สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 2
เอาเรื่องประโยชน์ของเนินขว้างก่อนนะครับ มันมีส่วนช่วยให้พิทเชอร์ขว้างบอลได้แรงได้เร็วขึ้น จากแรงส่งที่เกิดจากความลาดเอียง และทำให้มุมในการตีก็ยากขึ้นด้วย
ส่วนที่มาแบบคร่าวๆ คือในศตวรรษที่ 19 มันยังไม่ได้เป็นเนินอะไรแบบนี้ ขว้างกันบนพื้นเรียบๆ และไม่มีขอบเขตเป็นวงแบบทุกวันนี้ มีแค่เส้นเขตไม่ให้ก้าวเกินไปเท่านั้น และลักษณะการขว้างของพิทเชอร์ก็ไม่ได้เป็นเหมือนทุกวันนี้ครับ คือแค่เหมือนโยนให้ตีไม่ได้ขว้างกันสุดแรง ด้วยกฏอะไรต่างๆยังไม่เป็นมาตรฐาน มีแม้กระทั่งการวิ่งมาขว้างด้วยซ้ำ เพราะเชื่อว่าจะช่วยเพิ่มสปีดบอล ตอนนั้นก็ยังไม่มีการตั้งกฏสไตรค์หรือบอลด้วยซ้ำ คนตีจะตีลูกไหนหรือไม่ตีก็ได้
จากนั้นในปี 1864 ได้มีการกำหนดบ๊อกซ์สำหรับพิทเชอร์ขนาด 3 x 12 ฟุต ขึ้นมา เพื่อไม่ให้พิทเชอร์มีการวิ่งก่อนขว้าง ทำให้สปีดบอลลดลง และมีการตีกันได้มากขึ้น แต่หลังจากนั้น ฝ่ายพิทเชอร์ก็สันหาวิธีขว้างให้เร็วหรือทำให้ตีได้ยากขึ้น จนต้องมีการปรับระยะการขว้างระหว่างพิทเชอร์บ๊อกซ์กับคนตีจาก 45 ฟุต เป็น 50 ฟุต
จนกระทั่งปี 1884 มีการอนุญาตให้ขว้างแบบโอเวอร์แฮน คือแบบที่เห็นพิทเชอร์นิยมขว้างแบบทุกวันนี้ ทำให้การตีถูกทำได้ยากขึ้น จากสปีดบอลที่เพิ่มขึ้น หลังจากนั้นในปี 1893 เพื่อสร้างความสมดุลระหว่างพิทเชอร์และแบตเตอร์ ทำให้มีการเปลี่ยนกฏให้ระยะเพิ่มขึ้นเป็น 60 ฟุต 6 นิ้ว และมีแผ่นขนาด 12 นิ้ว x 4 นิ้ว มาแทนพิทเชอร์บ๊อกซ์ และกำหนดให้เท้าหลังของพิทเชอร์ต้องอยู่บนนั้น และได้เริ่มมีการทำเนินขว้างขึ้นมา
ในช่วงปี 1893 ถึง 1950 มีกฏไม่ให้เนินขว้างสูงเกิน 15 นิ้ว แต่ละทีมก็ปรับกันไปตามใจตัวเองเพื่อประโยชน์ของพิทเชอร์ทีมตัวเอง หรือทำให้ลำบากกับฝ่ายตรงข้าม และในปี 1950 นั้นเอง เมเจอร์ลีกคงเห็นว่ามันสร้างความวุ่นวายและไม่มีมาตรฐาน เลยกำหนดให้เนินขว้างมีความสูงเท่ากับ 15 นิ้วทั้งหมด แต่จากจุดนั้นเองทำให้พิทเชอร์สามารถขว้างบอลได้เร็วและมุมในการตีก็ยากขึ้นด้วย รวมทั้งมีการปรับขอบเขตของสไตรค์โซนในปี 1963 ซึ่งส่งผลให้สถิติการทำคะแนนลดลง
ในปีถัดมาเพื่อรักษาสมดุลในเกมอีกครั้ง จึงมีการปรับกฏให้เนินขว้างลดลงจาก 15 นิ้ว เป็น 10 นิ้ว ทำให้สถิติการทำคะแนนเพิ่มขึ้นมา ซึ่งกฏนี้ก็ยังใช้อยู่มาจนถึงปัจจุบันนี้ครับ
