'วีระ' ขู่รวมหลักฐานส่ง ป.ป.ช. 'คนแจกกล้วย' โทษถึงยุบพรรค-ศรีสุวรรณ' เล็งเอาผิด 'คนรับกล้วย'
https://voicetv.co.th/read/NGODMrsQE
หลัง 'ใบเสร็จ' การแจกกล้าวยว่อนโซเชียลฯ และเป็นข่าวหลายระลอก 'วีระ สมความคิด' ประธานยุทธศาสตร์แผนงานต้านคอร์รัปชัน พรรคเสรีรวมไทย นักตรวจสอบคอร์รัปชั่นตัวยง แสบสุดออกมาโพสต์เฟซบุ๊กชวนให้ ร.อ.ธรรมนัส มาร่วมมือกันแฉว่าผู้ใด หัวหน้าพรรคการเมืองใด เป็นคนสั่งให้จ่ายเงินเดือน หรือแจกกล้วยให้แก่บรรดา ส.ส.พรรคเล็ก 9 คน หากให้ความร่วมมือ กกต. อาจไม่ดำเนินคดี ตามมาตรา 46 แห่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง แต่หากไม่ร่วมมือก็ไม่เป็นไร เพราะหลักฐานที่มีก็มากเกินพอจะเอาผิดกับทุกคนได้อยู่แล้ว และสามารถนำไปสู่การยุบพรรคการเมืองนั้นได้
วีระระบุว่า คาดว่าต้นเดือน ส.ค. 2565 รอให้ข้อมูลและหลักฐานนิ่งสักระยะ จะรวบรวมหลักฐานทั้งหมดไปยื่นกล่าวหาต่อ กกต. และ ป.ป.ช. คราวนี้ต้องวัดใจ กกต. กับ ป.ป.ช. แต่ไม่ต้องกังวลว่าจะช่วยเหลือกัน เพราะข้อมูลความจริงคนทั้งประเทศรู้เห็นกันหมดแล้ว ประชาชนตัดสินกันไปก่อนแล้ว วันใดประชาชนเป็นใหญ่ในแผ่นดิน อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน คดีเหล่านี้ยังอยู่ในอายุความที่จะเอาผิดได้ รื้อคดีขึ้นมาจัดการเอาผิดได้ทั้งหมด ไม่ต้องห่วง
นักตรวจสอบคนต่อมา
ศรีสุวรรณ จรรยา โพสต์เฟซบุ๊กเบาๆ อธิบายว่าการรับเงินนั้นผิดอย่างไร
"ส.ส.รับเงินกัน อาจเข้าข่ายฝ่าฝืนมาตรา 128 วรรคแรก แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ที่บัญญัติว่า “ห้ามมิให้เจ้าพนักงานของรัฐผู้ใดรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้จากผู้ใด นอกเหนือจากทรัพย์สิน หรือประโยชน์อันควรได้ตามกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับ ที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย เว้นแต่การรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด โดยธรรมจรรยาตามหลักเกณฑ์และจำนวนที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. กําหนด” ซึ่งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ออกประกาศกำหนดหลักเกณฑ์การรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดโดยธรรมจรรยาของเจ้าพนักงานของรัฐ พ.ศ. 2563 แล้ว กำหนดว่า “เจ้าพนักงานของรัฐจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดโดยธรรมจรรยาได้แต่ละโอกาสไม่เกิน 3,000 บาทเท่านั้น
ทั้งนี้ ส.ส.ที่ฝ่าฝืน จะมีความผิดตามมาตรา 169 แห่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ และอาจเข้าข่ายฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามรัฐธรรมนูญ 2560 ข้อ 8 ข้อ 9 ข้อ 10 และข้อ 17 ประกอบ ข้อ 27 วรรคสองได้ ซึ่งหาก ป.ป.ช. ชี้มูลว่าฝ่าฝืนจริง ก็อาจยื่นคำร้องส่งให้ศาลฎีกาวินิจฉัย และให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของ ส.ส.ผู้นั้น และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนดเวลาไม่เกิน 10 ปี ตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 235 และ พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต มาตรา 87
