JJNY : เสียชีวิต 35 ราย ป่วยใหม่ 1,828│KFC เตรียมขายกิจการในไทย│'เพื่อไทย'จี้ป.ป.ช.เอาผิดคนรับกล้วย│ปปช.ชี้มูล “กนกวรรณ”

โควิดวันนี้ มีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น รวม 35 ราย พบผู้ป่วยใหม่ รักษาตัวใน รพ. 1,828 ราย
https://www.matichon.co.th/covid19/news_3472916
 

 

โควิดวันนี้ มีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น รวม 35 ราย พบผู้ป่วยใหม่ รักษาตัวใน รพ. 1,828 ราย
 
เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 รายงานผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ประจำวันอังคารที่ 26 กรกฎาคม 2565 พบผู้ป่วยรายใหม่ (รักษาตัวใน รพ.) จำนวน 1,828 ราย จำแนกเป็น ผู้ป่วยในประเทศ 1,828 ราย ผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ – ราย ผู้ป่วยสะสม 2,355,986 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565)
หายป่วยกลับบ้าน 2,173 ราย หายป่วยสะสม 2,356,098 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565) ผู้ป่วยกำลังรักษา 23,605 ราย
เสียชีวิต 35 ราย เสียชีวิตสะสม 9,526 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565)
จำนวนผู้ป่วยปอดอักเสบ รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 903 ราย
 
เนื่องจากตั้งแต่ 1 มิ.ย.65 เป็นต้นมา มีการปรับระบบรายงาน โดยรายงานเฉพาะผู้ป่วยที่ต้องรับการรักษาในโรงพยาบาล จึงทำให้รายงานยอดผู้ป่วยสะสมมีจำนวนที่น้อยกว่ายอดผู้หายป่วยสะสม
 
ผู้ติดเชื้อนอกโรงพยาบาล (ATK+) สัปดาห์ที่ 29 (17-23 ก.ค.65) 204,615 คน สะสม 6,668,542 คน ร้อยละการตรวจพบเชื้อ (เฉลี่ยย้อนหลัง 7 วัน) 9.04 เปอร์เซ็นต์



รอยเตอร์ส ตีข่าว KFC เตรียมขายกิจการในไทย
https://ch3plus.com/news/international/frontpagenews/302696
 
รอยเตอร์ส รายงานว่า บริษัท เรสเทอรองตส์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด มีแผนจะขายธุรกิจแฟรนไชส์ของเคเอฟซีในประเทศไทย คิดเป็นวงเงินราว 300 ล้าน เหรียญ
 
แหล่งข่าวเปิดเผยว่า กลุ่มทุนที่อาจจะเข้าซื้อกิจการเคเอฟซี ได้แก่ บริษัท เซ็นทรัล เรสเตอรองส์ กรุ๊ป และบริษัท เดอะ คิวเอสอาร์ ออฟ เอเชีย จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือไทยเบฟเวอเรจ ที่ได้ซื้อสิทธิ์แฟรนไชส์จากบริษัท ยัม เรสเทอรองตส์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) เมื่อปี 2560 จำนวน 240 สาขา และเร่งขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง



'เพื่อไทย' จี้ ป.ป.ช.เร่งสืบข้อเท็จจริงเอาผิดคนรับกล้วยหลังศึกซักฟอก ชี้ผลไม้พิษจาก รธน.60
https://www.matichon.co.th/politics/news_3472986
 
‘เพื่อไทย’ จี้ ป.ป.ช.เร่งสืบข้อเท็จจริงเอาผิดคนรับกล้วยหลังศึกซักฟอก บอกเป็นผลไม้พิษจาก รธน.60
 
เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ ส.ส.กทม.และโฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า หลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา แม้ในท้ายที่สุด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี รวม 11 คน จะอยู่รอดปลอดภัยในสภา แต่ศรัทธาของประชาชนหมดสิ้นแล้ว จากข้อมูลที่พรรค พท.และพรรคร่วมฝ่ายค้านได้เปิดโปงข้อมูลส่อทุจริตในหลายประเด็น เช่น กรณีที่ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เกี่ยวข้องทุจริตถุงมือยางภาค 2 วงเงิน 2,000 ล้าน ที่ควรถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) อายัด แต่ถูกเบิกออกยักย้ายถ่ายเทหนี
 
