
ต้องบอกเลยว่าตอนนี้กระเเสหนังบุพเพสันนิวาส 2 กำลังไปเเรงเเซงทางโค้งเเละทำเงินอย่างต่อเนื่อง ผมในฐานะคนที่ดูมาเเล้วทั้งละครทั้งหนังก็จะมารีวิวให้กับใครอีกหลายๆคนที่กำลังลังเลใจว่าจะดูหรือไม่ดูดี เพราะกระเเสมันออกจะฟีเวอร์ขนาดนี้ !!
"บุพเพสันนิวาส หนังที่ทั้งรัก ทั้งชัง"
ในที่นี้ของเอาความชังก่อนเลย "หนังเรื่องนี้เริ่มเเรกต้องการสื่ออะไร ?"

ผมเกลียดองก์เเรกของมันจนถึงองก์กลางของมันที่สุด คือดูไปเเบบ อุทานในใจว่า นี่ฉันเข้ามาดูหนังคนจีบกันเเค่นั้นหรอ เส้นเรื่องหลักคืออะไร เเล้วอะไรคือชนวนที่จะเล่าของหนังเรื่องนี้ คือให้นึกภาพว่าเราตีตั๋วมาดูเขารักกันอะ 55555 เเม่เกสร กับพ่อภพ นี่เเบบ เอาจริงๆละครว่าหนักเเล้วนะ มาเจอหนังคุณคูณสองเข้าไปได้เลยครับมันหนักกว่า มันหาเส้นสายปลายเหตุไม่ได้ ไปๆมาๆ เอ๊า รักกันเฉยเลยไม่มีปี่ ไม่มีขลุ่ย อย่ามาบอกว่ามันคือบุพเพ เพราะในเวอร์ชั่นละครขนาดชูคำว่าบุพเพเด่นกว่าหนัง ละครต้องสานสัมพันธ์กันเเทบตายกว่าจะมารักกันได้ หรือหนังมันเวลาน้อยไปก็ไม่รู้ เเต่สองชั่วโมงเกือบสามชั่งโมงนี่ก็ไม่น้อยนะ เเต่ทำไมเรารู้สึกว่าความสัมพันธ์ต่างๆของตัวละคร ย้ำ ทุกตัวเลย มันไม่ขับเน้นให้เราอินมายันตอนท้ายของเรื่องได้ เหมือนผ่านมาก็ผ่านไป เเล้วอยู่ดีๆความสัมพันธ์ต่างๆก็ก่อตัวขึ้นเเบบง่ายๆ ซึ่งนี่คือจุดเสียใหญ่ของหนังเลย เเบบใหญ่จริงๆ
"หนังเลือกจุดยืนผิดที่จะเป็นรักเเบบคอมมาดี้"


คือต้องทำความเข้าใจก่อนเผื่อใครนึกว่าบุพเพสันนิวาสมันคือรักเเบบคอมมาดี้ เพราะในละครคนละเรื่องกันเลยครับ ในละครนี่คือละครดราม่าดีๆหนึ่งเรื่องที่เเทรกคอมมาดี้เข้ามา เเต่หนังคือไปเน้นคอมมาดี้จ๋าเลย เเบบเอะอะยิงมุก ตบมุก หรือเล่นเเบบตลกร่างกายตลกการกระทำใส่กันรัวๆไม่ยั้ง เหมือนชาตินี้จะไม่มีโอกาสได้เล่นมุกเเล้วอะ 55555 คือมันเยอะไป เเล้วมันเกร่ออะครับ คือผมไม่ติดที่จะใส่มุกนะ เเต่ผมจะเทียบกับเรื่อง
พี่มากพระโขนง นั่นคือหนังที่ใส่มุกได้ถูกที่ถูกเวลา เเละสัดส่วนพอดี ส่วนมุกของบุพเพคือผมจะบอกว่า มันคือมุกผู้ดี๊ ผู้ดีเล่นกันอะ มันตลกเเบบปาดๆ เน้นตลกไปเลยก็ไม่ เพราะก็ยังขายสวยหล่ออยู่ ก็เลยไม่สุดในเเบบที่มันควรจะเป็น ผมจึงบอกว่าหนังมันเลือกจุดยืนผิด ไปทางคอมมาดี้ซะเยอะจนลืมไปว่ามาจากละครดราม่า จนตอนท้ายๆเราเเทบจะไม่อินเลย เพราะอุปสรรค์ของตัวละครต่างๆมันผ่านมาง่ายๆด้วยมุกคอมมาดี้นี่เเหละ