ดังนั้น เพื่อให้เกิดความชัดเจน สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จะรวบรวมพยานหลักฐานจากแหล่งที่ปรากฏในสื่อสำนักต่างๆ ในโซเชียลมีเดีย กลุ่มไลน์ต่างๆ และแหล่งข่าว เพื่อนำไปประมวลยื่นให้ ป.ป.ช. ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ หากได้หลักฐานเพียงพอ คาดว่าจะนำไปยื่นได้ในสัปดาห์หน้านี้”
ส่วนโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อประชาชน (ไอลอว์) ก็รีบพลิกกฎหมายที่เกี่ยวข้องดูหลังมีข่าวสลิปหลุด โดยระบุว่าตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 128 กำหนดว่า
"มิให้เจ้าพนักงานรัฐผู้ใดรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้จากผู้ใด นอกเหนือจากทรัพย์สินหรือประโยชน์อันใครได้ตามกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับที่โดยอาศัย...กฎหมาย"
นอกจากนี้ ประกาศ ป.ป.ช. เรื่อง หลักเกณฑ์การรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดโดยธรรมจรรยาของเจ้าพนักงานของรัฐ พ.ศ. 2563 ในข้อ 6 และข้อ 7 ยังกำหนดรายละเอียดเพิ่มเติมจากกฎหมายแม่ว่า
"ผู้ดำรงตำแหน่ง ส.ส. และ ส.ว. ห้ามรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นได้จากผู้ที่ไม่ใช่ญาติ ในแต่ละโอกาสไม่เกิน 3,000 บาท"
ทั้งนี้ หาก ส.ส. หรือ ส.ว. รับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดเกิน 3,000 บาท ให้แจ้งต่อประธานสภาที่เป็นสมาชิก ภายใน 30 วันนับตั้งแต่วันที่ได้สิ่งนั้นไว้
จากนั้นประธานสภาจะวินิจฉัยว่า มีเหตุผลความจำเป็นว่า ส.ส. หรือ ส.ว.ที่แจ้งมาสมควรได้รับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดที่เกิน 3,000 บาท หรือไม่ หากประธานสภามีคำสั่งว่าไม่สมควรได้รับสิ่งนั้น ก็ให้คืนสิ่งที่ได้รับแก่ผู้ให้ทันที
โดยการฝ่าฝืนรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดเกิน 3,000 บาท มาตรา 128 ของ พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต กำหนดโทษ "จำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ"
'เศรษฐา' แนะปรับครม. ให้เศรษฐกิจประเทศเดินหน้า ชี้ขึ้น 'ดอกเบี้ย' ยิ่งซ้ำเติม
https://www.matichon.co.th/economy/news_3470218
‘เศรษฐา’ แนะปรับครม. ให้เศรษฐกิจประเทศเดินหน้า ชี้ขึ้น ‘ดอกเบี้ย’ ยิ่งซ้ำเติม
วันที่ 24 กรกฎาคม นาย
