เราทะเลาะกับเพื่อนสนิทมากๆค่ะ ตอนนี้เราควรทำยังไงดีคะ?

[code]สวัสดีค่ะ ตามหัวข้อเลยค่ะ ช่วงนี้เราทะเลาะกับเพื่อนสนิทของเรา
[/code]เรื่องคือเรากับเพื่อนคนนี้รู้จักกันตอนม.ปลายค่ะ เราสองคนก็ได้คุยกันรู้จักกันจนสนิทกันค่ะ เราเป็นคนไว้ใจคนอื่นยากมากๆเพราะเราเคยโดนบุลลี่ตอนช่วงม.ต้นค่ะ จนเรามาเจอเพื่อนคนนี้ เขาดูเข้าใจเราดีและยอมรับในสิ่งที่เราเป็น ประมาณนั้นเลยค่ะ

ก่อนอื่นเราขออนุญาตเล่าเรื่องตอนม.ต้นนะคะ ตอนนั้นเราโดนบุลลี่ค่ะ สิ่งที่โดนคือโดนพูดลับหลัง โดนพูดใส่ไข่ โดนพูดแซะ โดนเมิน โดนล้อค่ะ เรื่องที่แย่หน่อยคือเรื่องโดนเมินกับโดนแซะค่ะ ตอนนั้นเราย้ายมาจากอีกโรงเรียนค่ะ ซึ่งตอนแรกที่เราโดนพูดแซะเราไม่ได้คิดว่าเพื่อนจะพูดตามความรู้สึกของเขาจริงๆค่ะ เราไม่ได้คิดอะไรเลยคิดว่าเขาพูดแซวเราเล่นเฉยๆ เพราะเพื่อนหลายคนก็ทำแบบนั้น เราอยู่แบบโดนแซะแบบนั้นมาได้1เทอมค่ะ จนวันนึงเราไปได้ยินเพื่อนกลุ่มนั้นพูดเรื่องเราลับหลังกันค่ะ ตอนนั้นเราไม่ได้ตั้งใจจะได้ยินเลย เราแค่เดินไปเติมน้ำแล้วดันไปได้ยิน เราช็อคมากเราพึ่งมารู้ตัวว่าเพื่อนเขาไม่ชอบเราขนาดนั้นเลย หลังจากวันนั้นที่เรารู้เราเลยเก็บเงียบตามนิสัยของเรา พอเรารู้ก็เหมือนเรายิ่งอึดอัดจนแสดงออก จนสุดท้ายเพื่อนกลุ่มนั้นก็เริ่มเมินเราค่ะ เมินแบบที่เราพูดอะไรก็ไม่ตอบ ถามอะไรในไลน์ก็ข้ามคำถามเราไป เราเป็นแบบนั้นมา1ปีเต็มจนสุดท้ายขอเคลียร์กันค่ะ แต่เคลียร์กันแล้ว ก็มีการบุลลี่ครั้งที่2เกินขึ้นอีกค่ะ ครั้งที่2มันเกี่ยวกับทักษะการเล่นกีฬาของเรา เพราะเราไม่เก่งค่ะ เขาบอกว่าเราทำทีมแพ้ บางทีเราได้รับส่งลูกบอลเขาก็ตะโกนใส่ ทั้งๆที่เรารับลูกบอลจากทีมอื่นมาได้ บางครั้งเราวิ่งไม่ทัน เขาก็บอกว่าเราแสดง เรากลายเป็นคนกลัวการเล่นกีฬาต่อหน้าคนอื่นตั้งแต่ช่วงนั้นมาค่ะ และตอนนั้นก็มีอีกเรื่องคือรูปร่างของเรา เราเคยอวบค่ะ เขาชอบบอกให้เราไปลดน้ำหนักให้เราจะได้ผอมๆ พวกเขาจะได้ยอมรับค่ะ เราเลยไปลดน้ำหนัก