พาณิชย์ ช็อกอีก! 7เดือน ธุรกิจเจ๊ง 7.5พันราย ปลายปียอดตั้งธุรกิจใหม่ลด
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7236728
พาณิชย์ เผย 7 เดือน ธุรกิจเจ๊ง 7.5 พันราย เพิ่มขึ้น 24 เปอร์เซ็นต์ คาดปลายปียอดตั้งธุรกิจใหม่ชะลอ คาดการณ์ทั้งปีอยู่ที่ 68,000-72,000 ราย
วันที่ 29 ส.ค.2565 นาย
ทศพล ทังสุบุตร อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยถึงสถิติการจดทะเบียนธุรกิจ เดือนก.ค.2565 ว่า มีธุรกิจตั้งใหม่ 5,858 ราย ลดลงจากเดือนก่อนหน้า 12% ทุนจดทะเบียน 29,111 ล้านบาท และหากเทียบกับเดือนก.ค.ปี 2564 เพิ่มขึ้น 3.48% สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 518 ราย คิดเป็น 9% รองลงมา คือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 343 ราย คิดเป็น 6% และอันดับ 3 คือ ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร 268 ราย คิดเป็น 4% ตามลำดับ ซึ่งส่วนใหญ่70% มีทุนจัดตั้งไม่เกิน 1 ล้านบาท
ธุรกิจเลิกกิจการมี 1,543 ราย เพิ่มขึ้น 5.47% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า ทุนจดทะเบียนเลิก 7,148 ล้านบาท และหากเทียบกับเดือนก.ค.2564 เพิ่มขึ้น 35.5% สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 151 ราย คิดเป็น 10% รองลงมาคือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 78 ราย คิดเป็น 5% และธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร 54 ราย คิดเป็น 3% ตามลำดับ
ส่วนการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวในเดือนก.ค.2565 มีการอนุญาตให้คนประกอบธุรกิจรวม 39 ราย แบ่งเป็นใบอนุญาตประกอบธุรกิจ 16 ราย และหนังสือรับรองประกอบธุรกิจ 23 ราย เม็ดเงินลงทุนรวม 3,675 ล้านบาท ส่งผลให้มีจำนวนคนต่างชาติประกอบธุรกิจ 323 ราย เพิ่มขึ้น 16% เงินลงทุน 73,624 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 65% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
นักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในไทยมากที่สุด 3 สัญชาติแรก ได้แก่ ญี่ปุ่น จำนวน 11 ราย เงินลงทุน 2,734 ล้านบาทรองลงมา ได้แก่ สิงคโปร์ จำนวน 7 ราย เงินลงทุน 91 ล้านบาท และสหรัฐอเมริกา จำนวน 5 ราย เงินลงทุน 330 ล้านบาท ตามลำดับ
นาย
ทศพล กล่าวต่อถึงสถิติจดทะเบียนช่วง 7 เดือนแรกปี 2565 (ม.ค.-ก.ค.) ว่า มีธุรกิจตั้งใหม่ 46,159 ราย ลดลง 1.12% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทุนจดทะเบียน 309,716 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 111% และธุรกิจเลิกกิจการ 7,552 ราย เพิ่มขึ้น 24.42% ทุนจดทะเบียน 65,660 ล้านบาท ส่งผลให้ ณ 31 ก.ค.65 มีธุรกิจที่ดำเนินกิจการอยู่ทั่วประเทศ 846,797 ราย มูลค่าทุน 20.32 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด/ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล จำนวน 203,402 ราย คิดเป็น 24.02% บริษัทจำกัด จำนวน 642,036 ราย คิดเป็น 75.82% และบริษัทมหาชนจำกัด จำนวน 1,359 ราย คิดเป็น 0.16% ตามลำดับ
จากข้อมูลการจดทะเบียนจัดตั้งใหม่ของนิติบุคคล 3 ปีย้อนหลัง (ปี 2562-2564) พบว่า จำนวนการจดทะเบียนจัดตั้งใหม่จะมีแนวโน้มลงลงในช่วงปลายปี จากปัจจัยดังกล่าวข้างต้นกรมฯ คาดการณ์การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่ตลอดทั้งปี 2565 อยู่ที่ประมาณ 68,000-72,000 ราย
คนไทยกระอัก!แบกภาระค่าไฟปรับขึ้นแน่ก.ย.นี้ทั้งที่กำลังการผลิตล้นระบบ!
https://www.dailynews.co.th/articles/1408045/
อดีตรมว.พลังงาน สับ!รัฐบาลประยุทธ์ไม่เข้าใจโครงสร้างพลังงานทั้งระบบจึงเละเทะหมด เหน็บประเทศไทยมี “อภิมหาเศรษฐี” จากธุรกิจไฟฟ้า แต่กองทุนน้ำมันฯ-กฟผ.แบกหนี้รวมกัน 2 แสนล้านฯ กำลังผลิตไฟล้นระบบ แต่คนไทยต้องใช้ไฟราคาแพง!...
