ฝ่ายค้าน ยื่นตีความปม 8 ปี 17 ส.ค.นี้ มั่นใจ ความเป็นนายกฯ สิ้นสุด
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7199910
“ชูศักดิ์” ย้ำ ฝ่ายค้าน ยื่นตีความปมวาระ 8 ปี ต่อ ‘ประธานสภา’ วันที่ 17 ส.ค.นี้ มั่นใจ ความเป็นนายกฯ “ประยุทธ์” สิ้นสุด
เมื่อวันที่ 6 ส.ค. 2565 นาย
ชูศักดิ์ ศิรินิล ประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงการยื่นตีความการดำรงตำแหน่งนายกฯ 8 ปี ของ พล.อ.
ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ว่า เป็นการยื่นเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าความเป็นนายกฯ ของ พล.อ.
ประยุทธ์ สิ้นสุดลงในวันที่ 24 ส.ค. เนื่องจากดำรงตำแหน่งนายกฯ รวมกันแล้วเกิน 8 ปี ตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 มาตรา 158 วรรคท้าย มาตรา 170 และมาตรา 264
โดยรัฐธรรมนูญกำหนดให้ ส.ส. ไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของจำนวน ส.ส.ที่มีอยู่ เข้าชื่อยื่นต่อประธานสภาฯ เพื่อส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญ เข้าใจว่าพรรคร่วมฝ่ายค้านจะยื่นคำร้องได้ประมาณวันที่ 17 ส.ค. และคาดว่า ประธานสภาฯ คงจะส่งเรื่องให้ตรวจสอบความสมบูรณ์ของคำร้อง และตรวจสอบรายชื่อสมาชิก น่าจะใช้เวลาประมาณ 7 วัน ก่อนส่งไปยังศาลรัฐธรรมนูญได้ในเวลาที่อยู่ครบกำหนด 8 ปีตามเงื่อนไขที่รัฐธรรมนูญกำหนด
นาย
ชูศักดิ์ กล่าวว่า สำหรับสาระที่เป็นข้อกฎหมายก็คงจะรับรู้โดยทั่วกันแล้วว่า รัฐธรรมนูญมาตรา 264 ให้คณะรัฐมนตรีที่เป็นอยู่ก่อนรัฐธรรมนูญ 2560 ประกาศใช้ เป็นคณะรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญนี้ โดยยกเว้นคุณสมบัติบางประการ
แต่ที่ไม่ยกเว้นให้คือการเป็นนายกฯ เกิน 8 ปี ที่ทำให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลง ซึ่งเราได้ศึกษาและค่อนข้างมั่นใจว่าต้องพ้น คือเจตนารมณ์ของมาตรา 264 มาตรา 158 ที่ชัดเจนว่ามีจุดมุ่งหมายอย่างไร ซึ่งมิได้มีการระบุว่าต้องเป็นนายกฯ ตามรัฐธรรมนูญ 2560 เท่านั้น
นาย
ชูศักดิ์ กล่าวต่อว่า พร้อมทั้งได้ยกคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ได้วินิจฉัยลักษณะต้องห้ามของรัฐมนตรีในยุค พล.อ.
ประยุทธ์ ก่อนรัฐธรรมนูญ 2560 ประกาศใช้ คำวิจฉัยในเรื่องกฎหมายไม่มีผลย้อนหลังว่าตีความอย่างไร โดยรวมคณะทำงานฝ่ายกฎหมายของฝ่ายค้านค่อนข้างมั่นใจว่า คำร้องมีความสมบูรณ์ทั้งในเรื่องของข้อเท็จจริง ข้อกฎหมายและเจตนารมณ์ เข้าข่ายที่จะทำให้สรุปได้ว่าความเป็นนายกฯ ของ พล.อ.