ส่วนที่มาแบบคร่าวๆ คือในศตวรรษที่ 19 มันยังไม่ได้เป็นเนินอะไรแบบนี้ ขว้างกันบนพื้นเรียบๆ และไม่มีขอบเขตเป็นวงแบบทุกวันนี้ มีแค่เส้นเขตไม่ให้ก้าวเกินไปเท่านั้น และลักษณะการขว้างของพิทเชอร์ก็ไม่ได้เป็นเหมือนทุกวันนี้ครับ คือแค่เหมือนโยนให้ตีไม่ได้ขว้างกันสุดแรง ด้วยกฏอะไรต่างๆยังไม่เป็นมาตรฐาน มีแม้กระทั่งการวิ่งมาขว้างด้วยซ้ำ เพราะเชื่อว่าจะช่วยเพิ่มสปีดบอล ตอนนั้นก็ยังไม่มีการตั้งกฏสไตรค์หรือบอลด้วยซ้ำ คนตีจะตีลูกไหนหรือไม่ตีก็ได้
จากนั้นในปี 1864 ได้มีการกำหนดบ๊อกซ์สำหรับพิทเชอร์ขนาด 3 x 12 ฟุต ขึ้นมา เพื่อไม่ให้พิทเชอร์มีการวิ่งก่อนขว้าง ทำให้สปีดบอลลดลง และมีการตีกันได้มากขึ้น แต่หลังจากนั้น ฝ่ายพิทเชอร์ก็สันหาวิธีขว้างให้เร็วหรือทำให้ตีได้ยากขึ้น จนต้องมีการปรับระยะการขว้างระหว่างพิทเชอร์บ๊อกซ์กับคนตีจาก 45 ฟุต เป็น 50 ฟุต
จนกระทั่งปี 1884 มีการอนุญาตให้ขว้างแบบโอเวอร์แฮน คือแบบที่เห็นพิทเชอร์นิยมขว้างแบบทุกวันนี้ ทำให้การตีถูกทำได้ยากขึ้น จากสปีดบอลที่เพิ่มขึ้น หลังจากนั้นในปี 1893 เพื่อสร้างความสมดุลระหว่างพิทเชอร์และแบตเตอร์ ทำให้มีการเปลี่ยนกฏให้ระยะเพิ่มขึ้นเป็น 60 ฟุต 6 นิ้ว และมีแผ่นขนาด 12 นิ้ว x 4 นิ้ว มาแทนพิทเชอร์บ๊อกซ์ และกำหนดให้เท้าหลังของพิทเชอร์ต้องอยู่บนนั้น และได้เริ่มมีการทำเนินขว้างขึ้นมา
ในช่วงปี 1893 ถึง 1950 มีกฏไม่ให้เนินขว้างสูงเกิน 15 นิ้ว แต่ละทีมก็ปรับกันไปตามใจตัวเองเพื่อประโยชน์ของพิทเชอร์ทีมตัวเอง หรือทำให้ลำบากกับฝ่ายตรงข้าม และในปี 1950 นั้นเอง เมเจอร์ลีกคงเห็นว่ามันสร้างความวุ่นวายและไม่มีมาตรฐาน เลยกำหนดให้เนินขว้างมีความสูงเท่ากับ 15 นิ้วทั้งหมด แต่จากจุดนั้นเองทำให้พิทเชอร์สามารถขว้างบอลได้เร็วและมุมในการตีก็ยากขึ้นด้วย รวมทั้งมีการปรับขอบเขตของสไตรค์โซนในปี 1963 ซึ่งส่งผลให้สถิติการทำคะแนนลดลง
ในปีถัดมาเพื่อรักษาสมดุลในเกมอีกครั้ง จึงมีการปรับกฏให้เนินขว้างลดลงจาก 15 นิ้ว เป็น 10 นิ้ว ทำให้สถิติการทำคะแนนเพิ่มขึ้นมา ซึ่งกฏนี้ก็ยังใช้อยู่มาจนถึงปัจจุบันนี้ครับ
แสดงความคิดเห็น
ทำไมตรงตำแหน่งคนขว้างลูกเบสบอลต้องเป็นเนิน