นิยายชุด : ผลัดกันเล่า by motamad

เรื่องเล่าที่ 20 : หมู่บ้านร้างหลอนกลางป่าในคืนวันป่าปิด  : ระดับ 5 กะโหลก
 
                เหตุการณ์ที่จะเริ่มเล่าต่อไปนี้เป็นเหตุการณ์อันน่าเหลือเชื่อที่เกิดขึ้นจริงกับคุณพ่อของคุณปู่  ซึ่งแม้ว่าตัวคุณพ่อของคุณปู่นั้นจะไม่อยู่แล้วก็ตาม แต่เรื่องเล่านี้ยังคงโด่งดังอยู่ในหมู่ลูกหลาน เพราะไม่ว่าจะกี่ครั้งที่ถูกหยิบยกขึ้นมาเล่า ลูกหลานคนไหนที่ได้ฟังต่างก็รู้สึกขนลุกชันทั้งตัวกันถ้วนหน้า 
 
                เรื่องนี้เกิดขึ้น ณ ตอนที่คุณพ่อของคุณปู่ ที่ต่อไปนี้จะขอเรียกสั้นๆ ว่าคุณทวด ยังอายุได้เพียงสิบแปดสิบเก้าปี ย้อนกลับไปสักห้าสิบหกสิบปีก่อน ด้วยความที่บ้านมีฐานะยากจน คุณพ่อของคุณทวดจึงต้องประกอบอาชีพด้วยการเข้าป่าไปหาของมาขายเพื่อเอาเงินมาจุนเจือครอบครัว คุณทวดติดตามคุณพ่อเข้าป่าไปตั้งแต่เด็กๆ เพื่อช่วยหาของมาขายให้เยอะขึ้น เพราะยิ่งหาของมาขายได้เยอะ เงินที่ได้จากการขายของก็จะเยอะขึ้นตาม 
 
                ซึ่งอาชีพหาของป่ามาขายนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะสามารถเข้าป่าไปหาของได้ทุกวัน เพราะมันจะมีอยู่ช่วงนึงของแต่ละฤดูกาลที่เรียกกันว่าวันป่าปิด จะเป็นช่วงเวลาที่คนหาของป่าหรือแม้แต่พรานป่าจะรู้กันดีว่าไม่ควรจะเข้าไปในป่า เพราะป่าช่วงนั้นจะอันตรายมาก หลายต่อหลายครั้งที่มักจะมีคนจำพวก ‘ไม่กลัว’ และ ‘ชอบลองของ’ นัดพากันเข้าป่าไปในช่วงวันป่าปิด ซึ่งบทสรุปที่รอคนจำพวกนี้อยู่นั้นคือถ้าไม่บ้าเสียสติก็ตายจากอุบัติเหตุในป่าซะส่วนใหญ่ ส่วนน้อยมากๆ ที่จะรอดกลับมาอย่างปกติสมบูรณ์ ซึ่งคนจำพวกที่ออกมาได้อย่างสมบูรณ์นี้ก็มักจะหันหลังให้กับป่า คือเลิกเข้าป่าไปเลยชั่วชีวิตนี้ 
 
                คุณพ่อของคุณทวดบอกว่าความน่ากลัวของวันป่าปิดนั้นอยู่ที่ว่า แม้ว่าจะยังเป็นตอนกลางวันที่เห็นพระอาทิตย์ แต่รอบข้างภายในป่าทั้งผืนกลับมืดสลัวเหมือนตอนใกล้ค่ำ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตอนกลางคืนที่แม้จะมีแสงจากพระจันทร์ส่องลงมา แต่ก็ไม่สามารถที่จะมองเห็นสิ่งรอบข้างอะไรได้เลย นี่นับว่าเป็นอันตรายอย่างที่หนึ่งของป่า และอย่างที่สองคือ... เราไม่มีทางรู้เลยว่า ป่าจะโจมตีเราตอนไหน ตอนแรกที่ได้ยินความน่ากลัวอย่างที่สองนี้ ในใจคุณทวดรู้สึกไม่เชื่อเลยสักนิด เพราะคำว่า ‘ป่าจะโจมตีเราตอนไหน’ ฟังดูเหลือเชื่อเอามากๆ เหมือนกับบอกว่าป่ามีชีวิตลุกขึ้นมาทุบตีคนได้อย่างนั้นแหละ 
 
