[รีวิว] บุพเพสันนิวาส 2: ตำนานรักบทใหม่ของพ่อเดชและแม่หญิงการะเกดที่หาจุดลงตัวได้เหมาะสม สนุก ครบรส และมีคุณภาพ

หลังจากที่เคยเป็นกระแสถึงขั้นปรากฏการณ์ไปแล้วเมื่อปี พ.ศ. 2561 หรือ เมื่อ 4 ปีที่แล้ว สำหรับ "บุพเพสันนิวาส" ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับละครเรื่องนี้ทั้งการแต่งชุดไทย อาหารไทย ขนมไทย ล้วนแต่ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า หรือกระทั่งการตามรอยสถานที่ในเรื่องก็เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวได้มหาศาล ไม่เว้นแต่คำพูดจากละคร เช่น ออเจ้า โล้สำเภา พ่อม้าน้ำ ก็กลายเป็นคำพูดยอดฮิตในตอนนั้น เรียกว่าเป็นช่วงเวลาที่หอมหวานเลยทีเดียวสำหรับละครเรื่องนี้ และนั่นทำให้การมาของ "บุพเพสันนิวาส 2" กลับมาเป็นที่สนใจกับทั้งเหล่าแฟนละครและจากทั้งผู้คนอีกครั้งว่าจะประสบความสำเร็จได้เทียบเท่ากับฉบับละครโทรทัศน์หรือไม่

บุพเพสันนิวาส 2 เล่าเรื่องราวของ 'เมธัส' (พาริส อินทรโกมาลย์สุต) หนุ่มลูกครึ่งที่ตัดสินใจนำของเก่าประจำตระกูลมาขาย แต่เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น เมื่อหนึ่งในของเก่านั้นเกิดพาตัวเขา ย้อนมายังยุคต้นกรุงรัตนโกสินตร์และมีชายหญิงคู่หนึ่งที่ดูจะเป็นคู่บุพเพสันนิวาสกันตั้งแต่ชาติปางก่อน อย่างขุน 'ภพ' (ธนวรรธน์ วรรธนะภูติ) นายช่างหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา ที่ฝันถึงแม่นางคนนึงและเชื่อว่าต้องเป็นบุพเพสันนิวาสของเขาเป็นแน่ แต่หลังจากได้พบกับ แม่ 'เกสร' (ราณี แคมเปน) หญิงสาวที่หน้าตาเหมือนนางในฝันของขุนภพไม่มีผิดเพี้ยน แต่หากว่าหล่อนไม่ได้มีใจให้กับเขา หนำซ้ำขุนภพยังปฏิเสธครอบครัวของหล่อนไปตั้งแต่ยังไม่ได้เห็นหน้า นั่นทำให้ชายหนุ่มอย่างขุนภพต้องทำทุกวิถีทางเพื่อมัดใจแม่เกสรให้จงได้ และในขณะเดียวกัน ก็เป็นยุคที่ต่างชาติเริ่มเข้ามาตั้งถิ่นฐานอาณานิคมในสยาม ทั้งการเข้ามาของ 'บาทหลวงปาลเลอกัวซ์' (โจนาธาน แซมซัน) ครูสอนศาสนาและเป็นผู้นำกล้องถ่ายรูปเข้ามาในสยาม และ 'นายห้างหันแตร' (แดเนียล บรูซ เฟรเซอร์) ผู้ที่เปิดห้างสรรพสินค้าในสยามเป็นแห่งแรก และนำเข้าเรือกลไฟ 'เอ็กสเปรส' มาเสนอขายแก่สยาม แต่ก็เต็มไปด้วยความไม่ชอบมาพากลที่อาจจะเปลี่ยนโฉมหน้าประวัติศาสตร์ของสยาม งานนี้เมธัส ขุนภพ แม่เกสร และอีกหนึ่งผู้ช่วย 'สุนทรภู่' (นิมิตร ลักษมีพงศ์) จึงต้องหยุดยั้งแผนการนี้เพื่อไม่ให้ประวัติศาสตร์ของสยามต้องเปลี่ยนแปลงไป

นับเป็นโจทย์ที่ยากพอดูที่ "บุพเพสันนิวาส 2" ต้องหาจุดลงตัวของตัวเอง เพราะอย่างแรกจะต้องเป็นภาพยนตร์ที่สามารถยืนบนลำแข้งของตัวเองให้ได้สำหรับคนที่ไม่ใช่แฟนละคร ในขณะเดียวกันก็ต้องสามารถเซอร์วิสและให้กลิ่นอายในแบบเดียวกับที่ละครทำไว้ได้เพื่อไม่ให้แฟนละครต้องผิดหวัง หนำซ้ำการจะต้องสร้างเรื่องขึ้นมาใหม่ เพื่อเชื่อมเนื้อเรื่องจากละครภาคแรกและส่งต่อไปยังภาคต่อไปใช้ชื่อว่า "พรหมลิขิต" และก็ยังต้องรักษาความจริงที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์อีกด้วย ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้ก็สามารถหาจุดที่ว่านั้นได้อย่างลงตัว