ประยุทธ์ สิ้นสุดลง
'ปธ.กกต.' รอตรวจสอบปม 8 ปีประยุทธ์ ด้าน 'ผู้ตรวจฯ' ยันเรื่องใหญ่ ต้องรอบคอบ
https://www.matichon.co.th/politics/news_3492827
เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม นาย
อิทธิพร บุญประคอง ประธานกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวกรณีที่นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และผู้ตรวจการแผ่นดิน ขอให้เสนอเรื่องพร้อมความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยสถานะการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 8 ปี ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ว่า โดยหลักการเมื่อสำนักงานกกต. ได้รับเรื่องแล้วจะมีการประมวลความเห็นเพื่อเสนอต่อที่ประชุมกกต. ว่ากรณีนั้นมีเหตุสิ้นสุดลงของความเป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ หากที่ประชุมเห็นว่ามีเหตุดังกล่าวจะจัดทำคำร้องยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 ต่อไป อย่างไรก็ตาม ทราบจากข่าวว่าทางส.ส. จะมีการเข้าชื่อร่วมกันเพื่อยื่นคำร้องประเด็นนี้ต่อศาลรัฐธรรมนูญเช่นกัน
ขณะที่ พ.ต.ท.
กีรป กฤตธีรานนท์ เลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน กล่าวว่า ตามกระบวนการเมื่อมีผู้มายื่นคำร้อง ทางสำนักงานฯ โดยฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะต้องดำเนินการตรวจสอบคำร้อง ลำดับแรกต้องพิจารณาว่าผู้ตรวจการแผ่นดิน มีอำนาจที่จะรับไว้พิจารณาหรือไม่ หากมีอำนาจให้สามารถรับเรื่องไว้ได้ ขั้นตอนต่อมาต้องดูเนื้อหาสาระที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายว่าเปิดช่องให้ทางผู้ตรวจการแผ่นดิน ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัยได้หรือไม่ ถ้ากฎหมายเปิดช่องให้ส่งไปได้ ต้องมาดูที่เนื้อหาสาระว่าขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่อย่างไร ทั้งนี้ทุกเรื่องที่ผู้ตรวจฯจะต้องพิจารณาว่าจะเสนอเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่ ล้วนแล้วเป็นเรื่องที่มีความสำคัญเกี่ยวข้องกับบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ จึงจำเป็นต้องดูข้อกฎหมายเป็นพิเศษและหาข้อมูลด้วยความรอบคอบ เมื่อตรวจสอบว่ามีอำนาจจะพิจารณาโดยเร็ว เนื่องจากกรณีดังกล่าวเป็นประเด็นที่อยู่ในความสนใจของคนในสังคม
'เศรษฐา' แนะโค้งสุดท้ายรบ. เอาศก.นำการเมือง เร่งแก้ปากท้อง ปั๊มรายได้ท่องเที่ยว
https://www.matichon.co.th/politics/news_3492487
นาย
เศรษฐา ทวีสิน ประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจโค้งสุดท้ายของปีนี้ที่ยังเหลืออีก 4-5 เดือน มองว่าภาวะเศรษฐกิจยังหนักอยู่ ซึ่งได้รับผลกระทบจากหลายปัจจัยทั้งเงินเฟ้อ หนี้ครัวเรือน ความไม่แน่นอนทางด้านการเมือง สงครามยูเครนกับรัสเซีย ผนวกกับตอนนี้มีการส่งสัญญาณว่าภาคการส่งออกของไทยเริ่มถดถอย จากการที่ความต้องการของสินค้าและบริการจากต่างประเทศเริ่มลดลง อย่างเช่น ประเทศสหรัฐอเมริกาเองเศรษฐกิจถดถอยมา 2 ไตรมาสแล้ว ทำให้ความต้องการของสินค้าไทยก็อาจจะลดน้อยลงไป เป็นเรื่องที่ไทยจะต้องคำนึงถึงอย่างมาก
• แนะ ”นายก”โรดโชว์-ปลดล็อกวีซ่า ดึงคนเข้าปท.