แพงทั้งแผ่นดินจริงๆ นอกจากข้าวของเครื่องใช้พาเหรดกันขึ้นราคา ค่าเดินทางต่างๆแพงขึ้น ค่าพลังงาน (ก๊าซหุงต้ม-น้ำมัน)ปรับตัวสูง และสิ่งที่กำลังจะแพงตามมา คือ
“ค่าไฟฟ้า” งวดเดือนก.ย.-ธ.ค.65 จากการปรับขึ้นค่า
“เอฟที” หรือค่าไฟฟ้าผันแปรจากต้นทุนการผลิตไฟฟ้าที่ไม่สามารถควบคุมได้ เช่น ราคาเชื้อเพลิง-อัตราเงินเฟ้อ-อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ โดยจะปรับขึ้นอีก 68.66 สตางค์ต่อหน่วย จากงวดก่อนหน้านี้ กลายเป็ 93.43 สตางค์ต่อหน่วย ส่งผลให้คนไทยต้องจ่ายค่าไฟในอัตรา 4.72 บาทต่อหน่วย
จากปัญหาดังกล่าว ทีมข่าว Special Report ได้สนทนากับอดีตรมว.พลังงาน เกี่ยวกับสาเหตุและแนวทางแก้ไขปัญหาพลังงาน โดยเฉพาะค่าไฟฟ้าที่จะปรับขึ้นในเดือนก.ย.นี้
ต้นเหตุของปัญหามาจาก 3 เรื่อง
“ผมอยากจะหัวเราะทั้งน้ำตา เนื่องจากปริมาณไฟฟ้าในประเทศล้นอยู่ในระบบถึง 50% เพราะ 8 ปีที่ผ่านมามีการให้ใบอนุญาตกันไว้เยอะ เรามีอภิมหาเศรษฐีจากธุรกิจไฟฟ้า แต่กองทุนน้ำมันเชื้อเพลงเป็นหนี้ถึง 1.17 แสนล้านบาท ส่วนการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) เห็นว่ากำลังจะขาดสภาพคล่อง เพราะแบกหนี้ประมาณ 1 แสนล้านบาท และคนไทยต้องใช้ไฟแพงหน่วยละ 4.72 บาท ราคานี้ไม่ได้ช่วยให้กฟผ.สามารถใช้หนี้ได้ แต่แค่ประคองตัว เพราะถ้าจะช่วยกันใช้หนี้ของกฟผ. ค่าไฟต้องเป็นหน่วยละ 6.12 บาท ซึ่งคงตายกันหมดทั้งประชาชนและผู้ประกอบการ”
นาย
พิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรมว.พลังงาน จากพรรคเพื่อไทย พูดให้เห็นภาพกว้าง ก่อนจะวกเข้ามาในรายละเอียดของปัญหาว่ามาจาก 3 เรื่อง คือ
1. ปริมาณก๊าซที่ขุดในอ่าวไทย (แหล่งเอราวัณ) และก๊าซจากเมียนมาที่ส่งผ่านท่อเข้ามายังโรงไฟฟ้าราชบุรี มีปริมาณขาดหายไปเยอะ โดยก๊าซจากอ่าวไทยมีปัญหาเกี่ยวกับผู้ได้สัมปทานรายเก่า กับรายใหม่ มีปัญหากันเรื่องการส่งมอบพื้นที่และการรื้อแท่นขุดเจาะ แต่รัฐบาลโดยเฉพาะพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.)ไม่เข้ามาเคลียร์ตั้งแต่แรก จึงทำให้ปริมาณก๊าซจากอ่าวไทยหายไปเยอะ
ส่วนแหล่งก๊าซในเมียนมา ท่อส่งก๊าซได้รับความเสียหายจากการสู้รบระหว่างรัฐบาลเมียนมา กับกลุ่มชาติพันธุ์ ขณะเดียวกันอเมริกาพยายามบีบไทยไม่ให้ซื้อก๊าซจากเมียนมา หลังจากมีการรัฐประหารในเมียนมา เพราะรายได้จากการขายก๊าซให้ไทยถือเป็นรายได้หลักของเมียนมาที่เป็นเงินตราจากต่างประเทศ
เมื่อปริมาณก๊าซจากอ่าวไทยและก๊าซจากเมียนมา ซึ่งเป็นต้นทุนราคาถูกของโรงไฟฟ้าในไทยต้องขาดหายไปในปริมาณพอสมควร จึงต้องมีการสั่งนำเข้าก๊าซ
“แอลเอ็นจี” ใส่เรือเข้ามาด้วยอุณหภูมิติดลบ 160 องศาฯ เข้าใจว่านำเข้าแอลเอ็นจีมาจากประเทศกาตาร์ในราคาแพงกว่าก๊าซในอ่านไทยและก๊าซจากเมียนมาหลายเท่าตัว เพื่อนำมาเข้าโรงผลิตไฟฟ้า
โดยขณะนี้มีการแย่งกันซื้อ “แอลเอ็นจี” กันมากในตลาด ทำให้ราคาถีบตัวขึ้นไปสูง เพราะประเทศในยุโรปที่เคยใช้ก๊าซจากรัสเซีย แต่เมื่อมีสงครามรัสเซีย-ยูเครน ประเทศในยุโรปจึงต้องหันมาใช้แอลเอ็นจีเหมือนกัน
2. เมื่อราคาแอลเอ็นจีปรับตัวขึ้นไปสูงมาก โรงไฟฟ้าบางส่วนในบ้านเรา จึงหันไปใช้น้ำมันดีเซลมาเผาแทนแอลเอ็นจีเพื่อผลิตไฟฟ้า แต่บังเอิญว่าโรงกลั่นน้ำมันหลายแห่งต้องซ่อมบำรุงประจำปี ปริมาณน้ำมันดีเซลจึงขาดแคลน สุดท้ายต้องนำเข้าน้ำมันดีเซลจากสิงคโปร์ในราคาแพงอีก
ค่าความพร้อม-เอกชนควรช่วยรับผิดชอบ!
