[เที่ยวเองเวียดนาม] ไม่โดนโกงแสดงว่ายังมาไม่ถึง รวมมิตรคำแนะนำก่อนเที่ยวเวียดนาม

7 ปีที่แล้วไปเวียดนามเหนือ (ฮานอย, ฮาลองเบย์) ครั้งแรกกับทัวร์ มีไกด์ดูแล มีข้าวให้กิน มีรถให้นั่ง ครั้งนั้นไม่ได้ประทับใจอะไรมากมาย แต่ก็ไม่มีเรื่องให้หงุดหงิดใจเวลาเที่ยวมากขนาดนี้... ปีนี้ซ่า อยากลองไปเที่ยวเวียดนามด้วยตัวเอง เปลี่ยนจากเวียดนามเหนือมายังเวียดนามใต้ที่ โฮจิมินห์ซิตี้ (ไซกอน) ขอบอกเลยว่าทริปเวียดนามใต้รอบนี้ทำให้เราตัดสินใจแล้วว่าถ้าจะไปเที่ยวในประเทศที่กำลังพัฒนา/ยังไม่พัฒนาในอนาคต จะยอมไปกับทัวร์เพื่อที่จะได้ไม่ต้องหงุดหงิดเมื่อเจอเรื่องแย่ๆโดยเฉพาะเรื่อง "การหลอกลวงนักท่องเที่ยว"

บทความนี้เราจะมาแชร์ประสบการณ์การโดยหลอกแบบสดๆร้อนๆที่เวียดนามใต้ หลังจากวิกฤตโควิด 2019 ที่ทำให้พ่อค้าแม่ขายกระเหี้ยนกระหือรืออยากรีดเงินจากกระเป๋านักท่องเที่ยวแบบน่าเกลียด รวมทั้งคำแนะนำที่ได้รับมาจากเพื่อนคนเวียดนามใต้ว่าควรปฏิบัติตัวอย่างไรบ้าง

เรื่องที่ 1: การเดินทางโดยแท็กซี่

เรื่องนี้ไม่เชิงถูกโกง เรียกว่าเสียรู้ดีกว่า วันแรกที่ถึงสนามบินเราต้องเดินทางไปยังโรงแรม ตอนแรกกดเรียก Grab เห็นราคาค่าโดยสารขึ้นประมาณ VND 107,000 (~170 บาท) แต่ว่าไม่มีรถมารับ รอนานมากจนตัดสินใจเดินไปยังจุดเรียกแท็กซี่ที่มีคนจัดคิว เดินไปถึงคนจัดคิวถามก่อนเลยว่าพูดภาษาเวียดนามได้ไหม สงสัยเช็คว่าเราเป็นต่างชาติ เราแจ้งคนจัดคิวไปว่าขอแท็กซี่มิเตอร์นะ เขาก็พาเราไปยังรถที่จอดอยู่และบอกว่ามีมิเตอร์หน้ารถ เดินทางถึงโรงแรมค่าโดยสารพุ่งไป VND 300,000 เราตกใจมากและคิดว่าน่าจะโดนมิเตอร์ที่ปรับมาเพื่อโกงแน่ๆ พอถึงโรงแรมเราให้แฟนนั่งในรถและเรารีบออกไปที่ Reception ของโรงแรมถามราคากับเจ้าหน้าที่ว่าค่าโดยสารมายังโรงแรมปกติประมาณเท่าไหร่ เจ้าหน้าที่แจ้งว่า VND 250,000 เราก็เลยอุ่นใจขึ้นมาหน่อยว่าน่าจะเป็นราคาปกติที่คนมากันเลยจ่ายไปสามแสนตามที่มิเตอร์บอก พอถึงโรงแรมก็นั่งกดดูใน Grab เล่นอีกรอบ เลยไปเจอว่าหนึ่งแสนนั่นคือรถ 4 ที่นั่ง ถ้าเป็นราคาประมาณสองแสนห้าคือสำหรับ 7 ที่นั่ง เลยมารู้ว่าคนจัดคิวที่สนามบินเลือกรถขนาดใหญ่ให้เราทั้งๆที่มีผู้โดยสารแค่ 2 คน