ส่วนที่รัก
"องก์สุดท้ายที่เเบกหนัง"


เเน่นอนมีอยู่ส่วนเดียวคือองก์ท้ายของเรื่อง เเต่จะว่าผมรักสุดๆไหม ก็ไม่ เพราะองก์สุดท้ายจะสมบูรณ์ได้ องก์เเรกของเรื่องต้องเเข็งเเกร่งก่อน เเต่องก์เเรกของเรื่องก็ละลายเเม่น้ำไปเรียบร้อยเเล้ว ก็คงเหลือองก์สุดท้ายนี่เเหละที่พอยึดหลักเกาะได้ เเต่ก็ยังไม่วายปนคอมมาดี้มาให้ขัดอารมณ์อีก คือคุณลองนึกภาพ เพื่อนในกลุ่มกำลังซีเรียสเรื่องงาน เเต่มันมักจะมีเด็กคนหนึ่งโผล่มาผิดที่ผิดเวลามา ก่อกวนประสาทจนคนอื่นเขาอารมณ์เสียอะครับ ความรู้สึกผมคือเเบบนั้นเลย มันเลยทำให้องก์สุดท้ายที่ควรจะพีค กลับไปไม่สุด จะดราม่าก็ร้องไห้ไม่ออก เลยเเอบเสียดายเป็นที่สุดเลย เเต่ถึงอย่างนั้นองก์สุดท้ายของเรื่องก็ยังถือได้ว่าเปิดพื้นที่ให้ผู้ชมได้ลุ้นเเละเอาใจชวยตัวละคร ทำให้เรื่องดูมีความลุ้นระทึกขึ้นมากลบความคอมมาดี้ตอนต้นไปเสียได้บ้าง กลางๆเรื่องผมเเอบมีชอบฉากที่มีการถกเถียงกันเรื่องบุพเพสันนิวาสนะว่า สรุปเเล้วเรารักกันด้วยเงื่อนไขนี้หรือเงื่อนไขอะไรกันเเน่ อันนี้ถือว่าดูดีมีเหตุผลมาก
โอเคหลังจากบ่นมาเสียยกใหญ่ จุดดีๆของหนังก็มีเยอะครับ ใช่ว่าจะไม่มี
"การสร้างเเละคอสตูม"
ฉาก


โอ้โหคงไม่ต้องบอกเลยว่าระดับ GDH คงไม่ปล่อยให้ฉากบ้งๆหลุดรอดสายตามาสู่คนดูหนังได้เเน่ๆ ฉากต่างๆสร้างสรรค์ได้สวย วัดวาอาราม หรือ เรือกลไฟ เอ็กซ์เพรส ก็ถึงกับสร้างขึ้นมาถ่ายเลย ส่วน CG ต่างๆ ก็อยู่ในระดับดีเลย (ถึงจะมีลอยไปบ้าง อุ๊บส) อะอะ เเต่ก็รับได้ ไม่ขี้เหร่
คอสตูม



คอสตูมเป็นสิ่งเดียวที่ผมว่าโคตรชูโรงเลยสำหนับเรื่องนี้ เราจะไม่ขอพูดถึงเรื่องลายผ้าตรงสมัยหรือไม่ตรงสมัยนะครับ เพราะคิดว่าหนังต้องมีการดีไซน์ใหม่อะไรใหม่อยู่เเล้ว ถือเป็นเรื่องของศิลปะการดีไซน์ เเต่จะพูดในเรื่องของ mood ของคอสตูม ว่า คนทำหนังคงคิดมาดี เพราะเสื้อผ้าหน้าผมถือว่าเซตได้ดี มีความคลุมโทนเเละขับอารมณ์ของตัวละครว่าเเต่ละตัวมีนิสัยใจคอเป็นเเบบไหน ก็ให้ดูจากเสื้อผ้าที่ใส่เลยครับ
นักเเสดงบทเด่นๆ