“อย่างไรก็ตามทีผมว่าในภาพที่มืด ยังพอยังมองเห็นแสงสว่างอยู่บ้าง ตัวอย่างการท่องเที่ยวเราเปิดประเทศอย่างสมบูรณ์แบบแล้วเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมา ก็เริ่มเห็นตัวเลขนักท่องเที่ยวดีขึ้นมาก ส่งผลให้ธุรกิจเกี่ยวเนื่องเริ่มดีด้วย เช่น อัตราการเข้าพักโรงแรม ร้านอาหารที่คนคลายกังวลจากโควิดทำให้ออกมาทานอาหารนอกบ้านมากขึ้น แต่ถึงอย่างไรเราก็ต้องมีความป้องกันตัวเองให้เป็นอย่างดี”นายเศรษฐากล่าว
นาย
เศรษฐากล่าวว่า อีกปัจจัยหนึ่งที่เป็นปัจจัยบวกคือเงินบาทอ่อนค่าจะมาส่งเสริมภาคการท่องเที่ยวของประเทศ ซึ่งในไตรมาส4 เป็นช่วงพีคของฤดูกาลท่องเที่ยวอยู่แล้ว จึงอยากให้รัฐบาลโฟกัสตรงจุดนี้และให้ทำโรดโชว์ว่าเราพร้อมที่จะรับนักท่องเที่ยวอย่างเต็มที่แล้ว โดยกระตุ้นการบินไทยเปิดเส้นทางการบินที่จะบินไปยังประเทศต่างๆให้กลับมาเหมือนเดิมและมีการรับส่งผู้โดยสารเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เพราะเมื่อมีความต้องการบินเข้ามายังประเทศไทยแต่ไม่มีเครื่องบินรองรับก็จะลำบาก
“รวมถึงต้องคลายล็อกเรื่องการออกวีซ่าของนักท่องเที่ยวจีนที่มีปริมาณสูงที่สุด ผมว่าเมื่อใครเคยเข้ามาแล้วก็ไม่จำเป็นต้องมีวีซ่าอีกให้เข้ามาเลย เพราะเชื่อว่าเป็นการคัดกรองส่วนหนึ่งแล้วว่าคนกลุ่มนี้เคยได้รับการอนุมัติเรื่องวีซ่ามาแล้ว จะทำให้เรามีนักท่องเที่ยวเข้ามาได้อีกจำนวนมากและถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญ “นายเศรษฐากล่าว
• เร่งทำการบ้านรับ ”ประชุมเอเปค” ปลายปี
นาย
เศรษฐากล่าวว่า นอกจากนี้ในเดือนพฤศจิกายน 2565 ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพการประชุมเอเปคหรือการประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชียแปซิฟิก ซึ่งท่านนายกรัฐมนตรีก็หมายมั่นปั้นมือที่จะเป็นเจ้าภาพการประชุมในครั้งนี้อย่างสง่างาม ดังนั้นจึงต้องมีการทำการบ้านไปก่อน โดยออกไปติดต่อเขา(ต่างประเทศ) ไปกระตุ้นเรื่องการท่องเที่ยว การซื้อขายสินค้า ซึ่งรัฐบาลต้องทำการบ้านเพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ว่าภาคการท่องเที่ยว ร้านอาหารได้เตรียมพร้อม เมื่อรู้ว่ารัฐบาลจะมีการกระตุ้นจะได้เพิ่มการจ้างคน และช่วยกระตุ้นการบริโภคมากขึ้น ขวัญกำลังใจของคนก็จะกลับมา โดยเดินหน้าแก้ปัญหาคู่ขนานไปกับปัจจัยลบต่างๆ ทั้งเรื่องหนี้ครัวเรือน เรื่องเงินเฟ้อ และเรื่องปากท้อง หากเศรษฐกิจดี คนมีรายได้ ทุกอย่างจะดีขึ้นตามมาอย่างแน่นอน
• เผย ”ท่องเที่ยว” ตัวชูโรงดันจีดีพีโต
