คือตอนนี้หนูอยู่ม.ปลาย คือก็ต้องเปลี่ยนห้องใหม่เปลี่ยนสังคมใหม่ คือเราก็เป็นปกติเจอเพื่อนใหม่ก็ไม่ได้ตื่นเต้น เพราะอยู่ ร.ร เดิม ประเด็นคือตอนนี้ยังไม่มีเพื่อนสนิทจริงๆแต่มีเพื่อนเป็นกลุ่มที่ไปด้วยกันแต่ยังไม่สนิทกับใครจริงจัง แต่บางคนเค้าก็สนิทกันแล้ว เราเป็นคนคุยง่าย ถ้าแบบมาคุยกับเราก็พูดด้วย ไม่ใช่คนเงียบขนาดนั้น คือแบบถ้าอยากไปไหนมาไหนถ้าขี้เกียจรอเพื่อนก็จะไปคนเดียว เพราะไม่ค่อยชอบรอ ตอนแรกๆก็รู้สึกแปลกๆแต่พอหลังๆรู้สึกว่าใครจะอะไรก็ช่างแม่ม แบบใครไม่สนเราก็ไม่สน เราโตแล้ว
ตอน ม.ต้นหนูค่อนข้างร่าเริงและแคร์คนอื่นมากเกินไปแต่พอหนูโตมาเรื่อยๆเจออะไรมาเยอะขึ้น สังคมที่มันกว้างขึ้น หนูรู้สึกว่าหนูไม่ควรซีเรียสกับเรื่องแบบนี้อะแต่บางทีแค่อยากรู้ว่ามันแปลกมั้ย ทำไมหนูมองว่า เพื่อนไม่ได้จำเป็นต่อความประสบความสำเร็จขนาดนั้น แต่ถ้าเป็นเรื่องงานเรื่องต่างๆที่ต้องทำงานเป็นกลุ่มหนูก็คบกันเป็นกลุ่มเพราะจะได้ไม่ยากต่อการทำงาน เรื่องงานกลุ่มพูดคุยได้ปรึกษาได้ แต่ถ้าเล่นเราก็คุยได้แต่ไม่ได้สนิทสักคนใครอยากสนิทกับเราเราก็คุยด้วย ใครไม่อยากคบหรือไม่อยากสนิทด้วยก็ไม่ได้ตามตื้อตามคุย เราก็อยู่ของเราเงียบๆ ในพื้นที่ของตัวเอง
และอีกอย่างที่หนูได้ยินมาค่อนข้างเยอะคือ เดี๋ยวจะใช้ชีวิตไม่คุ้มนะ ชีวิตวัยรุ่นสนุกสุดแล้ว แต่สำหรับหนูมันไม่เกี่ยวว่าคุ้มไม่คุ้ม หนูคิดแค่ว่าควรโฟกัสในเรื่องที่มันจำเป็นในชีวิตมากที่ชี้ชะตาชีวิตก็คือการเรียน การศึกษา ซึ่งมันจำเป็นมากสำหรับเด็กจนๆที่ไม่มีต้นทุนอย่างหนู หนูไม่เชื่อคำพูดที่ว่าแบบเรียนอย่างเดียวเดี๋ยวจะไม่มีประสบการณ์ชีวิตไรงี้ หรือคนเรียนไม่เก่งจะประสบความสำเร็จมากกว่า หนูคิดว่าการศึกษามันคือใบเบิกทาง คนที่สอบได้ม.ดังๆ เพราะคิดว่าเค้ามีความพยายาม ความเก่ง ที่จะไปได้ขนาดนั้น และความทะเยอะทะยานความมุ่งมั่น หรือมองการณ์ไกล
ส่วนเรื่องการคบกันตอนนี้หนูมองว่าการเจ้าหาเพื่อผลประโยชน์หรืออะไรก็ตามเป็นเรื่องปกติสำหรับสังคม เรามีความสามารถเราก็จะมีคนเข้าหา มันเป็นเรื่องธรรมดาของสังคม คือใครจะมายกยอเราก็ไม่ขึ้นเพราะเราจะมองโลกตามความจริง ถ้าใช่ก็ใช่ ถ้าไม่ใช่ก็ไม่ใช่ การคบเพื่อนตอนนี้หนูไม่ให้ใจใครเต็มร้อยสักคน คือจะเผื่อใจไว้ตลอด ขนาดเพื่อนสนิทที่คบกันตอนนี้ ยังไม่ให้ใจเต็มร้อย คือค่อนข้างมีกำแพง แบบไม่อยากให้ใครรู้มาก ถ้าไม่มาหาเรื่องเราก่อนเราก็จะอยู่ในพื้นที่ของตัวเองเงียบๆ