เศรษฐา ทวีสิน ประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการโหวตการอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคมที่ผ่านมาเป็นไปตามคาด แต่ว่ารัฐบาลก็ต้องมาพิจารณาว่าข้อมูลที่ฝ่ายค้านนำมาเสนอต่อที่ประชุมสภา มีข้อมูลอะไรที่เป็นสาระ มีความเป็นไปได้ในการที่จะต้องนำไปตรวจสอบต่อหรือจัดการต่อไป
นาย
เศรษฐากล่าวว่า สำหรับผลโหวตของรัฐมนตรีรายบุคคลคนแม้จะผ่านหมด แต่ไม่อยากให้นำคะแนนมาดูเป็นประเด็นหลักในการจะนำไปสู่การพิจารณาจะปรับหรือไม่ปรับคณะรัฐมนตรี ต้องนำเรื่องภาพใหญ่ของเศรษฐกิจมาเป็นประเด็นหลักในการพิจารณา เนื่องจากระยะเวลาที่เหลืออยู่ของรัฐบาลอีก 7-8 เดือนนับจากนี้ จะทำอย่างไรเพื่อให้เศรษฐกิจมันดีขึ้นได้ และประเทศชาติจะได้เดินต่อไปมากกว่า
๐ ต้องปรับครม.ให้เศรษฐกิจเดินหน้า
“หากเห็นว่ารัฐมนตรีคนไหนหรือกระทรวงไหนมีความบกพร่อง ถ้ามีการเปลี่ยนคณะรัฐมนตรีในรายกระทรวงใดกระทรวงหนึ่งและทำให้เศรษฐกิจสามารถเดินไปข้างหน้าได้ ท่านนายกรัฐมนตรีก็ควรจะพิจารณา เพราะถึงแม้อีก7-8 เดือนข้างหน้า จะมีการเลือกตั้งใหม่และมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล แต่มันก็ยังเป็นช่วงระยะเวลาที่ยาวนานอยู่พอสมควร ควรถึงเวลาที่รัฐบาลต้องเอาเศรษฐกิจนำการเมืองในการแก้ไขปัญหาประเทศ เพราะตอนนี้มีปัญหาหลายอย่าง ทั้งภาวะเงินเฟ้อ ข้าวยากหมากแพง คนมีรายได้น้อยลง หนี้ครัวเรือนสูง และอีกหลายอย่างที่เกิดขึ้นซึ่งเป็นประเด็นที่นายกรัฐมนตรีจะต้องนำมาพิจารณาว่าจะปรับหรือไม่ปรับคณะรัฐมนตรี” นายเ
ศรษฐากล่าว
๐ จี้แก้เรื่องปากท้อง-ขึ้นดบ.ยิ่งซ้ำเติม
นาย
เศรษฐากล่าวว่า ปัญหาเร่งด่วนในขณะนี้อยากให้รัฐบาลเร่งแก้เรื่องปากท้อง ข้าวยากหมากแพง น้ำมันแพง ซึ่งน้ำมันแพงอย่างเดียวก็เป็นจุดเริ่มต้นของสินค้าแพงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของราคาอาหาร ค่าขนส่งที่ปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากเป็นเรื่องที่ประชาชนคอยอยู่ เรื่องของการอภิปรายไม่ไว้วางใจมันก็จบไปแล้ว แต่ว่าเศรษฐกิจของประเทศมันก็ต้องเดินหน้าต่อไป
นาย
เศรษฐายังกล่าวถึงกรณีที่ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ส่งสัญญาณจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไปว่า อย่างที่ตนเคยพูดไปว่าปัญหาของเงินเฟ้อที่มีอัตราค่อนข้างสูงเปรียบเทียบกับในอดีต มันเป็นเรื่องของต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นมา ไม่ใช่เป็นเรื่องของดีมานด์หรือความต้องการ ความสุรุ่ยสุร่าย เพราะฉะนั้นการขึ้นดอกเบี้ยก็เปรียบเสมือนเป็นการซ้ำเติมต่อต้นทุนการผลิตอย่างหนึ่งเหมือนกัน
“แบงก์ชาติก็ต้องคำนึงให้ดีว่า ถ้าเกิดขึ้นดอกเบี้ยแล้วจะช่วยสกัดเงินเฟ้อจริงหรือเปล่า เพราะดอกเบี้ยก็ถือว่าเป็นค่าใช้จ่ายส่วนหนึ่งเหมือนกัน เมื่อดอกเบี้ยขึ้น ประชาชนก็ต้องแบกรับภาระเพิ่มขึ้น ส่วนที่นำคำอธิบายมาบอกว่า ถ้าไม่ขึ้นดอกเบี้ย เงินจะไหลออก ทำให้ค่าเงินบาทอ่อน ซึ่งค่าเงินบาทอ่อน ไม่ได้มีข้อเสียเสมอไป เพราะส่งผลดีต่อภาคการส่งออกและการท่องเที่ยว ยิ่งหลังเปิดประเทศอย่างเต็มที่และโควิดได้กลายเป็นโรคประจำถิ่น ก็ต้องพิจารณาให้รอบคอบด้วย” นาย