“ภาพรวมของเศรษฐกิจทั้งปีนี้ ถ้าไม่เอาภาคการท่องเที่ยวเป็นตัวชูโรง อาจจะได้จีดีพีโตไม่เท่าที่ต้องการ รัฐบาลต้องออกไปหาเขา ไปขายสินค้าและบริการ ซึ่งเศรษฐกิจจะแย่หรือดีขึ้นระดับไหน ขึ้นอยู่กับตัวเรามากกว่า จะหมกหมุ่นอยู่กับปัญหาอย่างเดียวก็ไม่ได้ ตอนนี้ท่านนายกฯเองจะต้องออกไปชูโรงเอง เพื่อช่วยเรื่องปากทองของประชาชนที่เป็นสิ่งสำคัญที่สุดและเป็นปัญหาเร่งด่วนที่ต้องแก้ กระทรวงพาณิชย์ต้องเข้าไปควบคุมดูแลสินค้า จะขึ้นราคาอย่างเดียวก็เหนื่อย ภาวะแบบนี้รัฐต้องลุกขึ้นมาทำงาน สร้างการเปลี่ยนแปลง ต้องเอาเศรษฐกิจนำการเมือง ซึ่งเป็นที่สำคัญสุดในช่วงโค้งสุดท้ายของรัฐบาลก่อนจะมีการเลือกตั้งอีก 7-8 เดือนส่วนจะทำได้ดีกรือไม่ดีนั้น การเลือกตั้งที่จะมีขึ้น 7-8 เดือนข้างหน้าจะเป็นตัวตัดสิน “นาย
เศรษฐากล่าว
• แสดงจุดยืนสงคราม 3 ประเทศ
สำหรับสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างประเทศจีน ไต้หวัน และสหรัฐอเมริกานั้น นาย
เศรษฐากล่าวว่า เป็นเรื่องภูมิศาสตร์การเมือง เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ซึ่งไทยเป็นประเทศที่เล็ก แต่มีความพร้อมด้านภูมิศาสตร์ของประเทศ และอินฟราสตรัคเจอร์ ถ้ามีการขัดแย้งของประเทศมหาอำนาจทั้งหลาย เราต้องใช้นโยบายภูมิศาสตร์การเมืองโลกหรือ Geopoliticsให้เป็นกลางที่สุด ซึ่งประเทศไทยมีเสน่ห์และข้อดีมาก การจะออกมาบอกว่าเห็นด้วยกับใครหรือเราจะได้โอกาสจากเหตุนี้ เป็นเรื่องที่ไม่สมควร เพราะท้ายที่สุดทั้งจีนและสหรัฐอเมริกาก็ล้วนเป็นประเทศพันธมิตรที่เราพึ่งพา โดยเราต้องมีจุดยืน ขณะเดียวกันต้องใช้โอกาสตรงนี้มองเรื่องการค้าและการลงทุนด้วย
• แนะขึ้น ”ดอกเบี้ย” ค่อยเป็นค่อยไป
นาย
เศรษฐากล่าวว่า สำหรับทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้น ทางธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ต้องปรับขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยก็ไม่ได้ช่วยมาก เพราะปัญหาเงินเฟ้อที่เกิดขณะนี้ เป็นเรื่องต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ไม่ใช่เรื่องของดีมานด์หรือความต้องการ ความสุรุ่ยสุร่าย ดังนั้นการค่อยๆขึ้นน่าจะเป็นการดีกว่าขึ้นแบบมากๆ เพราะการขึ้น
ดอกเบี้ยก็เปรียบเสมือนเป็นการซ้ำเติมต่อต้นทุนการผลิตอย่างหนึ่ง และเพิ่มภาระให้กับประชาชนอีกด้วย อีกทั้งอยากให้รัฐเข้ามาดูเรื่องความเสมอภาคเท่าเทียมในสังคมในทุกมิติทุกกลุ่มไม่ว่าคน รวมถึง LGBTQ และทรัพย์สินที่มีอยู่
• ย้ำต้องเลือกตั้งใหม่ให้ศก.เดินหน้า
เมื่อถามว่าประเมินสถานการณ์การเมืองโค้งสุดท้ายอย่างไร นาย
เศรษฐากล่าวว่า ตอนนี้ไม่น่าจะมีอะไร หลังการอภิปรายจบ ก็ไม่เห็นจะมีการปรับคณะรัฐมนตรี ต้องจับตาหลังจบการประชุมเอเปคปลายปีนี้ว่าควรจะมีการยุบสภาหรือการเลือกตั้งใหม่ได้แล้ว เพื่อให้เศรษฐกิจของประเทศเดินหน้า
JJNY : ยื่นตีความปม 8ปี 17ส.ค.นี้│ปธ.กกต.รอตรวจสอบปม8ปี│'เศรษฐา'แนะเอาศก.นำการเมือง│สื่อนอกตีข่าวไฟไหม้ผับไทยไม่มีทางหนี
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7199910