3. ภาระในการจ่าย “ค่าความพร้อม” สูงมาก ประมาณเดือนละ 8 พันล้านบาท เนื่องจาก 8 ปีที่ผ่านมา คุณให้ใบอนุญาตผลิตไฟฟ้าไว้เยอะ ใครๆก็วิ่งเพื่อให้ได้ใบอนุญาตไว้ก่อนสร้างเขื่อน สร้างโรงไฟฟ้าไว้รอ จะเรียกไฟฟ้าหรือไม่เรียกไฟฟ้า แต่กฟผ.ต้องจ่ายค่าความพร้อม ใครได้ใบอนุญาตแล้วไม่มีการขาดทุน ไม่จ่ายไฟก็ได้เงิน ตรงนี้ตนมองว่าเอาเปรียบกันมากไปนิดหนึ่ง ทั้งที่ภาคเอกชนควรมีส่วนรับผิดชอบด้วย
“คือมีการให้ใบอนุญาตกันจนปริมาณไฟฟ้าล้นในระบบ แต่อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ(จีดีพี)ยุครัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์โตเฉลี่ยปีละ 1% กว่าๆ ปริมาณไฟฟ้าจึงเหลือมาก โดยปกติทุกรัฐบาลจะคำนวณการใช้ไฟฟ้าควบคู่ไปกับจีดีพี ถ้าจีดีพีโต 1% ความต้องการใช้ไฟฟ้าจะต้องเพิ่มขึ้น 1.8% แต่นี่คุณให้ใบอนุญาตกันไว้เยอะ แต่จีดีพีโตน้อย ปริมาณไฟฟ้าจึงล้นระบบ และคนไทยควรใช้ไฟราคาถูกเพราะไฟมีเยอะ แต่เปล่าเลยเราต้องใช้ไฟแพงเกือบหน่วยละ 5 บาท ซึ่งเรื่องไฟฟ้าล้นระบบ รมว.พลังงานพยายามบอกว่า ไฟที่ล้นคือไฟที่ไม่มีความเสถียร คุณพูดเหมือนคนอื่นโง่ เนื่องจากปัจจุบันแบตเตอรี่มีการพัฒนาประสิทธิภาพไปมาก สามารถเก็บไฟได้ 24 ชั่วโมง และจ่ายไฟได้อย่างเสถียรในระดับหนึ่ง ขณะเดียวกันแสงแดดในประเทศไทยมีมาก เฉลี่ยวันละ 4-5 ชั่วโมง เมื่อแบตเตอรี่มีประสิทธิภาพก็สามารถเก็บไฟไว้พอใช้และมีความเสถียรแน่นอน”
ไฟแพงกว่า“เวียดนาม”และหลายประเทศอาเซียน
นายพิชัยกล่าวต่อไปว่าพล.อ.ประยุทธ์และรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องไม่เข้าใจโครงสร้างพลังงานทั้งระบบ จึงเละเทะหมด พอมีคนออกมาโวยเรื่องค่าการกลั่นกันมากๆ ค่าการกลั่นก็ลดลง แต่ค่าการตลาดพุ่งขึ้นไปถึง 4-5 บาท แล้วปล่อยให้ไฟฟ้ามีราคาแพง แพงเพราะ 3 เรื่องในข้างต้น เมื่อค่าไฟแพง กิจกรรม-กิจการต่างๆมีปัญหาหมด เนื่องจากโลกอนาคตจะหันมาใช้ไฟฟ้าเป็นส่วนใหญ่ ถ้าค่าไฟแพง รถไฟฟ้าก็จะมีปัญหา โรงงานอุตสาหกรรมต่างๆมีปัญหา สุดท้ายต้องย้ายหนีไปอยู่เวียดนามที่ค่าไฟฟ้าถูกแค่หน่วยละ 2.74 บาท และค่าไฟไทยยังแพงกว่าอีกหลายประเทศในอาเซียน
ถามว่าแล้วจะแก้ปัญหาเรื่องค่าไฟแพงได้อย่างไร ตนมีสิ่งที่จะแนะนำอยู่ 3 เรื่องเหมือนกัน คือ
1. เร่งเจรจาปัญหาการขุดก๊าซในอ่าวไทยให้จบเร็วๆ ระหว่างผู้ได้รับสัมปทานรายเก่า กับรายใหม่ เพราะตรงนี้คือแหล่งพลังงานที่สำคัญของประเทศที่ส่งเข้ามายังโรงแยกก๊าซ แล้วส่งต่อไปยังโรงไฟฟ้า ถือว่าเป็นก๊าซราคาถูกกว่าการนำเข้า “แอลเอ็นจี” หลายเท่าตัว