เศรษฐากล่าว
นาย
เศรษฐากล่าวว่า สำหรับการที่รัฐบาลจะมีการพิจารณาปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำนั้น ต้องมาดูว่า จริงๆแล้วสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายและเงินเฟ้อได้จริงหรือไม่ ถ้าคุมไม่ได้ ในช่วงที่ข้าวยากหมากแพงแบบนี้ ค่าแรงก็ต้องขึ้นไปด้วย เพื่อเพิ่มรายได้ให้ประชาชน แต่ก็ต้องดูแบบสมเหตุสมผล
“นพดล” บอกไม่เหนือความคาดหมาย รัฐบาลผ่านมติไว้วางใจ
https://www.innnews.co.th/news/news_379391/
“นพดล” บอกไม่เหนือความคาดหมาย รัฐบาลผ่านมติไว้วางใจ แต่ประชาชนรอชี้ขาดในวันเลือกตั้ง บอกควรร่วมมือแก้รัฐธรรมนูญให้ ส.ส.เท่านั้นโหวตนายกฯ จะวินวินทุกฝ่าย
นาย
นพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงผลโหวตในสภาว่า ไม่เหนือความคาดหมาย เพราะรัฐบาลยังมีเสียงข้างมาก ก็ย่อมมีเสียงโหวตไว้วางใจ แต่ตนมองว่าแม้ผ่านการอภิปรายไปได้ รัฐบาลก็มีเวลาบริหารประเทศอีกประมาณ 8 เดือนถ้าอยู่ครบเทอม และต้องมีการเลือกตั้งทั่วไปไม่เกินมี.ค.66
ทุกพรรคการเมืองก็ต้องกลับไปขอการสนับสนุนจากประชาชนอีก ซึ่ง ประชาชนจะยังคงจำได้ว่าพรรคไหนอยู่ฝ่ายรัฐบาล พรรคไหนอยู่ฝ่ายค้าน ถ้าประชาชนมีความสุข ก็อาจเลือกพรรคร่วมรัฐบาลต่อ ถ้าทุกข์หนักก็อาจเลือกพรรคอื่น ดังนั้นทุกคนมีสิทธิกำหนดอนาคตของตนเอง จะยากดีมีจนก็หนึ่งสิทธิหนึ่งเสียงเท่ากัน ตามหลักการ one man one vote และตนคิดว่าประชาชนรอชี้ขาดในวันเลือกตั้ง
อย่างไรก็ตามทุกฝ่ายต้องทำให้ผลเลือกตั้งครั้งต่อไปมีความหมายและสะท้อนเจตจำนงของคนไทยส่วนใหญ่ แต่น่าเสียดายที่ตามกฎหมายขณะนี้ แคนดิเดทนายกรัฐมนตรีจากพรรคที่ประชาชนเลือกมากที่สุดอาจไม่ได้ถูกโหวตจากสภาฯเนื่องจากมาตรา 272 ของรัฐธรรมนูญกำหนดให้ทั้ง สส.และ สว. มีสิทธิเท่ากันในการโหวตนายกรัฐมนตรีนี่คือความเท่าเทียมแบบเทียมๆใช่หรือไม่ เพราะประชาชนเลือก ส.ส.แต่ไม่ได้เลือก ส.ว. ไม่สอดคล้องกับหลักการประชาธิปไตย
และพลอยทำให้คนตั้งคำถามเรื่องความชอบธรรมในการเข้าสู่อำนาจของนายกฯคนต่อไปด้วย เรื่องนี้เป็นประเด็นสำคัญ เป็นเรื่องหลักการประชาธิปไตย ไม่ใช่เรื่องความชอบหรือไม่ชอบตัวบุคคลหรือประโยชน์ของพรรคการเมืองหนึ่งการเมืองใด แต่เป็นเรื่องการเคารพสิทธิและเสียงของประชาชน กติกาที่เป็นธรรม
ทำให้การเข้าสู่อำนาจของผู้นำในอนาคตสง่างาม ใครที่ต้องการเป็นนายกฯต้องพร้อมให้ประชาชนพิจารณาความรู้ความสามารถ และยอมรับในกติกาที่เป็นธรรมและเท่าเทียม ถ้าเป็นเช่นนั้น เงื่อนไขความขัดแย้งจะลดลง เกียรติภูมิของประเทศจะเพิ่มขึ้น บ้านเมืองจะเดินหน้าเร็วขึ้น พรรคเพื่อไทยพร้อมผลักดันการแก้มาตรา 272 ร่วมกันในสภาต่อไป