“ชูศักดิ์” ย้ำ ฝ่ายค้าน ยื่นตีความปมวาระ 8 ปี ต่อ ‘ประธานสภา’ วันที่ 17 ส.ค.นี้ มั่นใจ ความเป็นนายกฯ “ประยุทธ์” สิ้นสุด
เมื่อวันที่ 6 ส.ค. 2565 นายชูศักดิ์ ศิรินิล ประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงการยื่นตีความการดำรงตำแหน่งนายกฯ 8 ปี ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ว่า เป็นการยื่นเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าความเป็นนายกฯ ของ พล.อ.ประยุทธ์ สิ้นสุดลงในวันที่ 24 ส.ค. เนื่องจากดำรงตำแหน่งนายกฯ รวมกันแล้วเกิน 8 ปี ตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 มาตรา 158 วรรคท้าย มาตรา 170 และมาตรา 264
โดยรัฐธรรมนูญกำหนดให้ ส.ส. ไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของจำนวน ส.ส.ที่มีอยู่ เข้าชื่อยื่นต่อประธานสภาฯ เพื่อส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญ เข้าใจว่าพรรคร่วมฝ่ายค้านจะยื่นคำร้องได้ประมาณวันที่ 17 ส.ค. และคาดว่า ประธานสภาฯ คงจะส่งเรื่องให้ตรวจสอบความสมบูรณ์ของคำร้อง และตรวจสอบรายชื่อสมาชิก น่าจะใช้เวลาประมาณ 7 วัน ก่อนส่งไปยังศาลรัฐธรรมนูญได้ในเวลาที่อยู่ครบกำหนด 8 ปีตามเงื่อนไขที่รัฐธรรมนูญกำหนด
นายชูศักดิ์ กล่าวว่า สำหรับสาระที่เป็นข้อกฎหมายก็คงจะรับรู้โดยทั่วกันแล้วว่า รัฐธรรมนูญมาตรา 264 ให้คณะรัฐมนตรีที่เป็นอยู่ก่อนรัฐธรรมนูญ 2560 ประกาศใช้ เป็นคณะรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญนี้ โดยยกเว้นคุณสมบัติบางประการ แต่ที่ไม่ยกเว้นให้คือการเป็นนายกฯ เกิน 8 ปี ที่ทำให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลง ซึ่งเราได้ศึกษาและค่อนข้างมั่นใจว่าต้องพ้น คือเจตนารมณ์ของมาตรา 264 มาตรา 158 ที่ชัดเจนว่ามีจุดมุ่งหมายอย่างไร ซึ่งมิได้มีการระบุว่าต้องเป็นนายกฯ ตามรัฐธรรมนูญ 2560 เท่านั้น
นายชูศักดิ์ กล่าวต่อว่า พร้อมทั้งได้ยกคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ได้วินิจฉัยลักษณะต้องห้ามของรัฐมนตรีในยุค พล.อ.ประยุทธ์ ก่อนรัฐธรรมนูญ 2560 ประกาศใช้ คำวิจฉัยในเรื่องกฎหมายไม่มีผลย้อนหลังว่าตีความอย่างไร โดยรวมคณะทำงานฝ่ายกฎหมายของฝ่ายค้านค่อนข้างมั่นใจว่า คำร้องมีความสมบูรณ์ทั้งในเรื่องของข้อเท็จจริง ข้อกฎหมายและเจตนารมณ์ เข้าข่ายที่จะทำให้สรุปได้ว่าความเป็นนายกฯ ของ พล.อ.ประยุทธ์ สิ้นสุดลง
'ปธ.กกต.' รอตรวจสอบปม 8 ปีประยุทธ์ ด้าน 'ผู้ตรวจฯ' ยันเรื่องใหญ่ ต้องรอบคอบ
https://www.matichon.co.th/politics/news_3492827
เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม นายอิทธิพร บุญประคอง ประธานกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวกรณีที่นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และผู้ตรวจการแผ่นดิน ขอให้เสนอเรื่องพร้อมความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยสถานะการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 8 ปี ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ว่า โดยหลักการเมื่อสำนักงานกกต. ได้รับเรื่องแล้วจะมีการประมวลความเห็นเพื่อเสนอต่อที่ประชุมกกต. ว่ากรณีนั้นมีเหตุสิ้นสุดลงของความเป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ หากที่ประชุมเห็นว่ามีเหตุดังกล่าวจะจัดทำคำร้องยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 ต่อไป อย่างไรก็ตาม ทราบจากข่าวว่าทางส.ส. จะมีการเข้าชื่อร่วมกันเพื่อยื่นคำร้องประเด็นนี้ต่อศาลรัฐธรรมนูญเช่นกัน
ขณะที่ พ.ต.ท.กีรป กฤตธีรานนท์ เลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน กล่าวว่า ตามกระบวนการเมื่อมีผู้มายื่นคำร้อง ทางสำนักงานฯ โดยฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะต้องดำเนินการตรวจสอบคำร้อง ลำดับแรกต้องพิจารณาว่าผู้ตรวจการแผ่นดิน มีอำนาจที่จะรับไว้พิจารณาหรือไม่ หากมีอำนาจให้สามารถรับเรื่องไว้ได้ ขั้นตอนต่อมาต้องดูเนื้อหาสาระที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายว่าเปิดช่องให้ทางผู้ตรวจการแผ่นดิน ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัยได้หรือไม่ ถ้ากฎหมายเปิดช่องให้ส่งไปได้ ต้องมาดูที่เนื้อหาสาระว่าขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่อย่างไร ทั้งนี้ทุกเรื่องที่ผู้ตรวจฯจะต้องพิจารณาว่าจะเสนอเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่ ล้วนแล้วเป็นเรื่องที่มีความสำคัญเกี่ยวข้องกับบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ จึงจำเป็นต้องดูข้อกฎหมายเป็นพิเศษและหาข้อมูลด้วยความรอบคอบ เมื่อตรวจสอบว่ามีอำนาจจะพิจารณาโดยเร็ว เนื่องจากกรณีดังกล่าวเป็นประเด็นที่อยู่ในความสนใจของคนในสังคม
'เศรษฐา' แนะโค้งสุดท้ายรบ. เอาศก.นำการเมือง เร่งแก้ปากท้อง ปั๊มรายได้ท่องเที่ยว
https://www.matichon.co.th/politics/news_3492487
นายเศรษฐา ทวีสิน ประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจโค้งสุดท้ายของปีนี้ที่ยังเหลืออีก 4-5 เดือน มองว่าภาวะเศรษฐกิจยังหนักอยู่ ซึ่งได้รับผลกระทบจากหลายปัจจัยทั้งเงินเฟ้อ หนี้ครัวเรือน ความไม่แน่นอนทางด้านการเมือง สงครามยูเครนกับรัสเซีย ผนวกกับตอนนี้มีการส่งสัญญาณว่าภาคการส่งออกของไทยเริ่มถดถอย จากการที่ความต้องการของสินค้าและบริการจากต่างประเทศเริ่มลดลง อย่างเช่น ประเทศสหรัฐอเมริกาเองเศรษฐกิจถดถอยมา 2 ไตรมาสแล้ว ทำให้ความต้องการของสินค้าไทยก็อาจจะลดน้อยลงไป เป็นเรื่องที่ไทยจะต้องคำนึงถึงอย่างมาก
• แนะ ”นายก”โรดโชว์-ปลดล็อกวีซ่า ดึงคนเข้าปท.