คือคงไม่ต้องบอกให้มากความว่า โป๊บ(พ่อภพ) เบลล่า(เเม่เกสร) เป็นนักเเสดงคู่บุญมาตั้งเเต่บุพเพสันนิวาสภาคเเรกเเล้ว เเละยังเเสดงได้ดีเหมือนเช่นเคยโดยไม่น่าเป็นห่วง เพียงเเต่ในหนังจะใช้สายตาสื่อเเทนคำพูดได้เยอะกว่าในละคร ซึ่งไม่เคยเห็นคู่นี้เเสดงในเเนวทางนี้ ก็ถือเป็นอะไรที่เเปลกใหม่ เเละก็ทำได้ดีด้วย
ไอซ์ พาริส (เมธัส หันตระกูล)

ในเรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ไอซ์พาริสได้เเสดงเป็นคาเร็คเตอร์วัยรุ่น กวนๆ ฮาๆสไตล์ไอซ์ที่เคยเเสดงๆเหมือนเช่นเคย ซึ่งในบทนี้มีเซอร์ไพรส์ให้ตัวละครตัวนี้อยู่ด้วย โดยผมนับได้ว่าเป็นเซอร์ไพรส์ที่ผูกเอาไว้โดยที่ผมเองก็คาดไม่ถึงเช่นกัน ถือว่าเเนบเนียนเเละดีด้วย
ชานน สันตินธรกุล (เสด็จในกรม)

คงไม่พูดถึงตัวละครนี้เลยคงไม่ได้ เรียกได้ว่ามาน้อยเเต่มานะ คือการเเสดงของนนเเสดงดีมาก ดูดุดันลึกลับ เเละเหลี่ยมลึกในคราวเดียวกันโดยที่ไม่ต้องพูดหรือเเสดงออกเยอะเลย เพราะนนได้เเสดงออกมาทางสีหน้าเเละเเววตาหมดเเล้ว ทำเอาเชื่อเเล้วว่าเป็นเสด็จจริงๆ ถือเป็นนักเเสดงรุ่นใหม่ที่น่าชื่นชมเเละจับตามอง เพราะไม่ว่าพี่เเกจะไปเล่นบทไหนก็เข้าถึงบทนั้นได้ดี เเละเเถมบทเเต่ละบทที่เล่นนั้นไม่เคยซ้ำกันเลย
สรุป
ผมว่าหนังเรื่องบุบเพสันนิวาสยังหาจุดยืนหรือเส้นเรื่องเด่นของตนเองยังไม่พบ เเละดึงออกมาใช้ยังไม่สุด หนังยังมีความหว่านเรื่องไปเเบบกว้างๆ จับโน่นนิด นี่หน่อย ประวัติศาสตร์ ความรัก การเมือง เเฟนตาซีย้อนเวลา ตลกคอมมาดี้ ดราม่า มายำไว้ในเรื่องๆเดียว โดยที่ไม่ขับเน้นชูงโรงเรื่องใดเรื่องหนึ่งเเล้วไปให้สุดในทางของตัวเอง ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายที่ส่วนหลังของหนังมีท่อนของความสนุกเเละความขยี้อยู่ไม่กี่ชั่วโมง
บทส่งท้าย
ถึงจะบ่นไปมากเเค่ไหน เวลานี้ก็คงไม่มีใครสามารถต้านทานกระเเสออเจ้าของเรื่องนี้ได้ เเต่นั่นเเหละสิ่งที่ผมบ่นเเละชมไปก็มาจากส่วนลึกๆในใจที่อยากเห็นหนังไทยไปให้สุดในทางของมัน ไม่ต้องมาห่วงว่าจะต้องเซอร์วิสคอละครไหม หรือต้องเอาใจคนดูที่ยังไม่เคยดูละครด้วยหรือเปล่า เพราะเอาเข้าจริงๆ หนังก็คือศิลปะอย่างหนึ่งที่ผู้ปรุงจะปรุงออกมาเเบบไหนให้ศิลปะนั้นเฉิดฉายด้วยตัวของมันเองโดยที่ไม่ต้องไปพึ่งใบบุญของงานชิ้นเก่าที่เคยทำมาเเล้ว หนังควรจะเป็นเช่นนั้น ไม่ต้องกังวนว่าจะต้องไปเเคร์ใคร เเค่เเคร์ว่าต้องการจะสื่ออะไร ต้องการจะเล่าอะไร เล่าเเบบไหน วิธีการใด เเละจะนำเสนออย่างไรพอ ผมเชื่อว่าบุพเพสันนิวาสยังไปได้ไกลกว่านี้ ถ้าเลือกที่จะฟังเสียงของตัวเองมากกว่าเสียงของผู้อื่นที่อยากจะให้หนังเป็น