2. รัฐบาลไทยควรเร่งเจรจากับรัฐบาลกัมพูชา เพื่อขุดก๊าซธรรมชาติในพื้นที่ทับซ้อนขึ้นมาใช้ ตรงนี้จะทำให้ประเทศมีรายได้มากขึ้นเลยทีเดียว โดยเฉพาะรายได้จากค่าภาคหลวง รายได้จากการเก็บภาษีธุรกิจต่อเนื่อง เราลองนึกภาพดูว่าแหล่งก๊าซในอ่าวไทยที่ขุดกันมากว่า 30 ปี ตอนนี้ยังไม่หมด ส่วนแหล่งก๊าซในพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา ก็มีปริมาณมากเช่นกัน ถ้าไม่เร่งขุดขึ้นมาใช้ ในอนาคตโลกเปลี่ยนผ่านหันไปใช้พลังงานอย่างอื่นทดแทน เช่น ลม แสงอาทิตย์ ส่วนก๊าซและน้ำมันอาจไม่มีใครใช้กันแล้ว เนื่องจากสังคมโลกกำลังรณรงค์เรื่องลดโลกร้อน-คาร์บอนเครดิต ความสำคัญของก๊าซและน้ำมันจะค่อยๆหมดไป
เร่งเจรจา“กัมพูชา”-หยุดให้ใบอนุญาต!
“ผมอยากให้รัฐบาลเร่งไปเจรจากับกัมพูชา คุณประยุทธ์รีบทำให้สำเร็จเร็วๆ แต่ถ้าพรรคเพื่อไทยทำเดี๋ยวมีกระแสดราม่าเรื่องขายชาติ ขายแผ่นดิน เรื่องแบ่งแยกดินแดน หรือเอาทรัพย์สินไปประเคนให้ต่างชาติ อะไรต่างๆมากมาย แต่ถ้าคราวหน้าพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล จะไปคุยกับรัฐบาลกัมพูชาอย่างแน่นอน เนื่องจากแหล่งก๊าซในพื้นที่ทับซ้อน 2 ประเทศ จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้มาก ประเทศจะมีรายได้มาเป็นสวัสดิการให้ประชาชน และช่วยเหลือผู้สูงอายุ เพราะไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ”
3. หลังจากนี้ไม่ต้องให้ใบอนุญาตการผลิตไฟฟ้ากับเอกชนรายไหนแล้ว! ยกเว้นพลังงานของอนาคต คือลมและแสงอาทิตย์ เพราะปัจจุบันเรามีกำลังผลิตไฟฟ้าล้นในระบบ มีไฟเหลือล้น แต่ประชาชนใช้ไฟแพง กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นหนี้แสนล้านบาท กฟผ.เป็นหนี้แสนล้านบาท แต่เอกชนที่มีใบอนุญาตไปนอนกอดไว้กลับรวยเอาๆ ไม่ต้องจ่ายไฟก็ได้เงิน (ค่าความพร้อม) แบบนี้ถือว่าเอาเปรียบกันไปหน่อย
กำลังการผลิตไฟฟ้า ณ ปัจจุบัน สามารถรองรับ
“จีดีพี” ของประเทศไทยได้ถึง 5% เป็นระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 4-5 ปี โดยไม่ต้องออกใบอนุญาตให้
“เสือนอนกิน” และสภาพของประเทศไทยเวลานี้ที่จีดีพีเติบโตน้อยอย่างต่อเนื่องมาหลายปี ภาคธุรกิจบอบช้ำกันมานานภายใต้การบริหารของพล.อ.
ประยุทธ์ ดังนั้นจึงไม่ง่ายเลยที่จีดีพีจะโตแบบปุ๊บปั๊บ 5% ได้ในเวลาอันรวดเร็ว.