                แต่แล้วก็มีเหตุการณ์ที่ทำให้ความคิดของคุณทวดเปลี่ยนไป
 
                 นั้นคือวันที่คุณพ่อของคุณทวดป่วยหนักมาก จนขึ้นขั้นที่ถ้าไม่ออกไปหาซื้อยามาต้มให้กิน วันพรุ่งนี้ก็คงเสียแน่นอน ด้วยเพราะทางบ้านยากจน ไหนเลยจะมีเงินมาซื้อยาแพงๆ ต้มให้คุณพ่อกิน 
 
                คุณทวดดูปฏิทินที่แขวนติดผนังบ้านในตอนนั้นแล้วชั่งใจคิดอยู่เงียบๆ อีกสองวันก็จะถึงช่วงวันป่าปิด ถ้าอยากหาเงินมาซื้อยาให้คุณพ่อหายก็ต้องเสี่ยงเข้าป่าเพื่อไปหาของมาขายให้กับพวกพ่อค้ากลางในตลาดหน้าหมู่บ้าน แต่ว่าตอนนี้เป็นเวลาดึกมากแล้ว ถ้าจะเข้าไปก็ต้องเป็นวันพรุ่งนี้แทน
 
                 ซึ่งเป็นวันก่อนวันป่าปิดแค่หนึ่งวัน ซึ่งแต่ละครั้งที่เข้าไปหาของป่ามาขายนั้นไม่ได้ใช้ระยะเวลาเพียงแค่สั้นๆ เพราะกว่าจะเจอของที่สามารถนำมาขายได้แต่ละอย่างนั้น อย่างช้าที่สุดก็นอนค้างในป่าหนึ่งคืน และถ้าพรุ่งนี้คุณทวดเลือกที่จะเข้าป่า ก็จะหมายความว่าช่วงระยะเวลาที่คุณทวดต้องเข้าไปหาของจะตรงกับช่วงป่าปิด เป็นช่วงที่ป่าอันตรายมากที่สุดนั้นเอง จากที่เห็นใครต่อใครเข้าป่าไปในช่วงวันป่าปิดแล้วส่วนใหญ่ไม่รอดกลับมาสักคนก็ทำให้คุณทวดที่อายุแค่สิบแปดสิบเก้าปีเกิดกลัวขึ้นมาบ้าง แต่ความกลัวนี้ไม่ใช่กลัวในสิ่งที่มองไม่เห็น หรือ สิ่งลี้ลับ แต่กลัวว่าจะไปเจอกับพวกลักลอบค้าของเถื่อนเข้าแล้วถูกยิงตายในป่า ไม่มีใครรู้แล้วต้องกลายเป็นผีไร้ญาติไป แต่เมื่อหันกลับไปดูหน้าคุณพ่อที่ตอนนี้นอนหลับไม่ได้สติเนื่องจากไข้ที่ขึ้นสูงแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ มีแต่ต้องเสี่ยงเข้าไปท่าเดียว คุณทวดเลยตัดสินใจเริ่มเตรียมตัวเข้าป่าภายในคืนนั้นเลยทันที 
 
                คุณแม่ของคุณทวดพอทราบว่าคุณทวดจะเสี่ยงเข้าป่าไปในช่วงวันป่าปิดก็พยายามคัดค้าน และบอกแค่ว่าลองหาทางอื่นช่วยคุณพ่อแทน อาจจะเป็นการหยิบยืมเงินจากญาติพี่น้องแทนการเข้าไปหาของป่ามาขาย แต่เพราะว่าช่วงนั้นใครต่อใครต่างก็ลำบาก แม้จะมีญาติที่พอหยิบยืมเงินได้ แต่จำนวนก็ไม่มากพอที่จะซื้อยามาต้มให้คุณพ่อกินจนหาย 
 
                เมื่อสุดท้ายแล้วการแก้ปัญหามีแต่ต้องพึ่งตนเอง คุณแม่ก็ยอมปล่อยให้คุณทวดเข้าป่าเพื่อไปหาของมาขาย โดยภายในคืนนั้นก็พยายามวิ่งไปขอให้ญาติๆ คนสนิท หรือคนคุ้นเคยช่วยเข้าป่าไปกับคุณทวดด้วย เพราะการเข้าป่าไปในช่วงวันป่าปิดนั้นว่าอันตรายแล้ว การเข้าป่าไปคนเดียวในช่วงวันป่าปิดนี้นับว่าอันตรายยิ่งกว่า แต่เพราะในหมู่คนเข้าป่ารู้กันดีว่ามันอันตรายมากแค่ไหน เลยไม่มีใครอยากทิ้งครอบครัวตัวเองเพื่อไปเสี่ยงเข้าป่ากับคุณทวดเลยสักคน นั้นเลยทำให้คุณทวดต้องเข้าป่าไปในช่วงวันป่าปิดคนเดียวอย่างไม่มีทางเลือก 