JJNY : 'วีระ'ขู่ส่งป.ป.ช.'คนแจกกล้วย'│'เศรษฐา'แนะปรับครม.│“นพดล”บอกไม่เหนือความคาดหมาย│รัสเซียปัดโจมตีท่าเรือโอเดสซา
https://voicetv.co.th/read/NGODMrsQE
หลัง 'ใบเสร็จ' การแจกกล้าวยว่อนโซเชียลฯ และเป็นข่าวหลายระลอก 'วีระ สมความคิด' ประธานยุทธศาสตร์แผนงานต้านคอร์รัปชัน พรรคเสรีรวมไทย นักตรวจสอบคอร์รัปชั่นตัวยง แสบสุดออกมาโพสต์เฟซบุ๊กชวนให้ ร.อ.ธรรมนัส มาร่วมมือกันแฉว่าผู้ใด หัวหน้าพรรคการเมืองใด เป็นคนสั่งให้จ่ายเงินเดือน หรือแจกกล้วยให้แก่บรรดา ส.ส.พรรคเล็ก 9 คน หากให้ความร่วมมือ กกต. อาจไม่ดำเนินคดี ตามมาตรา 46 แห่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง แต่หากไม่ร่วมมือก็ไม่เป็นไร เพราะหลักฐานที่มีก็มากเกินพอจะเอาผิดกับทุกคนได้อยู่แล้ว และสามารถนำไปสู่การยุบพรรคการเมืองนั้นได้
วีระระบุว่า คาดว่าต้นเดือน ส.ค. 2565 รอให้ข้อมูลและหลักฐานนิ่งสักระยะ จะรวบรวมหลักฐานทั้งหมดไปยื่นกล่าวหาต่อ กกต. และ ป.ป.ช. คราวนี้ต้องวัดใจ กกต. กับ ป.ป.ช. แต่ไม่ต้องกังวลว่าจะช่วยเหลือกัน เพราะข้อมูลความจริงคนทั้งประเทศรู้เห็นกันหมดแล้ว ประชาชนตัดสินกันไปก่อนแล้ว วันใดประชาชนเป็นใหญ่ในแผ่นดิน อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน คดีเหล่านี้ยังอยู่ในอายุความที่จะเอาผิดได้ รื้อคดีขึ้นมาจัดการเอาผิดได้ทั้งหมด ไม่ต้องห่วง
นักตรวจสอบคนต่อมา ศรีสุวรรณ จรรยา โพสต์เฟซบุ๊กเบาๆ อธิบายว่าการรับเงินนั้นผิดอย่างไร
"ส.ส.รับเงินกัน อาจเข้าข่ายฝ่าฝืนมาตรา 128 วรรคแรก แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ที่บัญญัติว่า “ห้ามมิให้เจ้าพนักงานของรัฐผู้ใดรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้จากผู้ใด นอกเหนือจากทรัพย์สิน หรือประโยชน์อันควรได้ตามกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับ ที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย เว้นแต่การรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด โดยธรรมจรรยาตามหลักเกณฑ์และจำนวนที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. กําหนด” ซึ่งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ออกประกาศกำหนดหลักเกณฑ์การรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดโดยธรรมจรรยาของเจ้าพนักงานของรัฐ พ.ศ. 2563 แล้ว กำหนดว่า “เจ้าพนักงานของรัฐจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดโดยธรรมจรรยาได้แต่ละโอกาสไม่เกิน 3,000 บาทเท่านั้น