นี่ก็เป็นเพียงมุมมองเเละความคิดเห็นของผมที่มีเเต่หนังบุพเพสันนิวาส หากใครมีมุมมองอื่นๆที่ต้องการเเลกเปลี่ยนพูดคุย ก็สามารถเข้ามาพูดคุยกันได้ครับ เเละผมก็ย้ำเสมอว่าอย่าเชื่อผมจนว่าจะได้ไปดูด้วยตาของตนเอง
เเล้วเราจะได้รู้ว่า
"หากถ้าไม่ใช่เพียงเพราะบุพเพสันนิวาสที่ลิขิตขึ้น เราจะยังรักกันได้อยู่ไหม"
ฉายเเล้ววันนี้ทุกโรงภาพยนตร์
รีวิวไม่สปอย!! บุพเพสันนิวาส 2 หนังที่ทั้งรัก ทั้งชังในเวลาเดียวกัน
"บุพเพสันนิวาส หนังที่ทั้งรัก ทั้งชัง"
ในที่นี้ของเอาความชังก่อนเลย "หนังเรื่องนี้เริ่มเเรกต้องการสื่ออะไร ?"
ผมเกลียดองก์เเรกของมันจนถึงองก์กลางของมันที่สุด คือดูไปเเบบ อุทานในใจว่า นี่ฉันเข้ามาดูหนังคนจีบกันเเค่นั้นหรอ เส้นเรื่องหลักคืออะไร เเล้วอะไรคือชนวนที่จะเล่าของหนังเรื่องนี้ คือให้นึกภาพว่าเราตีตั๋วมาดูเขารักกันอะ 55555 เเม่เกสร กับพ่อภพ นี่เเบบ เอาจริงๆละครว่าหนักเเล้วนะ มาเจอหนังคุณคูณสองเข้าไปได้เลยครับมันหนักกว่า มันหาเส้นสายปลายเหตุไม่ได้ ไปๆมาๆ เอ๊า รักกันเฉยเลยไม่มีปี่ ไม่มีขลุ่ย อย่ามาบอกว่ามันคือบุพเพ เพราะในเวอร์ชั่นละครขนาดชูคำว่าบุพเพเด่นกว่าหนัง ละครต้องสานสัมพันธ์กันเเทบตายกว่าจะมารักกันได้ หรือหนังมันเวลาน้อยไปก็ไม่รู้ เเต่สองชั่วโมงเกือบสามชั่งโมงนี่ก็ไม่น้อยนะ เเต่ทำไมเรารู้สึกว่าความสัมพันธ์ต่างๆของตัวละคร ย้ำ ทุกตัวเลย มันไม่ขับเน้นให้เราอินมายันตอนท้ายของเรื่องได้ เหมือนผ่านมาก็ผ่านไป เเล้วอยู่ดีๆความสัมพันธ์ต่างๆก็ก่อตัวขึ้นเเบบง่ายๆ ซึ่งนี่คือจุดเสียใหญ่ของหนังเลย เเบบใหญ่จริงๆ
"หนังเลือกจุดยืนผิดที่จะเป็นรักเเบบคอมมาดี้"
