภาพของแรงงานและเศรษฐกิจมีประสิทธิภาพมากขึ้น
 
รศ.ดร.กิริยา ทิ้งท้ายว่า ในช่วงนี้รัฐสามารถช่วยบรรเทาปัญหาค่าครองชีพของคนมีรายได้น้อย ผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
 


‘จุฬาฯ’ ชี้คนไทยออมเงินน้อย มีความพร้อมหลังเกษียณต่ำกว่า 40%
https://www.matichon.co.th/economy/news_3545355
 
นางพรอนงค์ บุษราตระกูล หัวหน้าภาควิชาการธนาคารและการเงิน คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้จัดทำ “ดัชนีความพร้อมเพื่อการเกษียณ” (NRRI) เพื่อหาเครื่องมือวัดระดับความพร้อมหรือไม่พร้อมของคนในประเทศไทยหลังเกษียณ โดยพบว่าตัวเลขความพร้อมด้านการเงินค่าเฉลี่ยของประเทศมีความพร้อมต่ำกว่า 40% ขณะที่ความพร้อมด้านสุขภาพมีความพร้อมในระดับที่สูงกว่ามิติด้านการเงิน ซึ่งการมีความพร้อมจากการมีความสุขด้านสุขภาพสูงกว่าความพร้อมจากความสุขด้านการเงิน ทำให้ต้องมีเงินเท่าใดถึงจะพอจึงเป็นอีกโจทย์หนึ่ง ซึ่งการสำรวจการใช้จ่ายของคนสูงวัย พบว่าจำนวนเงินที่จะเพียงพอที่จะอยู่รอดได้หลังเกษียณคือ 3 ล้านบาทต่อคน และต้องทยอยนำเงินมาใช้จ่ายต่อเดือนในระดับ 6,000-7,000 บาท แต่ปัจจุบันมีการใช้จ่ายกันที่ระดับ 10,000 บาทต่อเดือน หมายความว่ามีการใช้เงินมากกว่าที่มีอยู่
 
นางพรอนงค์ กล่าวว่า ผู้ที่มีส่วนด้านการออมที่สำคัญที่สุด อันดับแรกคือ ประชาชนทุกคนต้องมีความตระหนักรู้ถึงประโยชน์ของการออม รองลงมาคือภาครัฐต้องมีบทบาทในการสนับสนุนทักษะทางการเงินของประชาชน ต้องมีนโยบายส่งเสริมให้คนมีทักษะและความรู้ทางการเงิน เพื่อให้ประชาชนตระหนักรู้ว่าต้องออม และจะนำไปสู่ความรู้ว่าจะออมอย่างไร ทำอย่างไรไม่ให้ถูกหลอกทางการเงิน รวมทั้งส่งเสริมให้มีเครื่องมือการลงทุน ระบบการออมภาคบังคับ รวมถึงฝั่งนายจ้าง ที่ควรมองว่าการดูแลพนักงานไม่ใช่ดูแลเฉพาะเวลาที่ทำงานกับองค์กร แต่มองไปถึงว่าหลังเลิกทำงานกับนายจ้างแล้วควรมีคุณภาพชีวิตที่ดีด้วย
 
“แรงงานในระบบสามารถใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีให้สูงสุด 15% ไม่เกิน 500,000 บาท จึงอยากให้ทุกคนออมผ่านรูปแบบใดก็ได้ ในสัดส่วน 15% ของรายได้ ซึ่งหากออมต่ำกว่า 10% ต่อไปชีวิตลำบากแน่ ทำให้ขั้นต่ำต้อง 15% หากใครทำได้ระดับ 30% เรียกว่าดี อยู่ได้ แต่หากสูงกว่า 30% ถือว่าดี ซึ่งการออมต่ำกว่า 10% อนาคตต้องพึ่งพาการถูกลอตเตอรี่ ได้มรดก หรือมีลูกหลานเลี้ยงดู ถือเป็นปัจจัยที่เราควบคุมไม่ได้ สิ่งที่เราควบคุมได้คือการออมจากประโยชน์ที่ได้จากทางภาษี และหากใครมีการออมเกิน 15% อยู่แล้วให้ใส่ความรู้ด้านการลงทุนเข้าไปด้วย” นางพรอนงค์ กล่าว
 
นางพรอนงค์ กล่าวว่า สำหรับแรงงานนอกระบบ ขอให้มีวินัยด้านการออม หากระบบที่มีอยู่ยังไม่เอื้อจะต้องขวนขวายด้วยตัวเอง อาทิ การเข้าสู่ระบบประกันสังคมมาตรา 40 รวมถึงเข้าสู่การออมในกองทุน โดยขอให้ปรับพฤติกรรมใหม่ คือ สร้างวินัยการออม โดยเฉพาะอาชีพอิสระไม่ควรลงทุนในสิ่งที่เสี่ยง ควรปรับสัดส่วนการออมและความสม่ำเสมอ จากที่เคยพบพฤติกรรมการออมคือ ออมจำนวนมากในครั้งเดียวแล้วหายไป 3 ปี หลังจากนั้นเมื่อเก็บเงินได้ใหม่จึงจะออมอีกครั้งหนึ่ง
 
ทั้งนี้ หวังว่าตัวเลขค่าเฉลี่ยการออมของประเทศไทยจะเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น ซึ่งจากการเริ่มทำวิจัยเมื่อ 10 ปีก่อน ได้พบว่าระบบบำนาญครอบคลุมในสัดส่วน 40:60 แต่ปัจจุบันกลับหัวเป็นสัดส่วน 60:40 หมายความว่าตัวเลขดีขึ้น แต่ยังไม่เร็วพอกับการที่ประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุแบบสุดยอด ดังนั้น ต้องตระหนักรู้ให้เร็วและปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
 
นางพรอนงค์ กล่าวว่า อุปสรรคการออมหลังเกษียณที่ทำให้การเกษียณไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ ประชาชนส่วนใหญ่มักจะบอกว่าอุปสรรคคือ ความเสี่ยง อาทิการเข้ามาของโควิด แต่อยากบอกว่าแม้โควิดไปเชื้อโรคตัวใหม่ก็จะเข้ามา ต่อไปอุปสรรคคือ ความเสี่ยงจะมาเร็วและมาแรงขึ้น อาทิ โควิด หรือสงคราม ทุกอย่างจะเข้ามาเรื่อย ๆ อย่าให้เรื่องเหล่านี้มากระทบวินัยการออม
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่