“อย่างไรก็ตามทีผมว่าในภาพที่มืด ยังพอยังมองเห็นแสงสว่างอยู่บ้าง ตัวอย่างการท่องเที่ยวเราเปิดประเทศอย่างสมบูรณ์แบบแล้วเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมา ก็เริ่มเห็นตัวเลขนักท่องเที่ยวดีขึ้นมาก ส่งผลให้ธุรกิจเกี่ยวเนื่องเริ่มดีด้วย เช่น อัตราการเข้าพักโรงแรม ร้านอาหารที่คนคลายกังวลจากโควิดทำให้ออกมาทานอาหารนอกบ้านมากขึ้น แต่ถึงอย่างไรเราก็ต้องมีความป้องกันตัวเองให้เป็นอย่างดี”นายเศรษฐากล่าว
นายเศรษฐากล่าวว่า อีกปัจจัยหนึ่งที่เป็นปัจจัยบวกคือเงินบาทอ่อนค่าจะมาส่งเสริมภาคการท่องเที่ยวของประเทศ ซึ่งในไตรมาส4 เป็นช่วงพีคของฤดูกาลท่องเที่ยวอยู่แล้ว จึงอยากให้รัฐบาลโฟกัสตรงจุดนี้และให้ทำโรดโชว์ว่าเราพร้อมที่จะรับนักท่องเที่ยวอย่างเต็มที่แล้ว โดยกระตุ้นการบินไทยเปิดเส้นทางการบินที่จะบินไปยังประเทศต่างๆให้กลับมาเหมือนเดิมและมีการรับส่งผู้โดยสารเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เพราะเมื่อมีความต้องการบินเข้ามายังประเทศไทยแต่ไม่มีเครื่องบินรองรับก็จะลำบาก
“รวมถึงต้องคลายล็อกเรื่องการออกวีซ่าของนักท่องเที่ยวจีนที่มีปริมาณสูงที่สุด ผมว่าเมื่อใครเคยเข้ามาแล้วก็ไม่จำเป็นต้องมีวีซ่าอีกให้เข้ามาเลย เพราะเชื่อว่าเป็นการคัดกรองส่วนหนึ่งแล้วว่าคนกลุ่มนี้เคยได้รับการอนุมัติเรื่องวีซ่ามาแล้ว จะทำให้เรามีนักท่องเที่ยวเข้ามาได้อีกจำนวนมากและถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญ “นายเศรษฐากล่าว
• เร่งทำการบ้านรับ ”ประชุมเอเปค” ปลายปี
นายเศรษฐากล่าวว่า นอกจากนี้ในเดือนพฤศจิกายน 2565 ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพการประชุมเอเปคหรือการประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชียแปซิฟิก ซึ่งท่านนายกรัฐมนตรีก็หมายมั่นปั้นมือที่จะเป็นเจ้าภาพการประชุมในครั้งนี้อย่างสง่างาม ดังนั้นจึงต้องมีการทำการบ้านไปก่อน โดยออกไปติดต่อเขา(ต่างประเทศ) ไปกระตุ้นเรื่องการท่องเที่ยว การซื้อขายสินค้า ซึ่งรัฐบาลต้องทำการบ้านเพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ว่าภาคการท่องเที่ยว ร้านอาหารได้เตรียมพร้อม เมื่อรู้ว่ารัฐบาลจะมีการกระตุ้นจะได้เพิ่มการจ้างคน และช่วยกระตุ้นการบริโภคมากขึ้น ขวัญกำลังใจของคนก็จะกลับมา โดยเดินหน้าแก้ปัญหาคู่ขนานไปกับปัจจัยลบต่างๆ ทั้งเรื่องหนี้ครัวเรือน เรื่องเงินเฟ้อ และเรื่องปากท้อง หากเศรษฐกิจดี คนมีรายได้ ทุกอย่างจะดีขึ้นตามมาอย่างแน่นอน
• เผย ”ท่องเที่ยว” ตัวชูโรงดันจีดีพีโต