JJNY : 7ด. ธุรกิจเจ๊ง 7.5พันราย│คนไทยกระอัก!แบกภาระค่าไฟ│พท.เย้ยรัฐขึ้นค่าแรง-บัตรคนจนรอบใหม่│กกต.แจงไร้อำนาจจัด ลต.
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7236728
พาณิชย์ เผย 7 เดือน ธุรกิจเจ๊ง 7.5 พันราย เพิ่มขึ้น 24 เปอร์เซ็นต์ คาดปลายปียอดตั้งธุรกิจใหม่ชะลอ คาดการณ์ทั้งปีอยู่ที่ 68,000-72,000 ราย
วันที่ 29 ส.ค.2565 นายทศพล ทังสุบุตร อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยถึงสถิติการจดทะเบียนธุรกิจ เดือนก.ค.2565 ว่า มีธุรกิจตั้งใหม่ 5,858 ราย ลดลงจากเดือนก่อนหน้า 12% ทุนจดทะเบียน 29,111 ล้านบาท และหากเทียบกับเดือนก.ค.ปี 2564 เพิ่มขึ้น 3.48% สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 518 ราย คิดเป็น 9% รองลงมา คือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 343 ราย คิดเป็น 6% และอันดับ 3 คือ ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร 268 ราย คิดเป็น 4% ตามลำดับ ซึ่งส่วนใหญ่70% มีทุนจัดตั้งไม่เกิน 1 ล้านบาท
ธุรกิจเลิกกิจการมี 1,543 ราย เพิ่มขึ้น 5.47% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า ทุนจดทะเบียนเลิก 7,148 ล้านบาท และหากเทียบกับเดือนก.ค.2564 เพิ่มขึ้น 35.5% สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 151 ราย คิดเป็น 10% รองลงมาคือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 78 ราย คิดเป็น 5% และธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร 54 ราย คิดเป็น 3% ตามลำดับ
ส่วนการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวในเดือนก.ค.2565 มีการอนุญาตให้คนประกอบธุรกิจรวม 39 ราย แบ่งเป็นใบอนุญาตประกอบธุรกิจ 16 ราย และหนังสือรับรองประกอบธุรกิจ 23 ราย เม็ดเงินลงทุนรวม 3,675 ล้านบาท ส่งผลให้มีจำนวนคนต่างชาติประกอบธุรกิจ 323 ราย เพิ่มขึ้น 16% เงินลงทุน 73,624 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 65% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
นักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในไทยมากที่สุด 3 สัญชาติแรก ได้แก่ ญี่ปุ่น จำนวน 11 ราย เงินลงทุน 2,734 ล้านบาทรองลงมา ได้แก่ สิงคโปร์ จำนวน 7 ราย เงินลงทุน 91 ล้านบาท และสหรัฐอเมริกา จำนวน 5 ราย เงินลงทุน 330 ล้านบาท ตามลำดับ
นายทศพล กล่าวต่อถึงสถิติจดทะเบียนช่วง 7 เดือนแรกปี 2565 (ม.ค.-ก.ค.) ว่า มีธุรกิจตั้งใหม่ 46,159 ราย ลดลง 1.12% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทุนจดทะเบียน 309,716 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 111% และธุรกิจเลิกกิจการ 7,552 ราย เพิ่มขึ้น 24.42% ทุนจดทะเบียน 65,660 ล้านบาท ส่งผลให้ ณ 31 ก.ค.65 มีธุรกิจที่ดำเนินกิจการอยู่ทั่วประเทศ 846,797 ราย มูลค่าทุน 20.32 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด/ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล จำนวน 203,402 ราย คิดเป็น 24.02% บริษัทจำกัด จำนวน 642,036 ราย คิดเป็น 75.82% และบริษัทมหาชนจำกัด จำนวน 1,359 ราย คิดเป็น 0.16% ตามลำดับ
จากข้อมูลการจดทะเบียนจัดตั้งใหม่ของนิติบุคคล 3 ปีย้อนหลัง (ปี 2562-2564) พบว่า จำนวนการจดทะเบียนจัดตั้งใหม่จะมีแนวโน้มลงลงในช่วงปลายปี จากปัจจัยดังกล่าวข้างต้นกรมฯ คาดการณ์การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่ตลอดทั้งปี 2565 อยู่ที่ประมาณ 68,000-72,000 ราย
คนไทยกระอัก!แบกภาระค่าไฟปรับขึ้นแน่ก.ย.นี้ทั้งที่กำลังการผลิตล้นระบบ!
https://www.dailynews.co.th/articles/1408045/
อดีตรมว.พลังงาน สับ!รัฐบาลประยุทธ์ไม่เข้าใจโครงสร้างพลังงานทั้งระบบจึงเละเทะหมด เหน็บประเทศไทยมี “อภิมหาเศรษฐี” จากธุรกิจไฟฟ้า แต่กองทุนน้ำมันฯ-กฟผ.แบกหนี้รวมกัน 2 แสนล้านฯ กำลังผลิตไฟล้นระบบ แต่คนไทยต้องใช้ไฟราคาแพง!...