จาก53กิโลมาถึง44กิโลค่ะ ในระยะเวลาเดือนกว่า เราแทบไม่ทานอะไรเลย แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ยอมรับค่ะ ช่วงนั้นเราผอมลงมากๆแรงก็หายไปเพราะไม่ทานข้าว ต้องมาโดนเพื่อนตะโกนใส่คาบพละอีก เราเลยซึมค่ะ แต่ไม่ใช่ซึมเศร้านะคะ พอคาบพละช่วงนั้น คุณครูให้แบ่งทีมเอง เราได้อยู่คละกันกับเพื่อนกลุ่มนั้นค่ะ แต่เราขอนั่งรอดูอยู่ข้างสนามแทน แต่พวกคุณรู้ไหมคะ ว่าเขาตะโกนใส่เราเหมือนเดิมค่ะ บอกว่าทำไมเราไม่เก็บบอลทำตัวไร้ประโยชน์ พอเราได้ยินแบบนั้นก็วิ่งเก็บบอลค่ะ บางทีก็โยนออกไปอีกฝั่งเราก็ต้องวิ่งไปเก็บค่ะ ทั้งๆที่มีคนไม่ลงดลเล่นคนอื่นนอกจากเรา แต่ตอนนั้นเราแค่คิดว่าถ้าเราทำแบบนั้นเราจะไม่โดนตะโกนใส่ให้เราเสียความรู้สึก เราเลยทำค่ะ พอเรื่องการเล่นกีฬาของเราไม่ได้เป็นประเด็นขึ้นมาก็มีเรื่องใหม่เข้ามาค่ะ นั้นก็คือเราการเรียนของเรา เราไม่ใช่คนที่เรียนดีเลิศได้ท็อปทุกวิชา แต่เราเรียนอยู่ในระดับดีค่ะ เราสามารถเข้าใจเนื้อหาต่างๆได้ค่อนข้างไว เวลาครูถามอะไรในห้องเราก็จะยกมือตอบคำถามที่เราตอบได้ค่ะ และเราชอบเรียนวิชาชีวะมากๆ ตอนนั้นเราเลยยกมือตอบครูแทบทุกคำถามเลย จนเขาเอามาแซะเราค่ะ วิชาที่เราชอบและเรียนได้ดีคือชีวะ และวิชาที่เราอ่อนมากๆคือฟิสิกส์กับคณิตค่ะ แน่นอนว่าสองคาบนั้นเราไม่ค่อยได้ยกมือตอบเพราะเรายังไม่เข้าใจดีเท่าไหร่ค่ะ หรือทำไม่ได้บ้าง แต่เพื่อนกลุ่มนั้นก็พูดขึ้นมาตลอดว่าเราทำได้ ซึ่งผลที่ตามมาคือเราต้องตอบครูค่ะ พอเราตอบผิดบ่อยๆคราวนี้ครูก็บ่นค่ะ และเราโดนบ่อยมากจนสุดท้ายเรากลายเป็นคนกลัวการยกมือตอบค่ะ ยกมือถามก็ไม่กล้าค่ะ กลัวไปแล้ว มันเป็นการกลัวที่พอคิดในหัวว่าตัวเองยกมือในห้องเราก็ตัวสั่นไปเลยค่ะ จนสุดท้าย เราได้ไปหาหมอเพราะเราซึมมาก และกังวลกับสิ่งรอบตัวมากเกินไปจนรู้สึกกลายเป็นว่ากลัวคนเยอะๆค่ะ กลัวการพูดกับคนที่ไม่รู้จัก มีอาการหอบ ใจสั่น ตัวสั่น เหงื่อออกตลอดตอนออกไปนอกบ้าน สุดท้ายเราเป็นโรคแพนิกค่ะ(ปัจจุบันรักษาอยู่)