คำแนะนำ:
1. สำหรับการเดินทางในเวียดนาม สะดวกที่สุดคือใช้แอพ Grab เรียกรถ เนื่องจากบัญชี Grab ที่ติดตั้งในมือถือด้วยเบอร์โทรศัพท์ไทยสามารถใช้ได้ในเวียดนาม (และอีกหลายประเทศใกล้เคียง) โดยที่ไม่ต้องลงแอพใหม่ ราคาใน Grab ถูกกว่าราคาแท็กซี่ข้างนอก
2. หากไม่สามารถใช้ Grab ได้ ให้เรียกรถแท็กซี่ที่ยี่ห้อ VinaSun หรือ Main Linh สามารถดูยี่ห้อได้จากสติกเกอร์ข้างรถ สองยี่ห้อนี้เชื่อถือได้ แต่ต้องระวังเวลาเรียกเพราะอาจจะมีรถแท็กซี่ปลอมที่โกงและติดโลโก้คล้ายคลึงกับสองยี่ห้อนี้


เรื่องที่ 2: ของขายข้างทาง

เรื่องนี้ถูกโกงแบบเจ็บใจมาก หลังจากเก็บของที่โรงแรมเสร็จก็เดินชมเมืองไปเที่ยวที่พิพิธภัณฑ์ต่อ ระหว่างการเดินทางเท้าพบว่าการข้ามถนนที่เวียดนามนั้นยากมากเพราะมอเตอร์ไซค์เป็นล้านนนนนน และไม่หยุดให้คนข้ามตรงทางม้าลาย ตอนที่เรากำลังจะข้ามถนนก็มีพ่อค้าหาบเร่ขายมะพร้าวเดินมารอข้ามใกล้ๆและเขาก็ช่วยพาเราข้ามถนน เขาบอกว่าเขาหาบเร่เหนื่อยมากเพราะมันหนัก และลุงก็เอาหาบมาวางบนไหล่แฟนเราเพื่อให้ลองน้ำหนักดูว่าหาบมันหนักจริง เราเห็นว่าเขาดูใจดีเป็นมิตรก็เลยอยากจะอุดหนุนมะพร้าวซักลูก พอเขาเฉาะมะพร้าวมาก็บอกว่า VND 150,000 เราที่ไม่รู้เรทราคามะพร้าวเลยจ่ายเงินไป และอยู่ๆลุงแกก็เฉาะลูกที่สอง (ไปกันสองคน) ทั้งๆที่เราบอกว่าเอาแค่ 1 ลูก พอรับลูกที่สองมาก็นึกว่าแกหมายถึง 2 ลูก 150,000 แต่ไม่ใช่เลย แกบอกว่าราคาต่อลูก!! เมื่อคิดเป็นเงินไทยทั้งหมดคือ 500 บาทสำหรับมะพร้าวโง่ๆแค่ 2 ลูกข้างถนนที่ไม่ได้ศิวิลัยอะไรเลย!!! จากนั้นเราก็บอกแกว่าไม่เอาและยื่นมะพร้าวคืน แต่แกไม่ยอมรับคืน เราเลยบอกปัดไปว่างั้นที่จ่ายไปแสนห้าคือสำหรับสองลูกละกัน แล้วเราก็เดินหนีออกมา หลังจากนั้นลุงแกก็ไม่ได้ตามเรามาอีก ราคาที่จ่ายไปคือบวกไปสิบเท่าจากราคามะพร้าวที่คนเวียดนามซื้อขายกันเอง

จุดพีคของเรื่องนี้คือวันที่สองเราก็เดินผ่านย่านเดิม และเจอลุงหาบมะพร้าวคนเดิมกำลังเดินชาร์จใส่นักท่องเที่ยวสองคน (เหมือนเราเป๊ะเลย!!!) และก็ทำท่าเป็นมิตรชวนคุยแนะนำเรื่องตึกสวยๆที่สองคนนั้นยืนมองอยู่ ลุงยืนอยู่ใกล้ๆสองคนนั้นประมาณ 5 นาทีเพื่อรอว่าสองคนนั้นจะซื้อมะพร้าวหรือไม่ โชคดีของสองคนนั้นที่ไม่ได้ซื้อและไม่โดนหลอกเหมือนเรา 