ในความยาวกว่า 2 ชม. 47 นาที ถ้าผู้กำกับไม่สามารถตรึงอารมณ์ของคนดูได้อย่างต่อเนื่อง นี่จะเป็นฝันร้ายแน่ๆ และถ้ากับคนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ (เพื่อนหรือแฟนลากไปชม) ด้วยแล้วนั้น ก็คูณสองคูณสามไปได้เลย แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ตัวหนังสามารถให้น้ำหนักของการเล่าตัวเรื่องหลักและส่วนของพาร์ทโรแมนติกคอมเมดี้ได้อย่างลงตัว แม้ว่าอย่างหลังจะใส่เข้ามาเยอะไปหน่อย แต่ด้วยฝีมือของผู้กำกับ สิ่งนี้ไม่ได้ทำลายหนังแต่กลับช่วยเพิ่มความดีความชอบให้กับตัวเรื่องมากยิ่งขึ้นอีก อันที่จริงถ้าขาดส่วนของรอมคอมไป หนังคงจะจืดจนไม่เป็นที่จดจำเลยทีเดียว หรือถ้าใส่มาไม่ดีก็คงจะกลายเป็นตลกฝืดๆ ที่คนดูหัวเราะแแห้งๆ ไปก็ได้ แต่สิ่งเหล่านี้ไม่เกิดขึ้นกับหนังเรื่องนี้ เพราะแต่ละมุกล้วนแต่เข้าเป้าเป็นอย่างดี วัดได้จากเสียงหัวเราะของผู้ชมในโรงภาพยนตร์ที่ตอบรับมุกเหล่านั้น

ถึงแม้ว่าในช่วงแรก ความเป็นรอมคอมจะทำให้เนื้อเรื่องไม่เดินไปไหนเลยก็ตาม แต่พอตัวละคร "เมธัส" ของ ไอซ์ พาริส เข้ามามีบทบาท ก็จะเห็นได้ชัดถึงความคืบหน้าของการเล่าเรื่อง ไปพร้อมๆ กับความเป็นรอมคอมของคู่พระนางซึ่งก็ยังอยู่ และเปิดช่องให้หนังได้ใช้ท่าไม้ตายของเรื่องแนวนี้ คือ การที่มีตัวละครย้อนเวลามาในอดีต ก็เปรียบเสมือนคนที่รู้อนาคต ทำให้สามารถใส่ชุดความรู้ในปัจจุบันเข้าไปในตัวละครของยุคอดีตได้ (ซึ่งสร้างความน่าสนใจได้มาก) โดยสิ่งที่เมธัสทำคือ เขาสอนท่านขุนภพในการจีบแม่เกสรด้วยมุกสไตล์ปัจจุบัน ซึ่งก็เป็นการสร้างมิติให้กับความเป็นรอมคอมได้มากขึ้นไปอีก(ความผิดยุคผิดสมัยนี่แหละที่เรียกเสียงฮาได้หลายครั้ง) ต้องบอกว่าตัวละครเมธัส เป็นตัวละครที่สำคัญของเรื่องไม่แพ้คู่พระนางเลย เป็นความชาญฉลาดในการหาพื้นที่อย่างลงตัวให้ตัวละครนี้ที่ย้อนเวลากลับไปได้มีบทบาทและมีความเชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์ในแง่ที่ก็ไม่ได้ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นจนส่งผลถึงปัจจุบันอีกต่างหาก

ในส่วนของการเล่าเรื่อง ตัวหนังรู้ว่าจังหวะไหนควรจะตลก จังหวะไหนควรซีเรียสจริงจัง และความสนุกอีกอย่างคือ การที่ตัวละครมานั่งดูสมุดบันทึกของแม่การะเกดแล้วค่อยๆ วิเคราะห์ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น ในขณะที่ตัวเมธัสเองก็ใช้พลัง(ความรู้ทางประวัติศาสตร์)ที่เขามีในการควบคุมเนื้อเรื่องไปด้วย นั่นทำให้ ตัวเรื่องมีไดนามิกของการเล่าเรื่องที่ดีจนตรึงอารมณ์ของคนดูไปได้ตลอดทั้งเรื่อง หนำซ้ำ ด้วยความที่แม่เกสรเป็นคนหัวก้าวหน้าเพราะได้ร่ำเรียนกับบาทหลวงปาลเลอกัวซ์ ตัวเธอจึงไม่เชื่อเรื่องบุพเพสันนิวาส และยังตั้งคำถามด้วยว่า การที่ตัวเธอกับขุนภพรักกันนั้นเป็นเพราะว่าชาติที่แล้วทั้งสองได้ครองคู่กันอย่างนั้นหรือ ซึ่งเป็นประเด็นที่หนังแทรกมาได้น่าฉุกคิดและเพิ่มมิติให้กับเนื้อเรื่องยิ่งไปอีก

