💕มาลาริน💕ข่าวดี จีดีพี ตามคาดค่ะ....คลังคงจีดีพีปีนี้ที่ 3.5% ชี้ท่องเที่ยว - บริโภคในประเทศหนุน

เพี้ยนแคปเจอร์คลังคงจีดีพีปีนี้ที่ 3.5% ชี้ท่องเที่ยว - บริโภคในประเทศหนุน



คลังคงจีดีพีปีนี้ที่ 3.5% ชี้ปัจจัยหนุนหลักจากการท่องเที่ยว และการใช้จ่ายในประเทศ ขณะที่ ติดตามความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย - ยูเครน และนโยบายการเงินของประเทศเศรษฐกิจหลักอย่างใกล้ชิด

นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.)เปิดเผยว่า สศค.ยังคงประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 65 ว่าจะขยายตัวได้ 3.5% โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวของอุปสงค์ในประเทศ และภาคการท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามผลกระทบจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย และยูเครน และนโยบายการเงินของประเทศเศรษฐกิจหลัก

สำหรับการส่งออกในปีนี้ คาดว่าจะขยายตัวได้ 7.7% จากเดิมคาด 6% ด้านการนำเข้าที่ 17.5% จากเดิมคาด 11.3% ส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดในปีนี้คาดว่าจะขาดดุล 8.1 พันล้านดอลลาร์ จากเดิมคาดว่าจะขาดดุล 4.4 พันล้านดอลลาร์
การลงทุนภาคเอกชนในปีนี้ คาดว่าจะขยายตัว 5.7% จากเดิมคาดว่าจะขยายตัว 4.5% และการลงทุนภาครัฐคาดว่าจะขยายตัว 1.6% ลดลงจากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัว 4.6%
การบริโภคภาคเอกชนปีนี้ คาดว่าจะขยายตัว 4.8% จากเดิมคาดจะขยายตัว 4.3% และการบริโภคภาครัฐติดลบ 0.9% จากเดิมคาดจะติดลบ 0.2% ขณะที่ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปปีนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ 6.5% จากเดิมคาด 5% ด้านเงินเฟ้อพื้นฐานคาดว่าจะอยู่ที่ 2.3% เพิ่มขึ้นจากเดิมที่คาด 1.9%

อย่างไรก็ตาม เงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นตามราคาพลังงานที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตภายในประเทศสูงขึ้น และกระจายตัวในหมวดสินค้าที่หลากหลายขึ้น โดยประเมินว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะค่อยๆ ปรับตัวลดลง หากราคาน้ำมันเริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น

ทั้งนี้ ปัจจัยเสี่ยงที่ยังต้องติดตามคือ ความยืดเยื้อของสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างยูเครน และรัสเซีย ที่ส่งผลต่อราคาพลังงาน และสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งส่งผ่านไปยังต้นทุนของครัวเรือน และภาคธุรกิจ

นอกจากนี้ ยังต้องติดตามความผันผวนของตลาดการเงินโลกจากการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้นของธนาคารกลางหลายประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐ ที่มีแนวโน้มเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยหลังอัตราเงินเฟ้อเร่งขึ้นสูงต่อเนื่อง และภาวะตลาดแรงงานที่ตึงตัว

ขณะเดียวกัน ยังมีความไม่แน่นอนของสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด ทั้งสายพันธุ์ที่ระบาดในปัจจุบันและอาจเกิดขึ้นใหม่ในอนาคต รวมถึงต้องติดตามเศรษฐกิจคู่ค้าชะลอลง โดยเฉพาะเศรษฐกิจหลักและจีน ประกอบกับหากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดในจีน ยืดเยื้อกว่าที่คาดไว้ก็จะส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานการผลิต และส่งเชื่อมโยงไปยังภาคการผลิตและการค้าทั่วโลก

นายวุฒิพงศ์ จิตตั้งสกุล ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง กล่าวว่า สำหรับสมมติฐานประมาณการเศรษฐกิจไทยปีนี้ ประกอบด้วย

1.เศรษฐกิจคู่ค้า 15 ประเทศ ขยายตัวได้ 3.3% ลดลงจากประมาณการครั้งก่อน จากสถานการณ์รัสเซีย และยูเครนที่ยังมีความไม่แน่นอน นโยบายการเงินที่เข้มงวดในหลายประเทศ ประกอบกับมาตรการซีโร่โควิดของทางการจีนด้วย