คำแนะนำ:
1. หากคุณเป็นคนที่ใจดี ชอบช่วยเหลือผู้อื่น และใจอ่อนเวลาเห็นคนจนหรือคนที่ดูน่าสงสาร โปรดละทิ้งความใจงามบริสุทธิ์ที่คุณมีอยู่ไว้ชั่วคราว และปิดตาเดินผ่านคนพวกนี้ไป เพราะที่เวียดนามคนพวกนี้วางแผนมาอย่างดีเพื่อต้มตุ๋นนักท่องเที่ยวอย่างคุณด้วยความรันทดน่าสงสาร เราไม่อยากจะ Stereotype ว่าทุกคนเป็นคนหลอกลวงแต่ขอให้ระวังตัวให้มากๆ
2. ไม่ควรซื้อของจากร้านขายของชำหรือพ่อค้าแม่ค้าข้างถนน โดยปกติเขาจะไม่ติดราคาไว้ เมื่อเขาเห็นว่าคุณเป็นนักท่องเที่ยวเขาจะขึ้นราคาไปหลายเท่าทันที่ แม้จะมีราคาติดไว้แต่เขายังสามารถที่จะขึ้นราคาได้ตามใจโดยที่ไม่มีความรู้สึกผิดอะไร หรือไม่ทอนเงินให้คุณตามที่ควรจะได้รับและตีมึนไม่ทอนไปเลย เหตุการณ์เหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับแค่นักท่องเที่ยว ขนาดเพื่อนคนเวียดนามใต้ของเราไปเที่ยวที่เวียดนามเหนือ พอคนขายของรู้ว่าเป็นคนใต้จากสำเนียง เขาก็ขึ้นราคาของเหมือนกัน ขนาดคนในประเทศสัญชาติเดียวกันยังหลอกกันได้แบบไม่รู้สึกรู้สาอะไร เราที่เป็นนักท่องเที่ยวโดนหลอกจึงเป็นเรื่องปกติ



เรื่องที่ 3: แซงคิวคือเรื่องธรรมชาติ

ปกติจะได้ยินชื่อเสียงเรื่องการแซงคิวมาจากประเทศจีน แต่พอมาถึงเวียดนามก็โดนแซงคิวเหมือนกัน และไม่ได้โดยแค่รอบเดียวแต่โดนทุกรอบที่ต้องต่อแถว ในทริปนี้เราต่อแถวสองรอบเพื่อซื้อตั๋วเข้าพิพิธภัณฑ์และต่อแถวเพื่อซื้อชาไข่มุกไต้หวัน สิ่งที่เกิดขึ้นที่พิพิธภัณฑ์คือขนาดมีเจ้าหน้าที่คอยช่วยเหลือผู้เยี่ยมชมและจัดคิวให้เรียบร้อย ก็ยังมีลุงเดินตีมึนมาแทรกแถวข้างหน้าเราและเจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้เอะใจอะไรปล่อยผ่านไปเหมือนเป็นเรื่องปกติ เราที่ไม่อยากจะบวกมีเรื่องเพราะสื่อสารไม่ได้ก็ปล่อยเลยตามเลย รอบที่สองกำลังต่อแถวรอสั่งชา ก็มีคุณแม่ลูกสองเดินเข้ามายืนอยู่ในระดับเดียวกับเราแบบจงใจตีมึนทำเป็นว่าต่อแถวทั้งๆที่กำลังแซง ครั้งนี้เราไม่ยอมเลยก้าวไปให้ชิดกับคนด้านหน้ามากขึ้น (เชิดเข้าไว้!) จนคุณแม่คนนั้นเห็นท่าไม่ดีเลยเดินหันหลังไปต่อหลังเราแทน 