และต้องยอมรับว่า เบลล่าดึงเสน่ห์ของตัวละครแม่เกสรออกมาได้อย่างหมดจด คนที่ไม่เคยติดตามเบลล่าอาจจะต้องหันขวับไปหาตัวละครนี้ ด้วยรูปร่างและหน้าตาที่เข้ากับชุดไทยได้อย่างสมบูรณ์แบบ ยอมรับว่าเคยเห็นเบลล่าในบทอื่นๆ มาบ้าง แต่ก็ไม่ตราตรึงใจเท่ากับบทแม่เกสร และเหมือนผู้สร้างก็ดูจะรู้ในข้อนี้ดี เลยจับให้ตัวละครนี้ใส่ชุดไทยหลายชุด แต่ที่สวยที่สุดคงเป็น ชุดไทยสีน้ำเงินเข้มพร้อมด้วยหมวกปีกกว้างสไตล์ยุโรป พาลให้นึกถึง เคท วินสเลท (Kate Winslet) ในฉากที่ปรากฏตัวครั้งแรกในภาพยนตร์เรื่อง Titanic ซึ่งถูกยกย่องว่าเป็นฉากเปิดตัวละครที่ดีที่สุด หนำซ้ำฉากที่ว่าทั้งสองคนยังอยู่ที่ท่าเรือเหมือนกันอีกต่างหาก ก็เรียกว่าน่าจะได้แรงบันดาลใจมาเต็มๆ


ไม่เพียงเท่านั้น เบลล่ายังมอบการแสดงที่ถ้าในอนิเมะฝั่งญี่ปุ่นจะมีศัพท์ที่เรียกพฤติกรรมคล้ายๆ แบบนี้ว่า "ซึนเดเระ" จำพวกที่ช่วงแรกก็ไม่ได้ชอบพระเอกหรอก แต่นานวันเข้าก็เริ่มหลงรัก ได้อย่างน่ารักน่าชัง หนำซ้ำตัวเธอยังแอบใกล้ชิดสนิทสนมกับเมธัสจนท่านขุนอิจฉาและกระวนกระวายใจอยู่หลายครั้ง ตัวอย่างของความซึนเดเระนี้ให้ดูที่ตัวอย่างหนัง ฉากที่เมธัสทักเกสรตอนที่กำลังใช้แว่นตาเดียวส่องบันทึกของการะเกดว่า "สาวแแว่น" แล้วตัวเธอก็ยิ้มตอบ แต่พอท่านขุนพูดว่า "ช่างงามยิ่งนัก" ก็หันไปทำหน้าบึ้งใส่... เอาเป็นว่าถ้าจะโดนตกก็ไม่แปลกเลย


ส่วนท่านขุนภพ แน่นอนว่าความหล่อเหลาของโป๊บคงไม่ต้องบรรยายอะไรนัก แต่ที่เพิ่มมาแล้วทำได้ดีเลย คือ ความติ๊กต๊องหน่อยๆ ของตัวละครนี้ ซึ่งอย่างที่บอกพอบางทีที่จีบเกสรไม่สำเร็จ ความกวน ความติ๊กต๊องก็เหมือนเป็นจุดเสริมความแป๊กนั้นได้ลงตัว ทางด้านเมธัส นอกจากความสำคัญต่อเรื่องราวแล้ว ดูเหมือนเป็นความจงใจที่ตั้งใจแคส ไอซ์ พาริส ที่มีความเป็นลูกครึ่งชัดเจน เพื่อให้ขัดกับยุคสมัยนั้น ที่จะคนไทยก็ไม่เชิง ฝรั่งก็ไม่ใช่ ทำให้เขาดูโดดเด่นไปโดยปริยาย