2.สมมติฐานด้านค่าเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 34.80 บาทต่อดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจากประมาณการครั้งก่อนที่ 33.10 บาทต่อดอลลาร์ โดยปัจจัยที่จะส่งผลต่อค่าเงินบาทคือ การดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดในหลายประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐ ที่จะเดินหน้าปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องจนกว่าเงินเฟ้อจะเข้าใกล้เป้าหมายระยะยาวที่ 2%

ในกรณีของไทยในช่วงครึ่งปีหลังเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวต่อเนื่อง และมีนโยบายจากภาครัฐผลักดันให้เศรษฐกิจไทยขับเคลื่อนต่อได้ โดยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติต่อเนื่อง เสถียรภาพการเงินการคลังอยู่ในเกณฑ์ดี และอาจทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นได้บ้าง

3.สมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบ ที่ปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 102 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่อยู่ที่ 69.2 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และประเมินว่าราคาน้ำมันในปี 66 จะมีแนวโน้มลดลง

ทั้งนี้ ราคาน้ำมันปรับขึ้นต่อเนื่องในปี 65 สาเหตุสำคัญจากอุปทานน้ำมันตึงตัว จากสถานการณ์รัสเซีย และยูเครน และมีมาตรการคว่ำบาตรของประเทศพันธมิตร ทำให้อุปทานน้ำมันรัสเซียลดลง

4.สมมติฐานด้านจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศ โดยคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยว 8 ล้านคนในปีนี้ เพิ่มขึ้น 1,779% จากปีก่อนที่มีนักท่องเที่ยว 4 แสนคน อย่างไรก็ตามยังต้องติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิดสายพันธุ์โอมิครอนสายพันธุ์ BA.4-BA.5 และการแพร่ระบาดของโรคฝีดาษวานร

รวมถึง แนวทางการผ่อนคลายการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติของไทย และต่างประเทศ ที่มีแนวโน้มผ่อนคลายมากขึ้น การผ่อนคลายมาตรการเดินทางระหว่างประเทศของจีน รวมถึงการอ่อนค่าของเงินบาทเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งในภาคการท่องเที่ยว ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทยถูกลง

ด้านรายได้นักท่องเที่ยวปีนี้ คาดว่าจะมีรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ 4.3 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,043% จากปีก่อนที่อยู่ที่ 0.04 ล้านล้านบาท

5.สมมติฐานด้านรายจ่ายภาคสาธารณะการเบิกจ่ายงบประมาณปี 65 วงเงิน 3.1 ล้านล้านบาท คาดเบิกจ่ายได้ 2.91 ล้านล้านบาท

ด้านภาพรวมเศรษฐกิจไทยในเดือนมิ.ย. ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากภาคการท่องเที่ยวที่ปรับตัวดีขึ้นทั้งจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ และผู้มาเยี่ยมเยือนชาวไทย ประกอบกับรายได้เกษตรที่ยังขยายตัวต่อเนื่อง ช่วยสนับสนุนการบริโภคภาคเอกชน

โดยเสถียรภาพเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ดี แม้มีปัจจัยกดดันจากการเพิ่มขึ้นของระดับราคาสินค้า สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนมิ.ย.อยู่ที่ 7.66% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ 2.51% ส่วนสัดส่วนหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนพ.ค.อยู่ที่ 60.9% ต่อจีดีพี ซึ่งยังอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังที่ตั้งไว้

อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย และยูเครน ที่ยังส่งผลกระทบต่อระดับราคาพลังงาน ค่าครองชีพ และทิศทางเศรษฐกิจโลกอย่างใกล้ชิด
นายพิสิทธิ์ พัวพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค กระทรวงการคลัง กล่าวว่า เศรษฐกิจภูมิภาคในเดือนมิ.ย. ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการท่องเที่ยวที่ปรับตัวดีขึ้นในทุกภูมิภาค รวมทั้ง การบริโภคภาคเอกชนปรับดีขึ้นในภาคใต้ ภาคตะวันตก และภาคตะวันออก