แพงทั้งแผ่นดินจริงๆ นอกจากข้าวของเครื่องใช้พาเหรดกันขึ้นราคา ค่าเดินทางต่างๆแพงขึ้น ค่าพลังงาน (ก๊าซหุงต้ม-น้ำมัน)ปรับตัวสูง และสิ่งที่กำลังจะแพงตามมา คือ “ค่าไฟฟ้า” งวดเดือนก.ย.-ธ.ค.65 จากการปรับขึ้นค่า “เอฟที” หรือค่าไฟฟ้าผันแปรจากต้นทุนการผลิตไฟฟ้าที่ไม่สามารถควบคุมได้ เช่น ราคาเชื้อเพลิง-อัตราเงินเฟ้อ-อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ โดยจะปรับขึ้นอีก 68.66 สตางค์ต่อหน่วย จากงวดก่อนหน้านี้ กลายเป็ 93.43 สตางค์ต่อหน่วย ส่งผลให้คนไทยต้องจ่ายค่าไฟในอัตรา 4.72 บาทต่อหน่วย
จากปัญหาดังกล่าว ทีมข่าว Special Report ได้สนทนากับอดีตรมว.พลังงาน เกี่ยวกับสาเหตุและแนวทางแก้ไขปัญหาพลังงาน โดยเฉพาะค่าไฟฟ้าที่จะปรับขึ้นในเดือนก.ย.นี้
ต้นเหตุของปัญหามาจาก 3 เรื่อง
“ผมอยากจะหัวเราะทั้งน้ำตา เนื่องจากปริมาณไฟฟ้าในประเทศล้นอยู่ในระบบถึง 50% เพราะ 8 ปีที่ผ่านมามีการให้ใบอนุญาตกันไว้เยอะ เรามีอภิมหาเศรษฐีจากธุรกิจไฟฟ้า แต่กองทุนน้ำมันเชื้อเพลงเป็นหนี้ถึง 1.17 แสนล้านบาท ส่วนการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) เห็นว่ากำลังจะขาดสภาพคล่อง เพราะแบกหนี้ประมาณ 1 แสนล้านบาท และคนไทยต้องใช้ไฟแพงหน่วยละ 4.72 บาท ราคานี้ไม่ได้ช่วยให้กฟผ.สามารถใช้หนี้ได้ แต่แค่ประคองตัว เพราะถ้าจะช่วยกันใช้หนี้ของกฟผ. ค่าไฟต้องเป็นหน่วยละ 6.12 บาท ซึ่งคงตายกันหมดทั้งประชาชนและผู้ประกอบการ”
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรมว.พลังงาน จากพรรคเพื่อไทย พูดให้เห็นภาพกว้าง ก่อนจะวกเข้ามาในรายละเอียดของปัญหาว่ามาจาก 3 เรื่อง คือ
1. ปริมาณก๊าซที่ขุดในอ่าวไทย (แหล่งเอราวัณ) และก๊าซจากเมียนมาที่ส่งผ่านท่อเข้ามายังโรงไฟฟ้าราชบุรี มีปริมาณขาดหายไปเยอะ โดยก๊าซจากอ่าวไทยมีปัญหาเกี่ยวกับผู้ได้สัมปทานรายเก่า กับรายใหม่ มีปัญหากันเรื่องการส่งมอบพื้นที่และการรื้อแท่นขุดเจาะ แต่รัฐบาลโดยเฉพาะพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.)ไม่เข้ามาเคลียร์ตั้งแต่แรก จึงทำให้ปริมาณก๊าซจากอ่าวไทยหายไปเยอะ
ส่วนแหล่งก๊าซในเมียนมา ท่อส่งก๊าซได้รับความเสียหายจากการสู้รบระหว่างรัฐบาลเมียนมา กับกลุ่มชาติพันธุ์ ขณะเดียวกันอเมริกาพยายามบีบไทยไม่ให้ซื้อก๊าซจากเมียนมา หลังจากมีการรัฐประหารในเมียนมา เพราะรายได้จากการขายก๊าซให้ไทยถือเป็นรายได้หลักของเมียนมาที่เป็นเงินตราจากต่างประเทศ
เมื่อปริมาณก๊าซจากอ่าวไทยและก๊าซจากเมียนมา ซึ่งเป็นต้นทุนราคาถูกของโรงไฟฟ้าในไทยต้องขาดหายไปในปริมาณพอสมควร จึงต้องมีการสั่งนำเข้าก๊าซ “แอลเอ็นจี” ใส่เรือเข้ามาด้วยอุณหภูมิติดลบ 160 องศาฯ เข้าใจว่านำเข้าแอลเอ็นจีมาจากประเทศกาตาร์ในราคาแพงกว่าก๊าซในอ่านไทยและก๊าซจากเมียนมาหลายเท่าตัว เพื่อนำมาเข้าโรงผลิตไฟฟ้า
โดยขณะนี้มีการแย่งกันซื้อ “แอลเอ็นจี” กันมากในตลาด ทำให้ราคาถีบตัวขึ้นไปสูง เพราะประเทศในยุโรปที่เคยใช้ก๊าซจากรัสเซีย แต่เมื่อมีสงครามรัสเซีย-ยูเครน ประเทศในยุโรปจึงต้องหันมาใช้แอลเอ็นจีเหมือนกัน
2. เมื่อราคาแอลเอ็นจีปรับตัวขึ้นไปสูงมาก โรงไฟฟ้าบางส่วนในบ้านเรา จึงหันไปใช้น้ำมันดีเซลมาเผาแทนแอลเอ็นจีเพื่อผลิตไฟฟ้า แต่บังเอิญว่าโรงกลั่นน้ำมันหลายแห่งต้องซ่อมบำรุงประจำปี ปริมาณน้ำมันดีเซลจึงขาดแคลน สุดท้ายต้องนำเข้าน้ำมันดีเซลจากสิงคโปร์ในราคาแพงอีก
ค่าความพร้อม-เอกชนควรช่วยรับผิดชอบ!