                ก่อนจะออกเดินทาง คุณแม่ก็ช่วยเตรียมของจำเป็นพวกน้ำ อาหารแห้งและของใช้จำเป็นสำหรับเข้าป่า พร้อมกับยังย้ำเตือนว่าให้คุณทวดระมัดระวังอะไรบ้าง  ตอนที่ตรวจเช็คของครั้งสุดท้ายก่อนจะเข้าป่าไปนั้น คุณพ่อเพิ่งจะได้สติก็เรียกคุณทวดให้เข้าไปหา คุณพ่อถอดตะกรุดแบบห้อยคอส่งให้คุณทวด พร้อมยังให้พวกมีดหมอและธูปเทียนที่มีรูปร่างต่างจากของปกติส่งมาให้ ทั้งยังเตือนสิ่งสำคัญต่างๆ ที่ควรทำเวลาอยู่ในป่าให้ทราบ เนื่องจากตลอดเวลาที่เข้าป่าไปนั้น คุณทวดมีหน้าที่แค่ติดตามคุณพ่อ ไม่เคยเป็นคนนำเลยสักครั้ง พิธีกรรมต่างๆ ที่ควรรู้ คุณทวดจึงเพิ่งรู้ภายในตอนนั้น ก่อนออกไป คุณพ่อสอนคุณทวดสวดคาถาต่างๆ ให้ขึ้นใจ เมื่อแน่ใจแล้วว่าคุณทวดจะไม่มีทางลืมเด็ดขาดก็ยอมปล่อยให้คุณทวดเตรียมเข้าป่า ซึ่งเวลาตอนนั้นก็ปาไปบ่ายกว่าๆ แล้ว 
 
                ‘จงมีสติอยู่ตลอดเวลา อย่าเชื่อในสิ่งที่เห็นและอย่าขานรับในสิ่งที่ได้ยิน’ 
 
                นี่เป็นคำเตือนสุดท้ายของคุณพ่อ ซึ่งฝังแน่นอยู่ในหัวของคุณทวดพอๆ กับพวกคาถาต่างๆ ที่เพิ่งเรียนไป คุณแม่ไม่ได้เดินมาส่งคุณทวดถึงที่ป่า เพียงส่งคุณทวดถึงแค่ชานบ้านเท่านั้น เนื่องจากยังอุ้มท้องอยู่และต้องดูแลคุณพ่อที่ป่วยหนัก คุณทวดเลยขอชายผ้าถุงของคุณแม่มาเก็บไว้กับตัว โดยระมัดระวังไม่ทำให้ชายนี้อยู่สูงกว่าตะกรุดที่สวมคออยู่เด็ดขาด
 
                 ตอนที่เดินออกมาจากบ้านคนเดียวนั้น คุณทวดพกกำลังใจมาเต็มเปี่ยม และหลงคิดว่า วันป่าปิดคงไม่เท่าไหร่หรอก คงแค่ข่าวลือที่ทำให้คนกลัวจนไม่กล้าเข้า เพื่อจะได้พักฟื้นป่า 
 
                แต่ว่า... 
 
                ทันทีที่เดินมาถึงหน้าทางเข้าของป่าหลังหมู่บ้าน คุณทวดกลับเริ่มรู้สึกอยากกลับบ้านขึ้นมาทันทีเลย เพราะแม้ว่าวันนี้จะยังเป็นวันก่อนวันป่าปิด แต่บรรยากาศของป่ากลับเงียบเชียบและดูวังเวงจนน่ากลัวเอามากๆ ขนาดว่าบ่ายแก่ๆ แล้ว ป่ายังดูมืดอยู่เลย