สุดท้ายแล้วหนูคิดว่าอนาคตสำคัญกับหนูมากกว่าเรื่องอื่นๆอีกเพราะมันคือทั้งชีวิตของหนู
ทุกคนอาจจะมองว่ามาระบายมาพูดเรามาระบายด้วย มาถามด้วยว่าเราแปลกมั้ย แบบดูจืดชดใช้ชีวิตไร้สีสัน
เป็นคนมีเพื่อนน้อย ไม่ค่อยมีสังคม แปลกมั้ย
ตอน ม.ต้นหนูค่อนข้างร่าเริงและแคร์คนอื่นมากเกินไปแต่พอหนูโตมาเรื่อยๆเจออะไรมาเยอะขึ้น สังคมที่มันกว้างขึ้น หนูรู้สึกว่าหนูไม่ควรซีเรียสกับเรื่องแบบนี้อะแต่บางทีแค่อยากรู้ว่ามันแปลกมั้ย ทำไมหนูมองว่า เพื่อนไม่ได้จำเป็นต่อความประสบความสำเร็จขนาดนั้น แต่ถ้าเป็นเรื่องงานเรื่องต่างๆที่ต้องทำงานเป็นกลุ่มหนูก็คบกันเป็นกลุ่มเพราะจะได้ไม่ยากต่อการทำงาน เรื่องงานกลุ่มพูดคุยได้ปรึกษาได้ แต่ถ้าเล่นเราก็คุยได้แต่ไม่ได้สนิทสักคนใครอยากสนิทกับเราเราก็คุยด้วย ใครไม่อยากคบหรือไม่อยากสนิทด้วยก็ไม่ได้ตามตื้อตามคุย เราก็อยู่ของเราเงียบๆ ในพื้นที่ของตัวเอง
และอีกอย่างที่หนูได้ยินมาค่อนข้างเยอะคือ เดี๋ยวจะใช้ชีวิตไม่คุ้มนะ ชีวิตวัยรุ่นสนุกสุดแล้ว แต่สำหรับหนูมันไม่เกี่ยวว่าคุ้มไม่คุ้ม หนูคิดแค่ว่าควรโฟกัสในเรื่องที่มันจำเป็นในชีวิตมากที่ชี้ชะตาชีวิตก็คือการเรียน การศึกษา ซึ่งมันจำเป็นมากสำหรับเด็กจนๆที่ไม่มีต้นทุนอย่างหนู หนูไม่เชื่อคำพูดที่ว่าแบบเรียนอย่างเดียวเดี๋ยวจะไม่มีประสบการณ์ชีวิตไรงี้ หรือคนเรียนไม่เก่งจะประสบความสำเร็จมากกว่า หนูคิดว่าการศึกษามันคือใบเบิกทาง คนที่สอบได้ม.ดังๆ เพราะคิดว่าเค้ามีความพยายาม ความเก่ง ที่จะไปได้ขนาดนั้น และความทะเยอะทะยานความมุ่งมั่น หรือมองการณ์ไกล
ส่วนเรื่องการคบกันตอนนี้หนูมองว่าการเจ้าหาเพื่อผลประโยชน์หรืออะไรก็ตามเป็นเรื่องปกติสำหรับสังคม เรามีความสามารถเราก็จะมีคนเข้าหา มันเป็นเรื่องธรรมดาของสังคม คือใครจะมายกยอเราก็ไม่ขึ้นเพราะเราจะมองโลกตามความจริง ถ้าใช่ก็ใช่ ถ้าไม่ใช่ก็ไม่ใช่ การคบเพื่อนตอนนี้หนูไม่ให้ใจใครเต็มร้อยสักคน คือจะเผื่อใจไว้ตลอด ขนาดเพื่อนสนิทที่คบกันตอนนี้ ยังไม่ให้ใจเต็มร้อย คือค่อนข้างมีกำแพง แบบไม่อยากให้ใครรู้มาก ถ้าไม่มาหาเรื่องเราก่อนเราก็จะอยู่ในพื้นที่ของตัวเองเงียบๆ
สุดท้ายแล้วหนูคิดว่าอนาคตสำคัญกับหนูมากกว่าเรื่องอื่นๆอีกเพราะมันคือทั้งชีวิตของหนู
ทุกคนอาจจะมองว่ามาระบายมาพูดเรามาระบายด้วย มาถามด้วยว่าเราแปลกมั้ย แบบดูจืดชดใช้ชีวิตไร้สีสัน