นอกจากนี้ ความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับตัวเพิ่มขึ้นในทุกภูมิภาคครั้งแรกในรอบ 6 เดือน เนื่องจากการผ่อนคลายของสถานการณ์โควิด-19

https://www.bangkokbiznews.com/business/1017427

  ประเทศไทยผ่อนคลายความกังวลในทุกเรื่อง  ไม่ว่าการเมือง  สุขภาพ หรือเศรษฐกิจค่ะ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 4
นายกฯ แจงเศรษฐกิจไทยเหนือกว่าหลายประเทศ ทั้ง “หนี้ต่อจีดีพีต่ำ” “หนี้ต่างประเทศน้อยมาก” ระบบธนาคารไทยเข้มแข็งและมีเงินสำรองระหว่างประเทศอยู่ในอันดับที่ 12 ของโลก

มั่นใจ 250 วันที่เหลือของรัฐบาล พร้อมพาไทยพ้นวิกฤต ประเทศ/ประชาชนฟื้นตัวอย่างยั่งยืน



วันนี้ (21 กรกฎาคม 2565) เวลา 18.48 น. ณ ห้องประชุมพระสุริยัน ชั้น 2 อาคารรัฐสภา นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ร่วมการประชุมการพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ตามมาตรา 151 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ยืนยันเศรษฐกิจไทยเดินหน้าอยู่ในระดับที่ดี ขนาด GDP ใหญ่เป็นอันดับสองของอาเซียน ปี 2565-2566 มีแนวโน้มขยายตัวสูงขึ้นถึง 3.3 และ 4.3 ตามลำดับจาก เงินสำรองระหว่างประเทศระดับสูง หนี้ต่อ GDP  ต่ำ และหนี้ต่างประเทศน้อยมาก อัตราเงินเฟ้อของไทยในปี 2566 มีแนวโน้มที่จะปรับตัวลดลง มั่นใจประเทศไทยไม่เกิดเหตุการณ์อย่างในศรีลังกาแน่นอน  

นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงทิศทางและมาตรการเศรษฐกิจไทยที่ชัดเจน ทำให้ไทยยังเป็นที่สนใจของนักลงทุนจากต่างประเทศ โดยเห็นได้ การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในไตรมาสแรกปี 2565 มีมูลค่ารวม 288,019 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 2.8% จากปี 2564 ขยายตัว 1.6% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ตัวเลขขอรับการส่งเสริมการลงทุน BOI ดีขึ้น จำนวนโครงการและมูลค่าที่ขอรับการส่งเสริม มูลค่าที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุน 2 ไตรมาสแรก มีมูลค่า 219,708 ล้านบาท จาก 784 โครงการ กลับมาสูงกว่าช่วงก่อนโควิด-19 รัฐบาลได้สนับสนุนการลงทุนในอุตสาหกรรมสมัยใหม่ ให้มีการย้ายฐานการลงทุนที่ครบวงจร เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าทั้งระบบให้ครอบคลุมถึงการผลิตชิ้นส่วน มอเตอร์ต่าง ๆ และหลายประเทศและหลายบริษัทได้ตกลงที่จะมาร่วมลงทุนแล้ว  กรณีอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ ดิจิทัล รวมทั้งการให้วีซ่าระยะยาวกับผู้มีศักยภาพสูงทั่วโลก (Long-term resident) และส่งเสริม soft power  ซึ่งคาดการณ์ว่าจะสามารถสร้างเม็ดเงินลงทุนได้กว่าสองล้านล้านบาท ซึ่งจะช่วยเพิ่ม GDP ได้กว่า 1.7 ล้านล้านบาท ไปจนถึงเรื่องของการจัดตั้งกองทุน เพื่อขับเคลื่อนความร่วมมือด้านพลังงานสะอาด ซึ่งล้วนแต่เป็นมาตรการที่รองรับสถานการณ์ในอนาคตซึ่งทำให้ประเทศจะได้รับผลตอบแทนที่มีมูลค่าในระยะต่อไป 