3. ภาระในการจ่าย “ค่าความพร้อม” สูงมาก ประมาณเดือนละ 8 พันล้านบาท เนื่องจาก 8 ปีที่ผ่านมา คุณให้ใบอนุญาตผลิตไฟฟ้าไว้เยอะ ใครๆก็วิ่งเพื่อให้ได้ใบอนุญาตไว้ก่อนสร้างเขื่อน สร้างโรงไฟฟ้าไว้รอ จะเรียกไฟฟ้าหรือไม่เรียกไฟฟ้า แต่กฟผ.ต้องจ่ายค่าความพร้อม ใครได้ใบอนุญาตแล้วไม่มีการขาดทุน ไม่จ่ายไฟก็ได้เงิน ตรงนี้ตนมองว่าเอาเปรียบกันมากไปนิดหนึ่ง ทั้งที่ภาคเอกชนควรมีส่วนรับผิดชอบด้วย
“คือมีการให้ใบอนุญาตกันจนปริมาณไฟฟ้าล้นในระบบ แต่อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ(จีดีพี)ยุครัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์โตเฉลี่ยปีละ 1% กว่าๆ ปริมาณไฟฟ้าจึงเหลือมาก โดยปกติทุกรัฐบาลจะคำนวณการใช้ไฟฟ้าควบคู่ไปกับจีดีพี ถ้าจีดีพีโต 1% ความต้องการใช้ไฟฟ้าจะต้องเพิ่มขึ้น 1.8% แต่นี่คุณให้ใบอนุญาตกันไว้เยอะ แต่จีดีพีโตน้อย ปริมาณไฟฟ้าจึงล้นระบบ และคนไทยควรใช้ไฟราคาถูกเพราะไฟมีเยอะ แต่เปล่าเลยเราต้องใช้ไฟแพงเกือบหน่วยละ 5 บาท ซึ่งเรื่องไฟฟ้าล้นระบบ รมว.พลังงานพยายามบอกว่า ไฟที่ล้นคือไฟที่ไม่มีความเสถียร คุณพูดเหมือนคนอื่นโง่ เนื่องจากปัจจุบันแบตเตอรี่มีการพัฒนาประสิทธิภาพไปมาก สามารถเก็บไฟได้ 24 ชั่วโมง และจ่ายไฟได้อย่างเสถียรในระดับหนึ่ง ขณะเดียวกันแสงแดดในประเทศไทยมีมาก เฉลี่ยวันละ 4-5 ชั่วโมง เมื่อแบตเตอรี่มีประสิทธิภาพก็สามารถเก็บไฟไว้พอใช้และมีความเสถียรแน่นอน”
ไฟแพงกว่า“เวียดนาม”และหลายประเทศอาเซียน
นายพิชัยกล่าวต่อไปว่าพล.อ.ประยุทธ์และรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องไม่เข้าใจโครงสร้างพลังงานทั้งระบบ จึงเละเทะหมด พอมีคนออกมาโวยเรื่องค่าการกลั่นกันมากๆ ค่าการกลั่นก็ลดลง แต่ค่าการตลาดพุ่งขึ้นไปถึง 4-5 บาท แล้วปล่อยให้ไฟฟ้ามีราคาแพง แพงเพราะ 3 เรื่องในข้างต้น เมื่อค่าไฟแพง กิจกรรม-กิจการต่างๆมีปัญหาหมด เนื่องจากโลกอนาคตจะหันมาใช้ไฟฟ้าเป็นส่วนใหญ่ ถ้าค่าไฟแพง รถไฟฟ้าก็จะมีปัญหา โรงงานอุตสาหกรรมต่างๆมีปัญหา สุดท้ายต้องย้ายหนีไปอยู่เวียดนามที่ค่าไฟฟ้าถูกแค่หน่วยละ 2.74 บาท และค่าไฟไทยยังแพงกว่าอีกหลายประเทศในอาเซียน
ถามว่าแล้วจะแก้ปัญหาเรื่องค่าไฟแพงได้อย่างไร ตนมีสิ่งที่จะแนะนำอยู่ 3 เรื่องเหมือนกัน คือ
1. เร่งเจรจาปัญหาการขุดก๊าซในอ่าวไทยให้จบเร็วๆ ระหว่างผู้ได้รับสัมปทานรายเก่า กับรายใหม่ เพราะตรงนี้คือแหล่งพลังงานที่สำคัญของประเทศที่ส่งเข้ามายังโรงแยกก๊าซ แล้วส่งต่อไปยังโรงไฟฟ้า ถือว่าเป็นก๊าซราคาถูกกว่าการนำเข้า “แอลเอ็นจี” หลายเท่าตัว