น.ส.ธีรรัตน์กล่าวต่อว่า กรณีโอนหุ้นออกจากบริษัทเอกชนของ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่เคยถือหุ้นอยู่ ซึ่งก็มีหลักฐาน มีพิรุธ ไม่น่าเชื่อถือ นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ที่บกพร่อง ไม่ดูแลภัยแก๊งอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ แต่งตั้งคนสนิทเป็นที่ปรึกษารับงานศูนย์ดิจิทัลที่ส่อทุจริต รวมถึงประเด็นการขาดจริยธรรม หรือกรณี นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง อาจเกี่ยวข้องกับการทุจริตโครงการท่อส่งน้ำ EEC เป็นต้น
 
“ส่วนหนึ่งของความไม่ชอบมาพากลที่มาพร้อมหลักฐานที่ฝ่ายค้านรวบรวมมาได้จะสามารถมัดตัวผู้กระทำผิด โดยเฉพาะนักการเมืองที่มีส่วนเกี่ยวข้อง รู้เห็นการทุจริตเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะประเด็นหลังการลงมติไม่ไว้วางใจที่ได้ปรากฏหลักฐานการแจกจ่ายเงินให้กับพรรคการเมืองเพื่อต่อคานอำนาจให้ พล.อ.ประยุทธ์ได้อยู่ต่อ กระบวนการต่อไปนี้เป็นหน้าที่ของ ป.ป.ช.ที่ต้องเร่งดำเนินการสืบหาข้อเท็จจริงให้แน่ชัดและเอาผิดโดยเร็ว” น.ส.ธีรรัตน์กล่าว
 
น.ส.ธีรรัตน์กล่าวต่อว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ที่ พล.อ.ประยุทธ์ได้อยู่ต่อ เป็นไปตามที่ฝ่ายค้านได้คาดการณ์เอาไว้ว่าอาจมีเหตุการณ์ “กล้วยช่วยค้ำตู่” หรือไม่นั้นก็เกิดขึ้นจริง ยิ่งเป็นการยืนยันว่าสิ่งเลวร้ายที่เกิดขึ้นในสภาอันทรงเกียรติแห่งนี้คือผลไม้อาบยาพิษรัฐธรรมนูญ ปี 2560 หรือรัฐธรรมนูญฉบับเพื่อพวกเขาที่ได้สร้างความอ่อนแอให้กับพรรคการเมือง และยังทำให้การเมืองไทยตกต่ำย้อนยุคไปในช่วงก่อนเกิดรัฐธรรมนูญ ปี 2540 ซึ่งมีที่มาจากการรัฐประหาร เป็นรัฐธรรมนูญแฝดพี่ของรัฐธรรมนูญ 2560 ที่ทำให้การเมืองไทย โดยเฉพาะการทำงานของฝ่ายนิติบัญญัติอ่อนแอ ถดถอยลง เกิดการต่อรองผลประโยชน์ซื้อขายตัวนักการเมืองไม่ต่างจากสินค้าในตลาดมืด ทำให้นักการเมืองไม่เป็นที่พึ่งที่หวังให้กับประชาชน
 
“หากสภาสามารถเนรมิตไร่กัญชาไร้ที่มาได้ฉันใด อะไรในสภาแห่งนี้ย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ ดิฉันเชื่อว่าจากนี้ไปความขัดแย้งทางการเมืองอาจคุกรุ่นขึ้นจากผลพวงของการหลงใหลเสพติดในอำนาจของผู้นำเผด็จการคนนี้ อนาคตทางการเมืองของพวกท่านดับวูบแล้วนับตั้งแต่ฝ่ายค้านได้อภิปรายจนจบ เลือกตั้งครั้งหน้าไม่มีที่ยืนสำหรับพวกท่านแล้ว” น.ส.ธีรรัตน์กล่าว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่