ขณะเดียวกัน รัฐบาลพยายามจะฟื้นฟูระบบเศรษฐกิจของไทยทั้งระดับบน กลาง และระดับล่าง SMEs และวิสาหกิจชุมชน รวมไปถึง Startup ให้กลายเป็นบริษัทที่แข็งแรงขึ้นในอนาคต โดยเห็นได้จากสถิติการเปิด-ปิดกิจการ ในเดือนเมษายน 2565 ในช่วงเวลาที่มีทุนการจดทะเบียนของกิจการตั้งใหม่มากที่สุด (All time high) อยู่ที่ 171,106 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน 2564 ถึง 726.7 เปอร์เซ็นต์ สอดคล้องกับช่วงเวลาที่เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวในเดือนพฤษภาคม 2565 โดยมีจำนวนกิจการจัดตั้งใหม่ 5,917 ราย เพิ่มขึ้น 6.3 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อนหน้า นับว่าเป็นการกลับมาฟื้นตัวอีกครั้งหลังจากที่มีการชะลอตัวของการเปิดกิจการ ซึ่งในช่วงโควิด-19 ยังสั่งการให้กระทรวงแรงงานเข้าไปดูแลทั้งผู้ประกอบการและแรงงาน เพื่อไม่ให้ลดการจ้างงานทำให้หลายบริษัทสามารถดำเนินการต่อไปได้ ขณะนี้ ไทยเจรจากับซาอุดีอาระเบียจนประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะเรื่องการส่งแรงงานไทยที่มีทักษะไปทำงาน อิสราเอล และอีกหลายประเทศก็ต้องการแรงงานจากไทยมากขึ้น ซึ่งได้สั่งการให้ต้องทำงานบูรณาการกันเป็นระบบเพื่อผลิตคนให้ตรงตามความต้องการของประเทศ

นายกรัฐมนตรียังกล่าวว่า รัฐบาลพยายามดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้าประเทศมากกว่าขึ้นให้ถึง 10 ล้านคนในปีนี้ โดยเฉพาะในช่วง High Season ซึ่งขณะนี้คาดว่ามีนักท่องเที่ยวเดินทางมายังประเทศไทยประมาณ 5 ล้านคนแล้ว รัฐบาลยังมีการดำเนินการปรับปรุงคุณภาพแหล่งท่องเที่ยวทั่วประเทศ ซึ่งทุกจังหวัดมีการโปรโมทออกมา และมียอดจองจำนวนมากพอสมควรจากบริษัทนักท่องเที่ยว ซึ่งภาคการท่องเที่ยวเป็นภาคเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ เป็นรายได้หลักของประเทศ  ยังยืนยันว่า การกำหนดค่าเหยียบแผ่นดินไม่ใช่ข้อเท็จจริง ยังไม่มีการเรียกเก็บ และปัจจุบันถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด  

ซึ่งนายกรัฐมนตรียังยืนยันว่า ความสำเร็จของการเปิดการท่องเที่ยวไทยในรูปแบบ Sandbox ของไทยยังกลายเป็นโมเดลที่หลายประเทศนำไปใช้ ขอเพียงทุกคนร่วมมือกัน ทำให้บ้านเมืองสงบ ปลอดภัย มั่นใจว่า นักท่องเที่ยวจะมาท่องเที่ยวยังประเทศไทยมากขึ้นแน่นอน 

ทั้งนี้ แม้ผ่านวิกฤตสองปี แต่เศรษฐกิจไทยยังมีหลายอย่างที่หลายประเทศไม่มี โดยเฉพาะ หนี้ต่อ GDP ในระดับต่ำ หนี้เงินตราต่างประเทศน้อยมาก ระบบธนาคารที่แข็งแรง  สภาพคล่องในประเทศที่ดี ทำให้หลายสถาบันจัดอันดับก็ยังคงระดับความน่าเชื่อถือทางการเงินการคลังที่ดี และไทยยังมีเงินสำรองระหว่างประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 12 ของโลก 
 
นายกรัฐมนตรียังยืนยันว่า ไทยพร้อมที่จะรับมือกับทุกวิกฤต เพียงแต่ขอทุกคนร่วมมือ มั่นใจว่าในเวลาที่เหลือกว่า 250 วันของรัฐบาล นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลจะทำทุกวิถีทาง เพื่อพาประเทศ และประชาชนออกจากวิกฤตที่หนักและยาวนานอยู่ และเตรียมความพร้อมประเทศและประชาชนกับการให้กลับมาฟื้นตัวอย่างยั่งยืน 

https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57119
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่