✤ แชร์ประสบการณ์การเลี้ยงลูก ตั้งแต่ในครรภ์ ตอนนี้เข้ามหาวิทยาลัยแล้ว

ลูกคนแรก ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ เมื่อทราบว่าภรรยาตั้งท้อง
ผมก็หาหนังสือการเลี้ยงลูกมาอ่านว่า เราจะเลี้ยงลูกอย่างไร ?

ตอนที่อยู่ในครรภ์ คนเป็นพ่อไม่ใช่ปล่อยให้ภรรยา ตั้งท้องโดยไม่สนใจ 
เราต้องวางแผน ในระหว่างตั้งครรภ์ ควรคุยกับลูก ทักทายลูกตอนที่เขาตื่นดิ้นในท้อง 
ผมเองจะอ่านหนังสือนิทานต่างๆ ให้ลูกฟัง แต่ผมไม่ได้มีเวลาเนื่องจากเขาอยู่ ตจว ส่วนผมมีกิจการที่กรุงเทพฯ
แต่ต้องกลับทุกสัปดาห์ 

มีหนังสือแนะนำ ให้เปิดเพลงบรรเลง โดยผมจะเปิดเพลงใส่หูฟัง แนบใส่ท้อง
โดยจะเลือกเพลงบรรเลง ดนตรในสวน ของ จำรัส เศวตาภรณ์ และ
เพลง คลาสสิก ของ บีโธเฟ่น และ โมสาร์ท ให้เขาฟัง เราเปิดเพลง อ่านนิทานให้เขาฟังตั้งแต่อยู่ในท้อง
และ คลอดลูกออกมา จนกระทั่งเข้าโรงเรียนอนุบาล

ตอนที่เขาโต ผมจะไม่ห้ามลูก จนกระทั่งเขาเดินได้ เด็กวัยนี้เขาชอบปีนบันได
ผมได้สั่งพี่เลี้ยงว่าอย่าห้าม เขาอยากทำอะไรปล่อยเขา แม้บางครั้งเขาจะปีนป่ายอันตราย ก็ปล่อยเขา
เราเพียงระมัดระวังไม่ให้เขาตกเป็นพอ เวลาเขาซน ก็ปล่อย ไม่เคยขู่ให้กลัวผี กลัวตุ๊กแก กลัวตำรวจ
เหมือนผู้ใหญ่ทั่วๆ ไปชอบขู่เด็ก

ลูกสาวผม เขากล้าทำอะไรแผลงๆ เช่น ปีนป่ายเล่นสไลเดอร์ เป่าลมตั้งแต่หัดเดินได้ โดยไม่กลัว
ฝึกปั่นจักรยาน เป็นเร็ว ล้มเป็นแผลเพียง 2-3 ครั้ง ทุกครั้งที่เขาล้ม เราจะไม่เข้าไปอุ้ม แต่ผมจะยืนมองเฉยๆ 
เขาไม่เคยร้อง แม้ล้มแล้วจะเป็นแผลก็ตาม เราก็แค่ถามเจ็บมั้ยลูก เขาก็ตอบ ไม่เจ็บ ไม่ร้อง

กลางคืน ปิดไฟ เขาไม่กลัวความมืด และเราจะไม่เคยขู่ลูกเรื่องผี
บางครั้งตอนเด็กๆ ฟ้าร้องดังมาก ผมกแปลกใจตอนเด็กๆ นอกจากจะไม่ตกใจแล้ว เขากลับหัวเราะเฉยเลย 

เขาเป็นคนส่อแววสมองดีตั้งแต่เด็กๆ ดูจากที่ครูสอนเขาฟ้อนรำไทย ในวาระต่างๆ เช่นลอยกระทง
ลูกสาวผม เขาไม่กลัวเสียงประทัด แต่ตอนโตมาก็แค่อุดหูเมื่อได้ยินเสียงประทัด 

ขึ้นชั้นประถม ย้ายไปอยู่ในเขตตัวเมือง ผมให้เขาเรียนเปียนโน
และเริ่มส่อแววชอบศิลปะ เคยได้รับรางวัลชนะเลิศ วาดภาพระบายสี
เป็นตัวแทนโรงเรียนไปแข่งขัน วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และ ศิลปะ บ่อยครั้ง
อาจเป็นบุญของเขา ที่เกิดมามีความถนัดใช้สมองซีกซ้าย-ขวา เท่าๆ กัน 

ลูกสาวผมถนัดซ้าย เขียนข้างซ้ายเหมือนพ่อ เรียนสายวิทย์ และ ชอบศิลปะเหมือนพ่อ 
ชอบวาดรูปเหมือนพ่อ เพราะผมก็เรียนสายวิทย์ และ ชอบศิลปะ 

ตอนเข้า ม. ต้น ก็เรียนดี และ เข้า ม. ปลายสายวิทย์-คณิต โดยที่สอบติดถึง 3 โรงเรียน
ทั้งสาธิตมหาวิทยาลัย 2 โรงเรียน เป็นตัวแทนโรงเรียนแข่งโครงานวิทยาศาสตร์ของ ปตท. ได้รางวัลระดับเอเซีย

ผลการเรียน จบ ม. 6 เกรดเฉลี่ย 4.00 สอบเข้าแพทย์ได้ สบายๆ 
แต่ผมสอนลูกว่า อาชีพแพทย์ เป็นอาชีพเหมือนคนมีกรรม ต้องทำงานกับ คน แก่ เจ็บ ตาย ตลอดเวลา 
และทำงานหนัก แต่เป้นอาชีพที่เสียสละ ได้ทำบุญ 

ลูกสาวผม เขาไม่ชอบหมออยู่แล้ว แต่เป้าหมายของเขาคือ อยากทำงานกับ Walt Disney 
นั่นคือเป้าหมายที่เขาตอบผม เวลาผมถามว่า เป้าหมายชีวิตอยากทำอะไร 
ทำให้เขาเลือกเรียนสายศิลปะ

ตอนนี้สอบชิงทุนได้แล้ว เป้าหมายการเรียนคือ ต้องได้เกียรตินิยม 

ผมไม่เคยบังคับลูก ให้เรียนตามที่ใจเราต้องการ แต่ให้ลูกเลือกชีวิตของเขาเอง 
แม้แต่เรื่องการเมือง เขาก็มีความคิดของเขาเอง ผมแค่บอกเขาให้ระวังอย่าทำอะไรสุ่มเสี่ยง ให้ติดคุกก็พอ
โดยเฉพาะการโพสต์ในโลกโซเชี่ยลให้ระวัง

อาจเป็นความโชคดีของผม ที่มีลูกใฝ่เรียนรู้ และรู้หน้าที่ตัวเอง เขา Happy กับการเรียน
อาจเป็นบุญของเขาที่เกิดมาฉลาดเรียนเก่ง และ เราไม่ขีดเส้นให้เขาเดิน
เขามีเป้าหมายของเขาและ ทุกอย่างเขาเลือกที่จะเป็นด้วยตัวเขาเอง

จงปล่อยให้ลูกเปลี่ยนโลกด้วยตัวของเขาเอง

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่