คำแนะนำ
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าคนเวียดนามส่วนใหญ่เป็นคนที่ไม่มีวินัยและไม่มีระเบียบ มองว่าการแซงแถวเป็นเรื่องปกติที่ทำกันได้ เตรียมใจไว้หน่อยว่าคุณอาจจะโดนแซงแถวเมื่อมาเที่ยวที่นี่ แต่ก็ยังดีที่ว่าเรื่องการแซงแถวไม่ได้เสียหายในเชิงการเงินใดๆ



คำแนะนำอื่นๆที่ได้จากเพื่อนเวียดนาม
1. การหยิบเงิน: เวลาซื้อของและหยิบเงินออกจากกระเป๋าเงิน ควรหยิบแบบแอบๆไม่ควรกางธนบัตรหลาออกมาให้ฝ่ายตรงข้ามเห็น เนื่องจากพ่อค้าแม่ค้าบางคนมือไวฉกธนบัตรจากมือออกไปเลย
2. กระเป๋า/กล้อง: ระวังโดนฉกกระเป๋า ไม่ควรใช้กระเป๋าถือสะพายไหล่ ควรใช้แบบที่คาดตัวหรือกระเป๋าเป้แทน หากถือกล้องควรมีสายคล้องคอตลอดเวลา
3. มือถือ: หากใช้มือถือดูทาง ควรหันหน้าเข้าตึกหรือที่อับเพื่อดู ไม่ควรหันหน้าถือมือถือเข้าถนนเนื่องจากอาจถูกกระชากมือถือได้
4. ซื้อของต้องต่อราคา: ในกรณีที่ไปซื้อของตามตลาดให้ต่อราคา 30-40%
5. วินมอเตอร์ไซค์/สามล้อ: ตามฟุตบาธจะมีลุงเรียกเราให้ใช้บริการวิน ไม่ต้องไปสนใจ ถ้าจะโดยสารให้เรียก Grab แทน เพราะถ้าใช้บริการจะโดนโก่งราคาแน่นอน
6. ระวังโดนถ่ายภาพ/ถ่ายภาพคนอื่น: อันนี้คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเราที่เวียดนามเหนือ เราโดนช่างกล้องเวียดนามถ่ายภาพตอนเผลอและเอาไปอัดภาพ หลังจากนั้นเขาเดินมาขายรูปของเราในราคาที่สูง นอกจากนี้ยังมีการโกงโดยที่คนโกงจะไปยืนอยู่ในวิวรูปที่เราถ่าย เมื่อเราถ่ายติดเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ เขาจะเดินเข้ามาโวยวายให้เราจ่ายเงิน 

ทั้งหมดนี้ก็คือประสบการณ์การโดนโกงแย่ๆของเราที่เวียดนาม มาบอกไว้เป็นข้อควรระวังให้เพื่อนๆ หากใครอยากอ่านความโชคร้ายของคนไทยที่โดนโกงเพิ่มเติมก็สามารถเข้าไปดูได้ในกระทู้ เคยโดนโกงที่เวียดนามยัง...? มาเล่าสู่กันฟัง ที่ตั้งเมื่อ 5 ปีที่แล้ว... ใช่ค่ะ ผ่านไป 5 ปี กลโกงที่เวียดนามก็ยังเข้มข้นเหมือนกัน

หากเพื่อนๆอ่านแล้วรู้สึกว่าเรามีอคติกับเวียดนาม เพื่อนๆเข้าใจถูกต้องแล้วค่ะ เราไม่ได้รู้สึกดีกับการโดนหลอกลวงที่ผ่านมา ทริปครั้งนี้คือบทเรียนและประสบการณ์ในชีวิตเลย ขอพักชีวิตก่อนว่าจะไม่ไปเหยียบเวียดนามอีกสักระยะ ลึกๆแล้วไม่ได้ถึงกับเกลียดประเทศหรือคนเวียดนาม เพราะเรามีเพื่อนเวียดนามที่น่ารักและนิสัยดีอีกหลายคน และมีสถานที่งดงามอีกหลายแห่งที่ยังไม่ได้เห็นกับตาตัวเอง 

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและหวังว่าเพื่อนๆจะมีภูมิคุ้มกันหากต้องไปเที่ยวเวียดนามด้วยตัวเอง ขอให้ไม่โดนหลอกน้า😍

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่