ทั้งนี้ ส.ส.ที่ฝ่าฝืน จะมีความผิดตามมาตรา 169 แห่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ และอาจเข้าข่ายฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามรัฐธรรมนูญ 2560 ข้อ 8 ข้อ 9 ข้อ 10 และข้อ 17 ประกอบ ข้อ 27 วรรคสองได้ ซึ่งหาก ป.ป.ช. ชี้มูลว่าฝ่าฝืนจริง ก็อาจยื่นคำร้องส่งให้ศาลฎีกาวินิจฉัย และให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของ ส.ส.ผู้นั้น และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนดเวลาไม่เกิน 10 ปี ตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 235 และ พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต มาตรา 87
ดังนั้น เพื่อให้เกิดความชัดเจน สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จะรวบรวมพยานหลักฐานจากแหล่งที่ปรากฏในสื่อสำนักต่างๆ ในโซเชียลมีเดีย กลุ่มไลน์ต่างๆ และแหล่งข่าว เพื่อนำไปประมวลยื่นให้ ป.ป.ช. ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ หากได้หลักฐานเพียงพอ คาดว่าจะนำไปยื่นได้ในสัปดาห์หน้านี้”
ส่วนโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อประชาชน (ไอลอว์) ก็รีบพลิกกฎหมายที่เกี่ยวข้องดูหลังมีข่าวสลิปหลุด โดยระบุว่าตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 128 กำหนดว่า
"มิให้เจ้าพนักงานรัฐผู้ใดรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้จากผู้ใด นอกเหนือจากทรัพย์สินหรือประโยชน์อันใครได้ตามกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับที่โดยอาศัย...กฎหมาย"
นอกจากนี้ ประกาศ ป.ป.ช. เรื่อง หลักเกณฑ์การรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดโดยธรรมจรรยาของเจ้าพนักงานของรัฐ พ.ศ. 2563 ในข้อ 6 และข้อ 7 ยังกำหนดรายละเอียดเพิ่มเติมจากกฎหมายแม่ว่า
"ผู้ดำรงตำแหน่ง ส.ส. และ ส.ว. ห้ามรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นได้จากผู้ที่ไม่ใช่ญาติ ในแต่ละโอกาสไม่เกิน 3,000 บาท"
ทั้งนี้ หาก ส.ส. หรือ ส.ว. รับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดเกิน 3,000 บาท ให้แจ้งต่อประธานสภาที่เป็นสมาชิก ภายใน 30 วันนับตั้งแต่วันที่ได้สิ่งนั้นไว้
จากนั้นประธานสภาจะวินิจฉัยว่า มีเหตุผลความจำเป็นว่า ส.ส. หรือ ส.ว.ที่แจ้งมาสมควรได้รับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดที่เกิน 3,000 บาท หรือไม่ หากประธานสภามีคำสั่งว่าไม่สมควรได้รับสิ่งนั้น ก็ให้คืนสิ่งที่ได้รับแก่ผู้ให้ทันที
โดยการฝ่าฝืนรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดเกิน 3,000 บาท มาตรา 128 ของ พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต กำหนดโทษ "จำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ"
'เศรษฐา' แนะปรับครม. ให้เศรษฐกิจประเทศเดินหน้า ชี้ขึ้น 'ดอกเบี้ย' ยิ่งซ้ำเติม
https://www.matichon.co.th/economy/news_3470218
‘เศรษฐา’ แนะปรับครม. ให้เศรษฐกิจประเทศเดินหน้า ชี้ขึ้น ‘ดอกเบี้ย’ ยิ่งซ้ำเติม