คือต้องทำความเข้าใจก่อนเผื่อใครนึกว่าบุพเพสันนิวาสมันคือรักเเบบคอมมาดี้ เพราะในละครคนละเรื่องกันเลยครับ ในละครนี่คือละครดราม่าดีๆหนึ่งเรื่องที่เเทรกคอมมาดี้เข้ามา เเต่หนังคือไปเน้นคอมมาดี้จ๋าเลย เเบบเอะอะยิงมุก ตบมุก หรือเล่นเเบบตลกร่างกายตลกการกระทำใส่กันรัวๆไม่ยั้ง เหมือนชาตินี้จะไม่มีโอกาสได้เล่นมุกเเล้วอะ 55555 คือมันเยอะไป เเล้วมันเกร่ออะครับ คือผมไม่ติดที่จะใส่มุกนะ เเต่ผมจะเทียบกับเรื่อง พี่มากพระโขนง นั่นคือหนังที่ใส่มุกได้ถูกที่ถูกเวลา เเละสัดส่วนพอดี ส่วนมุกของบุพเพคือผมจะบอกว่า มันคือมุกผู้ดี๊ ผู้ดีเล่นกันอะ มันตลกเเบบปาดๆ เน้นตลกไปเลยก็ไม่ เพราะก็ยังขายสวยหล่ออยู่ ก็เลยไม่สุดในเเบบที่มันควรจะเป็น ผมจึงบอกว่าหนังมันเลือกจุดยืนผิด ไปทางคอมมาดี้ซะเยอะจนลืมไปว่ามาจากละครดราม่า จนตอนท้ายๆเราเเทบจะไม่อินเลย เพราะอุปสรรค์ของตัวละครต่างๆมันผ่านมาง่ายๆด้วยมุกคอมมาดี้นี่เเหละ
ส่วนที่รัก
"องก์สุดท้ายที่เเบกหนัง"
เเน่นอนมีอยู่ส่วนเดียวคือองก์ท้ายของเรื่อง เเต่จะว่าผมรักสุดๆไหม ก็ไม่ เพราะองก์สุดท้ายจะสมบูรณ์ได้ องก์เเรกของเรื่องต้องเเข็งเเกร่งก่อน เเต่องก์เเรกของเรื่องก็ละลายเเม่น้ำไปเรียบร้อยเเล้ว ก็คงเหลือองก์สุดท้ายนี่เเหละที่พอยึดหลักเกาะได้ เเต่ก็ยังไม่วายปนคอมมาดี้มาให้ขัดอารมณ์อีก คือคุณลองนึกภาพ เพื่อนในกลุ่มกำลังซีเรียสเรื่องงาน เเต่มันมักจะมีเด็กคนหนึ่งโผล่มาผิดที่ผิดเวลามา ก่อกวนประสาทจนคนอื่นเขาอารมณ์เสียอะครับ ความรู้สึกผมคือเเบบนั้นเลย มันเลยทำให้องก์สุดท้ายที่ควรจะพีค กลับไปไม่สุด จะดราม่าก็ร้องไห้ไม่ออก เลยเเอบเสียดายเป็นที่สุดเลย เเต่ถึงอย่างนั้นองก์สุดท้ายของเรื่องก็ยังถือได้ว่าเปิดพื้นที่ให้ผู้ชมได้ลุ้นเเละเอาใจชวยตัวละคร ทำให้เรื่องดูมีความลุ้นระทึกขึ้นมากลบความคอมมาดี้ตอนต้นไปเสียได้บ้าง กลางๆเรื่องผมเเอบมีชอบฉากที่มีการถกเถียงกันเรื่องบุพเพสันนิวาสนะว่า สรุปเเล้วเรารักกันด้วยเงื่อนไขนี้หรือเงื่อนไขอะไรกันเเน่ อันนี้ถือว่าดูดีมีเหตุผลมาก
โอเคหลังจากบ่นมาเสียยกใหญ่ จุดดีๆของหนังก็มีเยอะครับ ใช่ว่าจะไม่มี
"การสร้างเเละคอสตูม"
ฉาก
คอสตูม
นักเเสดงบทเด่นๆ
คือคงไม่ต้องบอกให้มากความว่า โป๊บ(พ่อภพ) เบลล่า(เเม่เกสร) เป็นนักเเสดงคู่บุญมาตั้งเเต่บุพเพสันนิวาสภาคเเรกเเล้ว เเละยังเเสดงได้ดีเหมือนเช่นเคยโดยไม่น่าเป็นห่วง เพียงเเต่ในหนังจะใช้สายตาสื่อเเทนคำพูดได้เยอะกว่าในละคร ซึ่งไม่เคยเห็นคู่นี้เเสดงในเเนวทางนี้ ก็ถือเป็นอะไรที่เเปลกใหม่ เเละก็ทำได้ดีด้วย
ไอซ์ พาริส (เมธัส หันตระกูล)