2. รัฐบาลไทยควรเร่งเจรจากับรัฐบาลกัมพูชา เพื่อขุดก๊าซธรรมชาติในพื้นที่ทับซ้อนขึ้นมาใช้ ตรงนี้จะทำให้ประเทศมีรายได้มากขึ้นเลยทีเดียว โดยเฉพาะรายได้จากค่าภาคหลวง รายได้จากการเก็บภาษีธุรกิจต่อเนื่อง เราลองนึกภาพดูว่าแหล่งก๊าซในอ่าวไทยที่ขุดกันมากว่า 30 ปี ตอนนี้ยังไม่หมด ส่วนแหล่งก๊าซในพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา ก็มีปริมาณมากเช่นกัน ถ้าไม่เร่งขุดขึ้นมาใช้ ในอนาคตโลกเปลี่ยนผ่านหันไปใช้พลังงานอย่างอื่นทดแทน เช่น ลม แสงอาทิตย์ ส่วนก๊าซและน้ำมันอาจไม่มีใครใช้กันแล้ว เนื่องจากสังคมโลกกำลังรณรงค์เรื่องลดโลกร้อน-คาร์บอนเครดิต ความสำคัญของก๊าซและน้ำมันจะค่อยๆหมดไป
เร่งเจรจา“กัมพูชา”-หยุดให้ใบอนุญาต!
“ผมอยากให้รัฐบาลเร่งไปเจรจากับกัมพูชา คุณประยุทธ์รีบทำให้สำเร็จเร็วๆ แต่ถ้าพรรคเพื่อไทยทำเดี๋ยวมีกระแสดราม่าเรื่องขายชาติ ขายแผ่นดิน เรื่องแบ่งแยกดินแดน หรือเอาทรัพย์สินไปประเคนให้ต่างชาติ อะไรต่างๆมากมาย แต่ถ้าคราวหน้าพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล จะไปคุยกับรัฐบาลกัมพูชาอย่างแน่นอน เนื่องจากแหล่งก๊าซในพื้นที่ทับซ้อน 2 ประเทศ จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้มาก ประเทศจะมีรายได้มาเป็นสวัสดิการให้ประชาชน และช่วยเหลือผู้สูงอายุ เพราะไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ”
3. หลังจากนี้ไม่ต้องให้ใบอนุญาตการผลิตไฟฟ้ากับเอกชนรายไหนแล้ว! ยกเว้นพลังงานของอนาคต คือลมและแสงอาทิตย์ เพราะปัจจุบันเรามีกำลังผลิตไฟฟ้าล้นในระบบ มีไฟเหลือล้น แต่ประชาชนใช้ไฟแพง กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นหนี้แสนล้านบาท กฟผ.เป็นหนี้แสนล้านบาท แต่เอกชนที่มีใบอนุญาตไปนอนกอดไว้กลับรวยเอาๆ ไม่ต้องจ่ายไฟก็ได้เงิน (ค่าความพร้อม) แบบนี้ถือว่าเอาเปรียบกันไปหน่อย
กำลังการผลิตไฟฟ้า ณ ปัจจุบัน สามารถรองรับ “จีดีพี” ของประเทศไทยได้ถึง 5% เป็นระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 4-5 ปี โดยไม่ต้องออกใบอนุญาตให้ “เสือนอนกิน” และสภาพของประเทศไทยเวลานี้ที่จีดีพีเติบโตน้อยอย่างต่อเนื่องมาหลายปี ภาคธุรกิจบอบช้ำกันมานานภายใต้การบริหารของพล.อ.ประยุทธ์ ดังนั้นจึงไม่ง่ายเลยที่จีดีพีจะโตแบบปุ๊บปั๊บ 5% ได้ในเวลาอันรวดเร็ว.