                 แต่เพราะการเข้าป่าครั้งนี้เป็นการหาเก็บของป่าไปขายเพื่อเอาเงินไปซื้อยามาต้มให้คุณพ่อที่ป่วยอยู่ คุณทวดเลยต้องเรียกความกล้าขึ้นมาอีกครั้ง โดยก่อนจะเหยียบเท้าเข้าไปในบริเวณของป่า คุณทวดหยิบพวกเครื่องเซ่นสำหรับไหว้เจ้าป่าเจ้าเขาออกมา จุดธูปบอกกล่าวพร้อมกับขอให้ช่วยปกปักรักษาตัวเองด้วย
 
                 ในตอนแรกที่อธิษฐานบอกไปว่าจะเข้าป่า จู่ๆ ธูปที่จุดไหว้อยู่ก้านก็หักลงมาจนด้ามธูปที่ติดไฟแล้วลวกโดนมือ ตอนแรกคุณทวดคิดว่าก้านธูปคงจะหักก่อนแล้วตั้งแต่ในกระเป๋า เลยหยิบเอาก้านใหม่ขึ้นมาจุด แต่ไหว้ถึงตอนที่บอกว่าจะเข้าป่าไปหาของมาขายก้านธูปก็หักลงมาอีก เป็นอย่างนี้อยู่สามสี่รอบจนคุณทวดเริ่มฉุกใจคิด 
 
                คุณทวดนึกถึงคำบอกเล่าก่อนหน้าที่ในหมู่คนหาของป่าขึ้นมาทันที  หากในตอนแรกที่ทำพิธีขอเข้าป่าแล้วธูปที่จุดอยู่เกิดก้านหักขึ้นมา นั้นหมายความว่าเจ้าป่าเจ้าเขาไม่อนุญาตให้เข้าป่า วันนั้นยังไงก็ห้ามเข้าป่าไปเด็ดขาด แต่เพราะสถานการณ์ทางบ้านไม่ดี คุณทวดเลยไม่มีทางเลือก นอกจากต้องจุดธูปขอขมาเจ้าป่าเจ้าเขาใหม่อีกครั้ง พร้อมกับบอกกล่าวถึงสาเหตุที่ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเข้าป่าไปให้ได้
 
                 ซึ่งคราวนี้ก้านธูปไม่ได้หักเหมือนกับคราวก่อนๆ คุณทวดเลยโล่งใจ ปักธูปลงข้างๆ เครื่องเซ่นและเดินเข้าป่าไปทันที บรรยากาศภายในป่าเงียบและวังเวงกว่าตอนปกติที่เคยเข้ามาบ้าง แต่ก็ยังมีเสียงจากพวกสัตว์ป่าโผล่มาร้องให้ได้ยินและได้เห็นบ้างเป็นบางครั้ง ในตอนแรกๆ คุณทวดเน้นหาของใกล้บริเวณทางเข้าป่าเป็นหลัก แต่เพราะเดินวนหาอยู่นานก็ยังไม่ได้ของดีๆ ไปขาย อาจมีคนอื่นมาเก็บไปแล้วช่วงก่อนวันป่าปิดแล้วก็ได้  

                คุณทวดเลยจำใจต้องเดินลึกเข้าไปในป่าอีกหน่อย แน่นอนว่าการเข้าป่าแต่ครั้ง เพื่อป้องกันการหลงป่า คุณทวดจะทำสัญลักษณ์ทิ้งไว้ทุกระยะ หาจนท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี คุณทวดก็เริ่มมองหาสถานที่ที่จะพักแรมในป่าคืนนี้ เห็นมีต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่สามารถปีนขึ้นไปนอนบนกิ่งได้ คุณทวดเลยหยิบเอาตะปูทองแดงที่ได้จากคุณพ่อออกมาสี่ดอกและตอกลงไปบนพื้นรอบๆ ต้นไม้ที่จะพัก พร้อมกับเอาสายสิญจน์ออกมาพันตะปูที่ตอกลงไปล้อมรอบไว้ โดยในระหว่างที่ทำแบบนี้ปากก็ท่องคาถาที่คุณพ่อสอนให้ตอนก่อนออกมาไปด้วย 
 