วันที่ 24 กรกฎาคม นายเศรษฐา ทวีสิน ประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการโหวตการอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคมที่ผ่านมาเป็นไปตามคาด แต่ว่ารัฐบาลก็ต้องมาพิจารณาว่าข้อมูลที่ฝ่ายค้านนำมาเสนอต่อที่ประชุมสภา มีข้อมูลอะไรที่เป็นสาระ มีความเป็นไปได้ในการที่จะต้องนำไปตรวจสอบต่อหรือจัดการต่อไป
นายเศรษฐากล่าวว่า สำหรับผลโหวตของรัฐมนตรีรายบุคคลคนแม้จะผ่านหมด แต่ไม่อยากให้นำคะแนนมาดูเป็นประเด็นหลักในการจะนำไปสู่การพิจารณาจะปรับหรือไม่ปรับคณะรัฐมนตรี ต้องนำเรื่องภาพใหญ่ของเศรษฐกิจมาเป็นประเด็นหลักในการพิจารณา เนื่องจากระยะเวลาที่เหลืออยู่ของรัฐบาลอีก 7-8 เดือนนับจากนี้ จะทำอย่างไรเพื่อให้เศรษฐกิจมันดีขึ้นได้ และประเทศชาติจะได้เดินต่อไปมากกว่า
๐ ต้องปรับครม.ให้เศรษฐกิจเดินหน้า
“หากเห็นว่ารัฐมนตรีคนไหนหรือกระทรวงไหนมีความบกพร่อง ถ้ามีการเปลี่ยนคณะรัฐมนตรีในรายกระทรวงใดกระทรวงหนึ่งและทำให้เศรษฐกิจสามารถเดินไปข้างหน้าได้ ท่านนายกรัฐมนตรีก็ควรจะพิจารณา เพราะถึงแม้อีก7-8 เดือนข้างหน้า จะมีการเลือกตั้งใหม่และมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล แต่มันก็ยังเป็นช่วงระยะเวลาที่ยาวนานอยู่พอสมควร ควรถึงเวลาที่รัฐบาลต้องเอาเศรษฐกิจนำการเมืองในการแก้ไขปัญหาประเทศ เพราะตอนนี้มีปัญหาหลายอย่าง ทั้งภาวะเงินเฟ้อ ข้าวยากหมากแพง คนมีรายได้น้อยลง หนี้ครัวเรือนสูง และอีกหลายอย่างที่เกิดขึ้นซึ่งเป็นประเด็นที่นายกรัฐมนตรีจะต้องนำมาพิจารณาว่าจะปรับหรือไม่ปรับคณะรัฐมนตรี” นายเศรษฐากล่าว
๐ จี้แก้เรื่องปากท้อง-ขึ้นดบ.ยิ่งซ้ำเติม
นายเศรษฐากล่าวว่า ปัญหาเร่งด่วนในขณะนี้อยากให้รัฐบาลเร่งแก้เรื่องปากท้อง ข้าวยากหมากแพง น้ำมันแพง ซึ่งน้ำมันแพงอย่างเดียวก็เป็นจุดเริ่มต้นของสินค้าแพงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของราคาอาหาร ค่าขนส่งที่ปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากเป็นเรื่องที่ประชาชนคอยอยู่ เรื่องของการอภิปรายไม่ไว้วางใจมันก็จบไปแล้ว แต่ว่าเศรษฐกิจของประเทศมันก็ต้องเดินหน้าต่อไป
นายเศรษฐายังกล่าวถึงกรณีที่ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ส่งสัญญาณจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไปว่า อย่างที่ตนเคยพูดไปว่าปัญหาของเงินเฟ้อที่มีอัตราค่อนข้างสูงเปรียบเทียบกับในอดีต มันเป็นเรื่องของต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นมา ไม่ใช่เป็นเรื่องของดีมานด์หรือความต้องการ ความสุรุ่ยสุร่าย เพราะฉะนั้นการขึ้นดอกเบี้ยก็เปรียบเสมือนเป็นการซ้ำเติมต่อต้นทุนการผลิตอย่างหนึ่งเหมือนกัน
“แบงก์ชาติก็ต้องคำนึงให้ดีว่า ถ้าเกิดขึ้นดอกเบี้ยแล้วจะช่วยสกัดเงินเฟ้อจริงหรือเปล่า เพราะดอกเบี้ยก็ถือว่าเป็นค่าใช้จ่ายส่วนหนึ่งเหมือนกัน เมื่อดอกเบี้ยขึ้น ประชาชนก็ต้องแบกรับภาระเพิ่มขึ้น ส่วนที่นำคำอธิบายมาบอกว่า ถ้าไม่ขึ้นดอกเบี้ย เงินจะไหลออก ทำให้ค่าเงินบาทอ่อน ซึ่งค่าเงินบาทอ่อน ไม่ได้มีข้อเสียเสมอไป เพราะส่งผลดีต่อภาคการส่งออกและการท่องเที่ยว ยิ่งหลังเปิดประเทศอย่างเต็มที่และโควิดได้กลายเป็นโรคประจำถิ่น ก็ต้องพิจารณาให้รอบคอบด้วย” นายเศรษฐากล่าว