“ภาพรวมของเศรษฐกิจทั้งปีนี้ ถ้าไม่เอาภาคการท่องเที่ยวเป็นตัวชูโรง อาจจะได้จีดีพีโตไม่เท่าที่ต้องการ รัฐบาลต้องออกไปหาเขา ไปขายสินค้าและบริการ ซึ่งเศรษฐกิจจะแย่หรือดีขึ้นระดับไหน ขึ้นอยู่กับตัวเรามากกว่า จะหมกหมุ่นอยู่กับปัญหาอย่างเดียวก็ไม่ได้ ตอนนี้ท่านนายกฯเองจะต้องออกไปชูโรงเอง เพื่อช่วยเรื่องปากทองของประชาชนที่เป็นสิ่งสำคัญที่สุดและเป็นปัญหาเร่งด่วนที่ต้องแก้ กระทรวงพาณิชย์ต้องเข้าไปควบคุมดูแลสินค้า จะขึ้นราคาอย่างเดียวก็เหนื่อย ภาวะแบบนี้รัฐต้องลุกขึ้นมาทำงาน สร้างการเปลี่ยนแปลง ต้องเอาเศรษฐกิจนำการเมือง ซึ่งเป็นที่สำคัญสุดในช่วงโค้งสุดท้ายของรัฐบาลก่อนจะมีการเลือกตั้งอีก 7-8 เดือนส่วนจะทำได้ดีกรือไม่ดีนั้น การเลือกตั้งที่จะมีขึ้น 7-8 เดือนข้างหน้าจะเป็นตัวตัดสิน “นายเศรษฐากล่าว
• แสดงจุดยืนสงคราม 3 ประเทศ
สำหรับสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างประเทศจีน ไต้หวัน และสหรัฐอเมริกานั้น นายเศรษฐากล่าวว่า เป็นเรื่องภูมิศาสตร์การเมือง เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ซึ่งไทยเป็นประเทศที่เล็ก แต่มีความพร้อมด้านภูมิศาสตร์ของประเทศ และอินฟราสตรัคเจอร์ ถ้ามีการขัดแย้งของประเทศมหาอำนาจทั้งหลาย เราต้องใช้นโยบายภูมิศาสตร์การเมืองโลกหรือ Geopoliticsให้เป็นกลางที่สุด ซึ่งประเทศไทยมีเสน่ห์และข้อดีมาก การจะออกมาบอกว่าเห็นด้วยกับใครหรือเราจะได้โอกาสจากเหตุนี้ เป็นเรื่องที่ไม่สมควร เพราะท้ายที่สุดทั้งจีนและสหรัฐอเมริกาก็ล้วนเป็นประเทศพันธมิตรที่เราพึ่งพา โดยเราต้องมีจุดยืน ขณะเดียวกันต้องใช้โอกาสตรงนี้มองเรื่องการค้าและการลงทุนด้วย
• แนะขึ้น ”ดอกเบี้ย” ค่อยเป็นค่อยไป
นายเศรษฐากล่าวว่า สำหรับทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้น ทางธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ต้องปรับขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยก็ไม่ได้ช่วยมาก เพราะปัญหาเงินเฟ้อที่เกิดขณะนี้ เป็นเรื่องต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ไม่ใช่เรื่องของดีมานด์หรือความต้องการ ความสุรุ่ยสุร่าย ดังนั้นการค่อยๆขึ้นน่าจะเป็นการดีกว่าขึ้นแบบมากๆ เพราะการขึ้น
ดอกเบี้ยก็เปรียบเสมือนเป็นการซ้ำเติมต่อต้นทุนการผลิตอย่างหนึ่ง และเพิ่มภาระให้กับประชาชนอีกด้วย อีกทั้งอยากให้รัฐเข้ามาดูเรื่องความเสมอภาคเท่าเทียมในสังคมในทุกมิติทุกกลุ่มไม่ว่าคน รวมถึง LGBTQ และทรัพย์สินที่มีอยู่
• ย้ำต้องเลือกตั้งใหม่ให้ศก.เดินหน้า
เมื่อถามว่าประเมินสถานการณ์การเมืองโค้งสุดท้ายอย่างไร นายเศรษฐากล่าวว่า ตอนนี้ไม่น่าจะมีอะไร หลังการอภิปรายจบ ก็ไม่เห็นจะมีการปรับคณะรัฐมนตรี ต้องจับตาหลังจบการประชุมเอเปคปลายปีนี้ว่าควรจะมีการยุบสภาหรือการเลือกตั้งใหม่ได้แล้ว เพื่อให้เศรษฐกิจของประเทศเดินหน้า