ชานน สันตินธรกุล (เสด็จในกรม)
คงไม่พูดถึงตัวละครนี้เลยคงไม่ได้ เรียกได้ว่ามาน้อยเเต่มานะ คือการเเสดงของนนเเสดงดีมาก ดูดุดันลึกลับ เเละเหลี่ยมลึกในคราวเดียวกันโดยที่ไม่ต้องพูดหรือเเสดงออกเยอะเลย เพราะนนได้เเสดงออกมาทางสีหน้าเเละเเววตาหมดเเล้ว ทำเอาเชื่อเเล้วว่าเป็นเสด็จจริงๆ ถือเป็นนักเเสดงรุ่นใหม่ที่น่าชื่นชมเเละจับตามอง เพราะไม่ว่าพี่เเกจะไปเล่นบทไหนก็เข้าถึงบทนั้นได้ดี เเละเเถมบทเเต่ละบทที่เล่นนั้นไม่เคยซ้ำกันเลย
สรุป
ผมว่าหนังเรื่องบุบเพสันนิวาสยังหาจุดยืนหรือเส้นเรื่องเด่นของตนเองยังไม่พบ เเละดึงออกมาใช้ยังไม่สุด หนังยังมีความหว่านเรื่องไปเเบบกว้างๆ จับโน่นนิด นี่หน่อย ประวัติศาสตร์ ความรัก การเมือง เเฟนตาซีย้อนเวลา ตลกคอมมาดี้ ดราม่า มายำไว้ในเรื่องๆเดียว โดยที่ไม่ขับเน้นชูงโรงเรื่องใดเรื่องหนึ่งเเล้วไปให้สุดในทางของตัวเอง ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายที่ส่วนหลังของหนังมีท่อนของความสนุกเเละความขยี้อยู่ไม่กี่ชั่วโมง
ถึงจะบ่นไปมากเเค่ไหน เวลานี้ก็คงไม่มีใครสามารถต้านทานกระเเสออเจ้าของเรื่องนี้ได้ เเต่นั่นเเหละสิ่งที่ผมบ่นเเละชมไปก็มาจากส่วนลึกๆในใจที่อยากเห็นหนังไทยไปให้สุดในทางของมัน ไม่ต้องมาห่วงว่าจะต้องเซอร์วิสคอละครไหม หรือต้องเอาใจคนดูที่ยังไม่เคยดูละครด้วยหรือเปล่า เพราะเอาเข้าจริงๆ หนังก็คือศิลปะอย่างหนึ่งที่ผู้ปรุงจะปรุงออกมาเเบบไหนให้ศิลปะนั้นเฉิดฉายด้วยตัวของมันเองโดยที่ไม่ต้องไปพึ่งใบบุญของงานชิ้นเก่าที่เคยทำมาเเล้ว หนังควรจะเป็นเช่นนั้น ไม่ต้องกังวนว่าจะต้องไปเเคร์ใคร เเค่เเคร์ว่าต้องการจะสื่ออะไร ต้องการจะเล่าอะไร เล่าเเบบไหน วิธีการใด เเละจะนำเสนออย่างไรพอ ผมเชื่อว่าบุพเพสันนิวาสยังไปได้ไกลกว่านี้ ถ้าเลือกที่จะฟังเสียงของตัวเองมากกว่าเสียงของผู้อื่นที่อยากจะให้หนังเป็น
นี่ก็เป็นเพียงมุมมองเเละความคิดเห็นของผมที่มีเเต่หนังบุพเพสันนิวาส หากใครมีมุมมองอื่นๆที่ต้องการเเลกเปลี่ยนพูดคุย ก็สามารถเข้ามาพูดคุยกันได้ครับ เเละผมก็ย้ำเสมอว่าอย่าเชื่อผมจนว่าจะได้ไปดูด้วยตาของตนเอง
เเล้วเราจะได้รู้ว่า "หากถ้าไม่ใช่เพียงเพราะบุพเพสันนิวาสที่ลิขิตขึ้น เราจะยังรักกันได้อยู่ไหม"
ฉายเเล้ววันนี้ทุกโรงภาพยนตร์