นายเศรษฐากล่าวว่า สำหรับการที่รัฐบาลจะมีการพิจารณาปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำนั้น ต้องมาดูว่า จริงๆแล้วสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายและเงินเฟ้อได้จริงหรือไม่ ถ้าคุมไม่ได้ ในช่วงที่ข้าวยากหมากแพงแบบนี้ ค่าแรงก็ต้องขึ้นไปด้วย เพื่อเพิ่มรายได้ให้ประชาชน แต่ก็ต้องดูแบบสมเหตุสมผล
“นพดล” บอกไม่เหนือความคาดหมาย รัฐบาลผ่านมติไว้วางใจ
https://www.innnews.co.th/news/news_379391/
“นพดล” บอกไม่เหนือความคาดหมาย รัฐบาลผ่านมติไว้วางใจ แต่ประชาชนรอชี้ขาดในวันเลือกตั้ง บอกควรร่วมมือแก้รัฐธรรมนูญให้ ส.ส.เท่านั้นโหวตนายกฯ จะวินวินทุกฝ่าย
นายนพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงผลโหวตในสภาว่า ไม่เหนือความคาดหมาย เพราะรัฐบาลยังมีเสียงข้างมาก ก็ย่อมมีเสียงโหวตไว้วางใจ แต่ตนมองว่าแม้ผ่านการอภิปรายไปได้ รัฐบาลก็มีเวลาบริหารประเทศอีกประมาณ 8 เดือนถ้าอยู่ครบเทอม และต้องมีการเลือกตั้งทั่วไปไม่เกินมี.ค.66
ทุกพรรคการเมืองก็ต้องกลับไปขอการสนับสนุนจากประชาชนอีก ซึ่ง ประชาชนจะยังคงจำได้ว่าพรรคไหนอยู่ฝ่ายรัฐบาล พรรคไหนอยู่ฝ่ายค้าน ถ้าประชาชนมีความสุข ก็อาจเลือกพรรคร่วมรัฐบาลต่อ ถ้าทุกข์หนักก็อาจเลือกพรรคอื่น ดังนั้นทุกคนมีสิทธิกำหนดอนาคตของตนเอง จะยากดีมีจนก็หนึ่งสิทธิหนึ่งเสียงเท่ากัน ตามหลักการ one man one vote และตนคิดว่าประชาชนรอชี้ขาดในวันเลือกตั้ง
อย่างไรก็ตามทุกฝ่ายต้องทำให้ผลเลือกตั้งครั้งต่อไปมีความหมายและสะท้อนเจตจำนงของคนไทยส่วนใหญ่ แต่น่าเสียดายที่ตามกฎหมายขณะนี้ แคนดิเดทนายกรัฐมนตรีจากพรรคที่ประชาชนเลือกมากที่สุดอาจไม่ได้ถูกโหวตจากสภาฯเนื่องจากมาตรา 272 ของรัฐธรรมนูญกำหนดให้ทั้ง สส.และ สว. มีสิทธิเท่ากันในการโหวตนายกรัฐมนตรีนี่คือความเท่าเทียมแบบเทียมๆใช่หรือไม่ เพราะประชาชนเลือก ส.ส.แต่ไม่ได้เลือก ส.ว. ไม่สอดคล้องกับหลักการประชาธิปไตย
และพลอยทำให้คนตั้งคำถามเรื่องความชอบธรรมในการเข้าสู่อำนาจของนายกฯคนต่อไปด้วย เรื่องนี้เป็นประเด็นสำคัญ เป็นเรื่องหลักการประชาธิปไตย ไม่ใช่เรื่องความชอบหรือไม่ชอบตัวบุคคลหรือประโยชน์ของพรรคการเมืองหนึ่งการเมืองใด แต่เป็นเรื่องการเคารพสิทธิและเสียงของประชาชน กติกาที่เป็นธรรม
ทำให้การเข้าสู่อำนาจของผู้นำในอนาคตสง่างาม ใครที่ต้องการเป็นนายกฯต้องพร้อมให้ประชาชนพิจารณาความรู้ความสามารถ และยอมรับในกติกาที่เป็นธรรมและเท่าเทียม ถ้าเป็นเช่นนั้น เงื่อนไขความขัดแย้งจะลดลง เกียรติภูมิของประเทศจะเพิ่มขึ้น บ้านเมืองจะเดินหน้าเร็วขึ้น พรรคเพื่อไทยพร้อมผลักดันการแก้มาตรา 272 ร่วมกันในสภาต่อไป