เราไม่กล้าเปิดใจให้เพื่อนคนไหนอีกเลยค่ะ จนกระทั่งเพื่อนคนนี้ค่ะ เขามาทักเราก่อนและคุยกันค่ะ เราคุยกับเขาตอนแรกเรารู้สึกสบายใจจนน่ากลัวค่ะ เพราะเราไม่เคยคุยกับใครครั้งแรกแล้วสบายใจขนาดนั้นเลยค่ะ จนเรายอมเล่าเรื่องตอนโดนบุลลี่ให้เพื่อนคนนี้ฟังค่ะ แต่ยังไม่กล้าบอกเรื่องโรคของเรา เขาตอบเรามาประมาณว่า เรื่องนั้นมันผ่านมาแล้ว ตอนนี้เราไม่โดนแล้วเราก็ไม่ต้องคิดมาก ประมาณนี้ค่ะ ซึ่งเขาบอกเราตบอดว่าถ้าเขาทำอะไรแล้วมันทำให้เราไม่สบายใจ หรือทำให้เรานึกถึงตอนบุลลี่ครั้งนั้น ก็ให้บอกเขาไปตามตรงค่ะ 

พวกเราคุยกันมาจนสนิทมากๆในระดับนึงค่ะ เราตัดสินใจบอกเขาว่าเราเป็นโรคแพนิก แต่คำตอบที่ได้คือไม่ใช่แบบที่เราคิดค่ะ เขาตอบเรามาว่า บ้าหรอไม่ได้เป็น เราก็ไปต่อไม่ถูกเลย เราคิดว่าเขาจะยอมรับได้ว่าเราเป็น แต่เขาตอบเรามาแบบนั้นค่ะ พอเขารู้ยังมีการพูดอีกว่าจะพาเราไปปล่อยกลางตลาด ไม่ก็พาเราไปขึ้นเรือแล้วปล่อยเราไว้กลางทะเล(เรากลัวน้ำลึกๆมืดๆด้วยค่ะ) ซึ่งเขารู้ทั้งหมดแล้ว เราก็ไม่ค่อยโอเคนะคะ แต่คำว่าเพื่อนมันค้ำคอเราอยู่ เราเลยพยายามไม่เอาเก็บไปคิดค่ะ เขาอาจจะแค่แซว

และเรื่องทะเลาะกันคือยู่ตรงนี้ค่ะ เขาชอบแซวเรา ทั้งเอาเรื่องอาการของโรค อาการกลัวของเรา บางครั้งอยู่ดีๆก็ด่าเราขึ้นมาแล้วก็ขอโทษ ตอนแรกเราก็ขำๆนะคะ แต่เพราะเราเคยเจอเรื่องแบบนี้ในอดีตมาก่อน บวกกับเรายังไม่ได้หายขาดจากอาการแพนิกต่างๆ คำพูดแซวแบบนั้นของเพื่อคนนี้เหมือนเป็นตัวกระตุ้นความรู้สึกกลัวสั่นของเราค่ะ ด้วยความที่เรากลัวว่าต่อไปเราจะรับกับคำพูดแบบนั้นไม่ได้ เราเลยตัดสินใจบอกไปตามตรงค่ะ เพราะเขาเคยพูดว่าเขารับฟังเราเสมอ แต่เขาดันทะเลาะเฉยเลยค่ะ

เขาบอกว่าเพราะเราสองคนไม่สนิทกันมากพอเลยแซวไม่ได้ เรื่องนี้มันเป็นเรื่องที่ไม่ควรเก็บมาคิดไหม เป็นอะไรมากไหม ประสาท-หรอ ไปหาหมอไหม ตอนนั้นเราสตั้นมาก เรามืสั่นไปเลย เขาคิดแบบนั้นจริงๆหรอ เรากลั้นใจพิมพ์เรื่องตอนโดนบุลลี่ให้เจาอีกรอบค่ะ และก็บอกว่ามันฟีบเหมือนการSelf defend ซึ่งเขาก็ไม่โอเคค่ะ สักพักพิมพ์มาว่าจะตัดเพื่อน ตอนนั้นเรารู้สึกเหมือนเราอยากร้องไห้แต่ร้องไม่ได้ เราตกใจ เรามือสั่นตัวสั่นไปหมดเลย เรากลัวมากกลัวว่าเขาจะตัดเพื่อน ซึ่งเขาพิมพ์มาแบบนั้นแล้วก็บอกว่าอย่าให้ถึงขั้นนั้นนะคะ ยังไม่ได้ตัด แต่คือเรากลัวมากค่ะ เขาบอกว่าถ้าไม่อยากให้ตัดก็จบเรื่องนี้ เขาไม่คิดไม่ติดอะไรกับเราค่ะ เราก็เลยยอมจบ แล้วพอมพ์หาเขาแบบปกติ แต่เขาไม่อ่านไม่ตอบ เราก็เลยเหมือนอาการจะแย่ลงไปค่ะ 

เมื่อเช้าเราต้องขับรถไปที่มอเองทั้งๆที่ตอนนั้นพอเห็นเพื่อนไม่อ่านข้อความตัวเราสั่นเพราะกลัวอะไรก็ไม่รู้ มันเป็นความรู้สึกว่ากลัวในหลายๆเรื่องพร้อมกันค่ะ มันปนกันไปหมด ตแนนั้นจริงๆเราควรนั่งรอให้ใจเย็นก่อน แต่เราก็ต้องรีบไปสอบ กลายเป็นว่าเราเหม่อค่ะ มือก็สั่น เหงื่อก็ออก ในหัวมีแต่เรื่องเพื่อนคนนี้ จนเกือบรถล้ม ดีที่เราดึงสติตัวเองทัน กลายเป็นว่าตอนนั้นเราดีงสติได้แต่ได้มีเรื่องตกใจรถเกือบล้มมาอีกเรื่องค่ะ ตอบสอบก็พยายามโฟกัสกับข้อสอบแต่ก็หลุดโฟกัสบ่อยค่ะ อาจารย์เข้ามาทักสองสามรอบ นึกว่าเราทำข้อสอบไม่ได้ 

จนถึงตอนเย็นเขาก็ยังไม่ตอบ เราก็กลัวที่จะทักไปหา เราต้องทำยังไงดีคะ?
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่