                ปกติแล้วทุกครั้งที่เข้าป่ามาและต้องได้ค้างคืน คนที่ทำพิธีแบบนี้จะเป็นคุณพ่อของคุณทวดเสมอ แต่เพราะว่าครั้งนี้คุณทวดต้องเข้าป่ามาคนเดียว คุณทวดเลยต้องเป็นคนทุกอย่างเองหมด หลังตรวจเสร็จอะไรจนแน่ใจแล้วว่าไม่ขาดหรือลืมขั้นตอน สายสิญจน์ที่พันไว้ไม่มีจุดไหนขาด คุณทวดก็เริ่มพักผ่อน เป็นที่รู้กันดีว่าหากจะค้างคืนในป่าควรหลีกเลี่ยงการนอนบนพื้นให้ได้มากที่สุด เพราะอาจจะไปนอนทับทางผีผ่านเข้าได้ ตอนแรกๆ ที่คุณทวดหัดเข้าป่ากับคุณพ่อก็ไม่เข้าใจว่าทางผีผ่านที่ว่าคืออะไรและอันตรายขนาดไหน แต่คุณพ่อของคุณทวดก็ไม่ได้อธิบายอะไรมากนอกจากฝากประโยคไว้ให้คิดต่อเองแค่ว่า “คนปกติดีๆ ที่ไหนเขาจะมาเดินกลางป่าจนรอยเดินกลายเป็นทางขนาดนี้กัน” 

                กลางป่าลึกเป็นเขตอันตราย คนที่จะเข้ามาเดินกันก็มีน้อยมากๆ และตามปกติแล้วกว่าจะเกิดเป็นทางเดินแบบนี้ได้ ต้องใช้เวลาในการเดินวนซ้ำๆ นานมาก  ส่วนอันตรายที่ว่า อาจเป็นเพราะว่าในป่าตอนกลางคืนอาจจะมีงูเงี้ยวเขี้ยวขอเลื่อยมาฉกก็ได้ แต่เคยมีอยู่ครั้งหนึ่งช่วงนั้นเพื่อนของคุณพ่อมาขอเข้าป่าด้วย ก่อนวันที่จะกลับออกจากป่า ไม่รู้ว่าแกไปเก็บกดมาจากไหน หยิบเอาเหล้าที่แอบพกมาออกมาดื่มคนเดียวจนเมา สุดท้ายไม่มีแรงปีกขึ้นมานอนบนต้นไม้ เลยไปหาที่นอนแถวๆ พื้นทางเดิน ซึ่งอยู่นอกวงสายสิญจน์ที่คุณพ่อล้อมเอาไว้ เช้าวันต่อมา ปรากฏว่าเพื่อนคุณพ่อคนนั้นนอนใหลตายไปแล้ว เรื่องนี้เลยกลายเป็นเรื่องเตือนใจสำหรับคุณทวดทุกครั้งเวลาเข้าป่า 
 
                หลังกินอิ่ม ก่อนจะปีนขึ้นต้นไม้ คุณทวดหยิบเอาธูปหน้าตาประหลาดที่คุณพ่อให้ออกมาจุดและสวดคาถาบทสุดท้าย โดยกฎของการจุดธูปดอกนี้คือ เมื่อปักธูปไว้กับพื้นแล้ว ห้ามลงมาจนกว่าจะถึงตอนเช้า ทำอะไรเรียบร้อยแล้ว คุณทวดก็ปีนขึ้นไปนอนบนกิ่งไม้ วันสุดท้ายก่อนเข้าช่วงวันป่าปิด ยังมีเสียงสัตว์กลางคืนส่งเสียงร้องอยู่บ้าง คุณทวดฟังเสียงร้องนี้จนเคลิ้มหลับไป เช้าวันรุ่งขึ้น ภายในป่าเงียบเชียบ ไม่มีแม้แต่เสียงนกร้องในตอนเช้าเหมือนเมื่อวาน พอคุณทวดตื่นก็รีบปีนลงจากต้นไม้ จังหวะที่ลงมาแล้วเริ่มเดินไปม้วนเก็บสายสิญจน์ คุณทวดสังเกตเห็นเหมือนรอยเท้าของตัวอะไรสักอย่างเดินวนอยู่รอบๆ วงสายสิญจน์ที่ม้วนไว้ ทำเอาคุณทวดรู้สึกขนลุกขึ้นมา แต่เพราะรอยมันไม่ชัดเจน คุณทวดเลยคิดว่าคงเป็นพวกสัตว์ป่าที่ออกมาหากินตอนกลางคืน เลยรีบเก็บของและออกเดินหาของป่าต่อ ตั้งเป้าไว้ว่ายังไงวันนี้ก็ต้องหาของไปขายให้ได้มากพอค่ายาของคุณพ่อจะได้รีบออกจากป่าเร็วๆ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่