ส่วนที่แย่งซีนไม่น้อยเห็นจะเป็น บ่าวรับใช้ของเกสรอย่าง "พี่ปี่" ที่รับบทโดย ปุ๊กกี้ (ปวีณ์นุช แพ่งนคร) การโผล่มาแต่ละทีของตัวละครนี้เรียกเสียงฮาได้ตลอดทุกครั้ง อีกคนที่ก็ทำได้ดี คือ ตัวละคร สุนทรภู่ ที่รับบทโดย บ็อบบี้ (นิมิตร ลักษมีพงศ์) ซึ่งมีบทบาทและสร้างความฮาต่อเรื่องได้ไม่น้อยเช่นกัน ส่วนที่น่าเสียดายเห็นจะเป็น ตัวละครคุณหญิงแม่ของขุนภพ ที่รับบทโดย กิ๊ก (สุวัจนี พานิชชีวะ) ที่มีบทบาทน้อยไปสักหน่อย เรียกว่าใช้ไม่ค่อยคุ้ม ส่วนตัวละครชาวต่างชาติทั้ง นายห้างหันแตร (รับบทโดย แดเนียล เฟรเซอร์) และบาทหลวงปาลเลอกัวซ์ (โจนาธาน แซมซัน) ที่ก็เคยผ่านผลงานการแสดงกันมาแล้ว ต้องบอกว่ามีความเป็นธรรมชาติแล้วก็ไปกับเรื่องได้ดีมาก ถือว่าเป็นตัวละครที่เพิ่มความน่าเชื่อถือของยุคสมัยที่มีการเข้ามาของต่างชาติเลยทีเดียว

ในเรื่องงานโปรดักชั่นคงไม่ต้องมีอะไรน่าเป็นห่วง เพราะอยู่ในมือของ GDH ซึ่งก็เป็นแถวหน้าของประเทศเราแล้ว ทั้งเรื่องเทคนิคพิเศษด้านภาพ (CGI) หรือเสื้อผ้าหน้าผมทุกตัวละครที่จัดเต็ม และสถานที่ถ่ายทำทั้งบ้านทรงไทย แม่น้ำลำห้วย ก็เรียกว่าสัมผัสได้ถึงความสมจริงเพียงพอให้เราเชื่อได้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในเรื่องว่าเป็นยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์จริงๆ อาจเป็นเพราะว่ามีการระดมทุนก่อนหน้านั้นที่ก็ได้ทุนค่อนข้างมากด้วย ชื่อของผู้ร่วมทุนจะอยู่ในส่วนของ Executive Producer ซึ่งจะขึ้นตอน End Credit ด้วย

ถ้าจะถามถึงจุดติของภาพยนตร์เรื่องนี้ อย่างแรก คือ ความยืดย้วนเกินไปของตัวเรื่อง ในช่วงแรกๆ ที่เป็นรอมคอม เราจะไม่รู้สึกถึงเรื่องนี้เพราะมันสนุก ก็ทำให้ดูได้เพลินๆ ไปเรื่อยๆ แต่ที่เห็นได้ค่อนข้างชัดน่าจะเป็นตอนองค์ท้าย ฉากบนเรือที่ยืดจนรู้สึกได้ (หน้าพี่โป๊บกระแทบขอบเรือไปหลายรอบแล้ว ยังสู้ไม่จบสักที ฮ่าๆ) และลากยาวไปจนถึงฉากจบ ทำให้จบได้ไม่ค่อยเฉียบคมสักเท่าไหร่นัก ถ้าตัดบางบีท(การกระทำของตัวละคร)ออกไปน่าจะกระชับกว่านี้ หรือบางมุกที่ดูซ้ำๆ ก็น่าจะตัดไปได้อีก และก็ฉากแอคชั่นยังดูไม่ดุดันเท่าไหร่นัก อีกเรื่องที่รู้สึกได้ คือ บุพเพสันนิวาส 2 ดูเหมือนจะเป็นละครขนาดยาวมากกว่าจะเป็นภาพยนตร์ อาจเป็นเพราะไวยกรณ์ที่ใช้ เช่น จังหวะตบมุก มุมกล้อง การใช้ซาวน์หรือแม้กระทั่งการแสดง ก็ยังคงมีรูปแบบไม่ต่างจากละครโทรทัศน์มาก ทำให้รู้สึกเหมือนดูละครมากกว่าหนัง แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร

สรุป บุพเพสันนิวาส 2 ภาพยนตร์เนื้อเรื่องเสริมของบุพเพสันนิวาส ที่มีความเป็นมิตรต่อผู้ชมทั้งหน้าใหม่และที่เป็นแฟนละครอยู่แล้ว ด้วยการให้น้ำหนักที่ดีกับทั้งส่วนของเนื้อเรื่องและความเป็นโรแมนติกคอมเมดี้ และดึงเสน่ห์ของนักแสดงพระนางออกมาได้ขึ้นจอและน่ารักน่าชังไปพร้อมๆ กัน รวมถึงคุณภาพของนักแสดงสมทบคนอื่นๆ และงานสร้างที่มีคุณภาพจาก GDH ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์ที่ถ้าอยากจะชวนให้คนอื่นไปดู ก็กล้าแนะนำได้เต็มปากอย่างไม่ต้องอ้อมค้อมเลย และก็เหมาะสำหรับคนที่เริ่มต้นเข้าสู่จักรวาลบุพเพสันนิวาสด้วย

ฝากเพจด้วยครับ Story Decoder
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่